Q[-___-Q ma leaw ja
Group Blog
 
All Blogs
 

ผ่าตัดลดถุงไขมันใต้ตา

ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาเป็นเครื่องบ่งชีชัดว่าคุณอายุเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นรอยตีนกา หรือถุงไขมันใต้ตา ผู้ที่ปราศจากริ้วรอยบนใบหน้าก็จะแลดูอ่อนกว่าวัย หากผู้ที่มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยสารพัดริ้วรอยก็จะดูแก่เกินวัย นั่นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนไม่ปรารถนายิ่งนัก
ในตอนนี้หมอจะแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาในจุดหนึ่งที่จะทำให้คุณกลับมาสวยสมวัยได้ นั่นคือ การลดถุงไขมันใต้ตา

ถุงไขมันใต้ตา
เกิดจากการป่องนูนของไขมันบริเวณใต้ดวงตา ซึ่งปกติจะถูกกั้นไว้ด้วยกล้ามเนื้อเปลือกตาที่แข็งแรงทำให้ดูเรียบตึงแต่การขาดการดูแล ความเครียด และจากวัยที่เพิ่มมากขึ้น ไขมันส่วนนี้จะค่อยๆ นูนป่องออกมาทีละน้อย ๆ จนเห็นได้ชัดขึ้นทุกที แม้โปะเครื่องสำอางก็ไม่สามารถช่วยปกปิดร่องรอยดังกล่าวได้

วิธีที่ดีที่สุดที่จะลดถุงไขมันใต้ตาได้ก็คือ การใช้วิธีการทางการแพทย์ โดยการผ่าตัดเอาถุงไขมันใต้ตาออก และแก้ไขความหย่อนยานของผิวหนังและกล้ามเนื้อเปลือกตาล่าง

การลดถุงไขมันใต้ตาโดยการผ่าตัดเอาถุงไขมันใต้ตาออก เป็นวิธีการที่ไม่ยุ่งยากและใช้เวลาไม่นานนัก แต่ต้องทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผู้เท่านั้น ซึ่งจะเล่าให้ฟังภายหลังว่าเหตุใดจึงต้องเลือกหมอที่จะผ่าตัดให้ดีด้วย

เอาล่ะ เมื่อคุณตัดสินใจว่าจะกำจัดเจ้าถุงไขมันอันอวบอูมนี้ออกไปเสียที คุณก็ควรไปตรวจและปรึกษากับศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสอบถามและรับทราบรายละเอียดขั้นตอนในการผ่าตัด พร้อมทั้งตรวจสภาพของถุงไขมันใต้ตา
คุณควรแจ้งขอมูลด้านสุขภาพของคุณให้แพทย์ทราบด้วย เช่น มีโรคประจำตัวอะไร หรือทานยาอะไรอยู่เป็นประจำหรือเปล่า แพ้ยาอะไรมั้ย เป็นต้น เพื่อแพทย์จะได้แนะนำในการเตรียมตัวผ่าตัดได้อย่างถูกต้อง

การผ่าตัดลดถุงไขมันใต้ตาเป็นการผ่าตัดเล็ก จึงสามารถผ่าตัดได้เลย ถ้าคุณพร้อมที่จะผ่าตัดในวันที่คุณไปพบแพทย์ คุณควรเตรียมนำแว่นกันแดดไปด้วย เพื่อใช้อำพรางดวงตาหลังผ่าตัด และยังช่วยป้องกันฝุ่นได้ และควรชวนใครไปเป็นเพื่อนเพื่อให้เขาขับรถให้ เพราะหลังการผ่าตัดคุณจะยังใช้สายตาได้ไม่สะดวกนัก จึงไม่ควรขับรถเอง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแพทย์ก็จะทำการผ่าตัดซึ่งขั้นตอนในการเก็บถุงไขมันโดยเปิดแผลภายนอก มีดังนี้

1. แพทย์ใช้ยาชาฉีดบริเวณผนังเปลือกตาล่าง ร่วมกับการให้ยานอนหลับอย่างอ่อนๆ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดในระหว่างผ่าตัด

2. แพทย์จะผ่าเปิดผิวหนังเป็นลักษณะเส้นยาวตรงบริเวณหนังตาล่างที่อยู่ขอบใต้ขนตา เพื่อตัดเอาถุงไขมันส่วนเกินที่อยู่ภายใต้หนังตาล่างนั้นออก เพื่อให้บริเวณที่โป่งนูนนั้นเรียบขึ้น

3. จากนั้นแพทย์ก็จะตัดเย็บกล้ามเนื้อและผิวหนังบริเวณเปลือกตาล่างที่หย่อนให้เรียบตึง

4. แล้วจึงเย็บปิดแผลด้วยไหมเส้นเล็กที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง โดยจะซ่อนอยู่ชิดกับขนตาล่าง ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นรอยแผลใด ๆ จากการผ่าตัดไดชัดเจน เมื่อแผลหายสนิทแล้ว

5. รวมทุกขั้นตอนในการผ่าตัดเอาถุงไขมันใต้ตาออกจะใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที

6. แพทย์จะให้คุณนอนพักฟื้นหลังผ่าตัดอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ยาชาและยานอนหลับหมดฤทธิ์ก่อนแล้วจึงจะอนญาตให้คุณกลับบ้านได้

ที่สำคัญคุณควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อแผลจะได้หายเร็วขึ้น และสวยไวๆ ดังนี้
1. ประคบเย็นที่บริเวณหนาผากและรอบดวงตา ในระยะเวลา 2 วันแรกหลังผ่าตัด โดยบรรจุน้ำแข็งในถุงพลาสติกสะอาด แล้วหุ้มด้วยผ้าขนหนูสะอาดอีกครั้งหนึ่งนำมาประคบเพื่อบรรเทาอาการบวมและช่วยห้ามเลือดหรือของเหลวภายใน ยิ่งขยันประคบด้วยความเย็นมากเท่าไร ก็จะช่วยบรรเทาให้อาการบวมนั้นน้อยลงเท่านั้น

2. ควรงดใช้สายตาในช่วงแรก ๆ เพราะการใช้สายตา เช่น การดูทีวี หรืออ่านหนังสือ ทำให้คุณต้องกะพริบตา และเปลือกตาก็ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้แผลอักเสบ และหายช้า

3. หลังการผ่าตัด 24 ชั่วโมง ให้คุณทายาขี้ผึ้งเคลือบบริเวณแผลตรงเปลือกตาตามแพทย์สั่ง

4. รับประทานยาแก้อักเสบและยาลดบวมตามที่แพทย์สั่งจนหมด หากมีอาการปวดสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้

5. เวลานอนควรนอนยกศีรษะสูงไว้ เพื่อให้เลือดที่ค้างอยู่หลังการผ่าตัดนั้นไหลลงและขับเป็นของเสียออกจากร่างกายไป อีกทั้งเป็นการป้องกันมิให้เลือดนั้นไหลไปสะสมจน
เป็นสาเหตุให้อาการบวมยุบช้าลงได้

6. หลังการผ่าตัด 3 วัน คุณจึงจะเริ่มล้างทำความสะอาดหน้าได้ตามปกติ และควรใช้น้ำอุ่น เพื่อล้างคราบสะเก็ดเลือดออกได้หมด

7. หากต้องการทำความสะอาดบริเวณแผลที่ดวงตาสามารถทำได้ โดยใช้สำลีก้อนชุบน้ำอุ่นที่สะอาดเช็ดเบา ๆ บริเวณแผลที่เปลือกตา แล้วจึงค่อยทายาครีม หรือขี้ผึ้งยาปฏิชีวนะ ตามที่แพทย์สั่ง

8. หลังการผ่าตัดประมาณ 5-7 วัน ให้กลับไปพบแพทย์เพื่อตัดไหม

9. กรณีที่คุณใส่คอนแทคเลนส์ ควรเปลี่ยนไปสวมแว่นตาแทน ในช่วงสัปดาห์แรก หรือจนกว่าจะหายบวม และห้ามดึงเปลือกตาเพื่อใส่คอนแทคเลนส์ เพราะจะทำให้แผลผ่าตัดที่เย็บไว้เปิดแยกจากกันได้

10. คุณสามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด แต่ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เส้นเลือดขยาย อาจมีเลือดออกได้ และจะทำให้แผลยุบบวมช้าลง และควรงดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้เส้นเลือดหดตัว อาจทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงที่แผลได้ไม่สะดวก

11. หลังผ่าตัดจะมีอาการบวมอยู่ประมาณ 3 วัน และจะเริ่มยุบบวมในวันที่ 4 ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายสนิทในสัปดาห์ที่ 4 ทั้งนี้คุณจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดด้วยนะครับ

12. คุณจะสามารถแต่งหน้าและแต่งแต้มตาได้ตามปกติ หลังจากผ่าตัดแล้วประมาณ 1-2 สัปดาห์

มีหลายคนเคยถามหมอเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการผ่าตัดถุงไขมันใต้ตาว่ามีมากมั้ย แค่ไหน เพราะมีเพื่อนเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของเค้าทำแล้วเป็นอย่างนั้นอย่างนี้บ้างทำให้เกิดความกลัวไม่กล้าทำทั้งที่อยากสวย

จริง ๆ แล้วในการผ่าตัดนำถุงไขมันใต้ตาออกนั้นอาจมีบาง แต่หากคุณปฏิบัติและดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์และแพทย์ผ่าตัดมีความชำนาญแล้ว โอกาสเกิดก็น้อยมาก บางคนอาจเถียงหมอว่า เห็นเพื่อนทำมาแล้วตาเขียวช้ำเชียว นั่นเป็นอาการปกติหลังการผ่าตัดทุกชนิดที่หมอบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ หากคุณทำตามที่แพทย์แนะนำ โดยทานยาลดบวมและประคบเย็นตลอด ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน อาการฟกช้ำดำเขียวก็จะค่อยๆ จางหายไปหมดใน เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์

มีอีกคำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัดถุงไขมันใต้ตา คือ คุณหมอขา การเจาะเก็บถุงไขมันตาล่างต่างกับการกรีดอย่างไรคะ?
ในกรณีที่ตาล่างมีถุงไขมันเพียงอย่างเดียว ไม่มีเปลือกตาย้อยหรือหย่อนร่วมด้วยแพทย์สามารถเจาะเก็บไขมันจากด้านในเปลือกตาได้ โดยไม่มีแผลด้านนอก แต่หากมีเปลือกตาย่นด้วยจะทำให้รอยย่นเกิดมากขึ้นและต้องใช้วิธีลดรอยย่นด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้เลเซอร์ลอกผิว หรือต้องตัดหนังตาล่างออกในภายหลัง

การผ่าตัดถุงไขมันทำให้ตาปลิ้นได้หรือไม่?
อาจเกิดขึ้นได้ในรายที่มีอายุมาก เนื่องจากการมีเปลือกตาอ่อนแออยู่แล้ว และในกรณีที่มีการตัดหนังตาล่างมากเกินไป ก็ทำให้มีโอกาสเกิดกรณีหนังตาปลิ้นได้ ดังนั้นจึงได้เน้นความสำคัญตั้งแต่ตอนแรกให้คุณเลือกศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดที่มีความชำนาญ และรู้วิธีการผ่าตัดอย่างแท้จริงจะช่วยป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นรวมทั้งแก้ไขเปลือกตาให้กลับมาเป็นปกติได้

การผ่าตัดถุงไขมันใต้ตาสามารถทำได้ในโรงพยาบาล หรือคลินิกที่มีศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การผ่าตัดลดถุงไขมันใต้ตา เป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาไม่นานและที่สำคัญคือคุณมั่นใจได้ในความปลอดภัย แถมราคาไม่แพงอย่างที่คิด เมื่อถุงไขมันใต้ตาของคุณหายไป จะมีเพียงเปลือกตาล่างที่เรียบสวย คุณจะกลับมาดูสวยสมวัยหรือดูอ่อนกว่าวัยเลยทีเดียว




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 15:35:15 น.
Counter : 493 Pageviews.  

การทำตา 2 ชั้น

“ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ”
ดวงตาเป็นสื่อที่บ่งบอกความหมายในใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณกำลังดีใจ เสียใจ โกรธ เกลียด หรือกาลังตกหลุมรักก็ตาม ดวงตาจะบ่งบอกได้อย่างชัดเจน ตังนั้นดวงตาจึงเป็นจุดหนึ่งที่หลายคนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับผู้ที่มีดวงตาที่กลมโต คมเข้ม สวยซึ้ง และมีเปลือกตาที่มองเห็นเป็น 2 ชั้นชัดเจน นับเป็นผู้ที่มีเสน่ห์ชวนมอง และเป็นที่อิจฉานิด ๆ ของบรรดาสาวตาชั้นเดียวที่ตาไม่มีเล่าเต๊ง ทั้งหลาย เพราะคุณเธอจะถูกเพื่อน ๆ ล้อเสมอเวลาที่ยิ้มตาปิดมิดจนมองไม่เห็นลูกนัยน์ตา ทำให้เจ็บใจนัก


ผู้ที่มีหนังตาตก หรือผู้ที่ไม่พอใจในชั้นตาที่มีอยู่ว่า คุณสามารถที่จะแก้ไขให้มีตา 2 ชั้นสวยใสได้ โดยการรักษาด้วยการผ่าตัดทำตา 2 ชั้น ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ยุ่งยากและปลอดภัยครับ

เมื่อคุณตัดสินใจที่จะมีตา 2 ชั้น เพื่อเพิ่มความสวยงามของดวงตาและใบหน้า คุณก็ควรมีการวางแผนและเตรียมตัวให้พร้อมประการแรกเลย คุณต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยเฉพาะ เพื่อปรึกษาและสอบถามถึงข้อมูลที่คุณควรทราบอย่างละเอียด เพื่อประกอบการตัดสินใจในการที่จะทำตาลองชั้นอีกครั้ง

แพทย์จะพิจารณาจากลักษณะของหนังตาเดิมของคุณ และสอบถามถึงความต้องการของคุณว่า คุณต้องการชั้นตาลักษณะไหน กว้างขึ้นแค่ไหน คุณอาจถือรูปของดาราที่คุณคิดว่าตาสวยไปประกอบให้แพทย์ดูด้วยก็ได้ ขั้นตอนนี้สำคัญมากนะครับ เพราะความต้องการและคาดหวังไว้ในใจของคุณกับของแพทย์อาจไม่ตรงกัน

ดังนั้นจึงต้องคุยกันให้เข้าใจถูกต้องก่อน หลังจากนั้นแพทย์จะจัดลักษณะของชั้นตาใหม่ หลังการผ่าตัดให้คุณดูก่อน โดยแพทย์จะใช้ไม้เล็ก ๆ คล้ายไม้จิ้มฟันช่วยในการจัดลักษณะชั้นตาใหม่ให้คุณดูว่าหลังผ่าตัดแล้วดวงตาของคุณจะมีชั้นตาแบบใด เป็นแบบนี้ถูกต้องตามความต้องการของคุณมั้ย ถ้าโอเคแล้ว
จากนั้นแพทย์ก็จะพิจารณาลักษณะของชั้นตาและเปลือกตาของคุณว่า มีลักษณะบางหรือหนา เพราะถ้าหากว่ามีเปลือกตาที่หนา จากไขมันสะลมจนทำให้หนังตาตกมาปิดหรือรบกวนการมองเห็นของคุณ ก็ต้องมีการนำไขมันส่วนเกินดังกล่าวบนเปลือกตาออกด้วย

ในวันที่คุณมาพบแพทย์ถ้าหากคุณตัดสินใจจะทำตา 2 ชั้น ในวันนั้น คุณควรนำแว่นตากันแดดไปด้วย เพื่อใช้อำพรางดวงตาหลังการผ่าตัด และช่วยป้องกันฝุ่นด้วย และควรจะชวนใครไปเป็นเพื่อน หรือให้ใครไปรับเพื่อพากลับบ้านด้วย เพราะการผ่าตัดตา 2 ชั้น เป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาไม่นาน หลังการผ่าตัดเสร็จคุณสามารถกลับบ้านได้เลย โดยไม่ต้องนอนพักที่โรงพยาบาล แต่คุณอาจจะยังใช้สายตาได้ไม่สะดวกนัก จึงไม่ควรที่จะขับรถด้วยตัวเองนะครับ

หลายคนคงอยากทราบว่า ในการผ่าตัดทำตา 2 ชั้นเนี่ย แพทย์เขาทำกันอย่างไรบ้าง หมอจะขออธิบายง่าย ๆ ให้เข้าใจดังนี้
โดยทั่วไปแล้ว การผ่าตัดทำตา 2 ชั้น มีด้วยกันสองวิธีคือ
1. การผ่าตัดโดยการกรีดชั้นของหนังตา
2. การเย็บชั้นโดยไม่ต้องกรีดหนังตา

ความแตกต่างของสองวิธีนี้ ก็คือ การผ่าตัดด้วยวิธีการกรีดชั้นหนังตา นั้นเป็นการผ่าตัดโดยการใช้มีดผ่าตัด หรือใช้แสงเลเซอร์ กรีดเปิดผิวหนังตาตั้งแต่หัวตาไปจนถึงหางตา ซึ่งตำแหน่งของรอยกรีดโดยมากแล้วก็เป็นตำแหน่งของชั้นตาที่คนไข้ต้องการ

การผ่าตัดแบบธรรมดาด้วยมีดผ่าตัด ร่วมกับการใช้ปลายเข็มไฟฟ้าที่มีปลายคมมาก เป็นวิธีที่แพทย์ มักนิยมใช้ ส่วนการกรีดลงบนผิวหนังที่เปลือกตาจะยาวมากน้อยเพียงใดก็แล้วแต่เทคนิคการผ่าตัด รวมทั้งปริมาณผิวหนัง ไขมัน ที่ต้องเอาออกด้วย

หากมีผิวหนังหรือไขมันมากแผลก็ต้องยาวหน่อย หากมีไขมันน้อยหรือไม่ต้องเอาออกเลยแผลก็สั้นลง เมื่อเย็บปิดแผลที่กรีดนั้นก็จะมีการสร้างชั้นหนังตาขึ้นใหม่เป็นตา 2 ชั้น

ส่วนวิธีที่สองคือ การเย็บชั้นโดยไม่ต้องกรีดหนังตา
เป็นวิธีที่ใช้ได้ลำหรับผู้ที่มีลักษณะเปลือกตาชั้นเดียวที่ไม่มีไขมันมากและหนังตาไม่หย่อนตกลงมากเกินไป เนื่องจากไม่สามารถเอาไขมันและผิวหนังส่วนเกินออกไปด้วยได้ การทำตาสองชั้นก็เพียงแต่เย็บร้อยไหมเข้าไปที่เปลือกตา อาจจะเป็นสองจุดหรือสามจุดก็ได้

ดังนั้นเราจะเห็นโฆษณาอยู่เรื่อย ๆ ว่าทำตาสองชั้นแผลหายภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งวิธีนี้เป็นการผ่าตัดโดยวิธีร้อยไหมอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ไหมที่ร้อยไว้อาจหลุดได้ หรือบางครั้งจะเป็นจุดบุ๋มอยู่ช่วงหนึ่ง บางครั้งก็เลยดูไม่ค่อยจะธรรมชาติเท่าไหร่ แต่มีข้อดีคือ มีอาการบวมไม่มากนัก และไม่ต้องมาคอยระวังเรื่องแผล เพราะเป็นจุดเย็บที่เปลือกตาเท่านั้น




ในขั้นตอนการผ่าตัดทำตา 2 ชั้นนั้น จะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที โดยศัลยแพทย์ตกแต่งจะมีขั้นตอนการผ่าตัดง่าย ๆ คือ
1. ก่อนการผ่าตัดแพทย์อาจจะให้คุณรับประทานยาคลายกังวล จากนั้นจึงฉีดยาชาบริเวณหนังตาด้านบนคุณจะไม่รู้สึกเจ็บในระหว่างผ่าตัด

2. จากนั้นแพทย์จะแบ่งชั้นเปลือกตาตามตำแหน่งที่วัดไว้ หรือตามความต้องการและความเหมาะสมกับผนังเปลือกตา หากมีไขมันส่วนเกินที่บริเวณเปลือกตา ก็จะตัดไขมันส่วนเกินและผิวหนังเปลือกตาที่บริเวณนั้นออกบางส่วน

3. รอยมีดที่กรีดจะสูงประมาณ 5 มิลลิเมตร หรือมากกว่านั้น ถ้าหากต้องการชั้นตาหนาใหญ่ จากนั้นจะทำการเย็บกล้ามเนื้อที่ยกเปลือกตา (Levator Muscle) แล้วดึงผิวหนังตาให้พับตัวขึ้นกลายเป็น 2 ชั้น ตามที่ต้องการ

4. แล้วแพทย์ก็ทำการเย็บในบริเวณที่กรีดด้วยไหมเส้นเล็กมาก เพื่อให้เห็นรอยเย็บน้อยที่สุด ส่วนรอยกรีดหลังการผ่าตัดตา 2 ชั้น นั้นจะซ่อนอยู่ในชั้นตาที่สร้างขึ้นใหม่ จึงทำให้ไม่เห็นรอยแผลใด ๆ เวลาลืมตาตามปกติ

5. หลังการผ่าตัดแพทย์จะให้คนไข้นอนพักเพื่อสังเกตอาการที่โรงพยาบาล อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อดูความผิดปกติหลังการผ่าตัด และบาดแผล จึงจะสามารถให้เดินทางกลับบ้านได้

หลังจากที่ได้รับการผ่าตัดทำตา 2 ชั้นสมดังใจแล้ว แพทย์ก็จะแนะนำการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง เพื่อจะได้ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น คือ
1. ควรประคบเย็นที่บริเวณหน้าผากและรอบดวงตา ในช่วง 2 วันแรกหลังผ่าตัด โดยบรรจุน้ำแข็งในถุงพลาสติกที่สะอาดแล้วหุ้มด้วยผ้าขนหนูสะอาดอีกชั้นหนึ่ง นำมาประคบบริเวณดวงตาเพื่อบรรเทาอาการบวมและช่วยห้ามเลือดซึม ยิ่งขยันประคบด้วยความเย็นมากเท่าไร ก็จะช่วยบรรเทาให้อาการบวมนั้นยุบเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น

2. หลังการผ่าตัด 24 ชั่วโมง ให้เริ่มทายาขี้ผึ้งเคลือบแผลตามแพทย์สั่งที่บริเวณแผลตรงเปลือกตา

3. รับประทานยาแกอักเสบและยาลดบวมตามที่แพทย์จัดให้หากมีอาการปวดก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้

4. หลังการผ่าตัด 3 วัน คุณก็เริ่มล้างหน้าได้ตามปกติ และควรใช้น้ำอุ่น เพื่อจะได้ล้างทำความสะอาดใบหน้าได้ง่ายขึ้น

5. หากต้องการทำความสะอาดบริเวณแผลที่ดวงตา สามารถทำได้โดยใช้สำลีก้อนชุบน้ำอุ่นที่สะอาดเช็ดเบา ๆ บริเวณแผลที่เปลือกตา แล้วจึงค่อยทายาครีม หรือขี้ผึ้งยาปฏิชีวนะ ตามที่แพทย์จัดให้

6. หลังการผ่าตัด ให้กลับมาพบแพทย์เพื่อตัดไหมตามที่แพทย์ได้นัดไว้ ตามปกติจะใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน

7. กรณีที่ปกติคุณใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ก็ควรเปลี่ยนไปสวมแว่นตาแทนในช่วงสัปดาห์แรก หรือจนกว่าจะหายบวม เพราะถ้าใส่คอนแทคเลนส์จะต้องดึงที่เปลือกตา ซึ่งจะทำให้แผลผ่าตัดที่เย็บไว้เปิดแยกจากกันได้

8. อาการบวมหลังผ่าตัดจะมีอยู่ประมาณ 3 วัน และเริ่มยุบบวมในวันที่ 4 ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายสนิท และเห็นชั้นดวงตาที่สวยงามในสัปดาห์ที่ 4 ทั้งนี้ คุณสามารถทำงานได้ตามปกติ หลังจากการผ่าตัด 3 วัน

บางคนอาจถามหมอว่า ทำตา 2 ชั้น แล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า?
หมอขอตอบอย่างนี้นะครับ ในการทำตา 2 ชั้นก็อาจพบผลข้างเคียงได้บ้าง เช่น มีอาการฟกช้ำ ซึ่งถือเป็นเรืองปกติ แต่จะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งในการผ่าตัดก็ต้องมีอาการ ฟกช้ำบวมเป็นธรรมดา แต่หากคุณดูแลได้อย่างถูกต้อง เพียงแค่ 2-3 สัปดาห์ รอยฟกช้ำก็จะหายไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือร่องรอยให้สังเกตได้

อีกเรื่องคือ ชั้นตาไม่เท่ากันบางคนก็ถึงกับมาโวยวายกับหมอว่าผ่าตัดแล้วทำไมชั้นตาไม่เท่ากัน
จริง ๆ โดยธรรมชาติแล้วคงไม่มีใครมีอวัยวะสองข้างเท่ากันเปี๊ยบ แต่มักจะต่างกันไม่มากนัก เช่นเดียวกับตา 2 ชั้น ซึ่งหลังการผ่าตัดในระยะแรกอาจจะมีการบวมที่ไม่เท่ากันได้ จึงทำให้ชั้นตาดูต่างกันหรือสูงไม่เท่ากันได้

หากเราเข้าใจถึงธรรมชาติของเนื้อเยื่อว่าต้องให้อาการยุบบวมหายเป็นปกติก่อน คุณจึงจะได้ชั้นตาที่เท่า ๆ กัน และสวยสมใจในที่สุด ดังนั้นคุณจึงต้องใจเย็น ๆ และหมั่นดูแลตัวเอง พร้อมทั้งปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ


ในปัจจุบัน การผ่าตัดทำตา 2 ชั้นเป็นที่นิยมมากสำหรับผู้หญิง และมีผู้ชายอีกไม่น้อยที่มาทำกัน

การผ่าตัดทำตา 2 ชั้น จะทำให้คุณได้ชั้นตาใหม่ที่สวย มีดวงตาที่กลมโตขึ้น ส่งเสริมให้ใบหน้าของคุณสวยแปลกแตกต่างจากเดิม และที่สำคัญตาทั้ง 2 ชั้นจะอยู่กับคุณถาวรตลอดไป ในทางการแพทย์พบได้ไม่บ่อยนักว่าชั้นของตามีการเลือนหายไป มีเพียงขนาดของชั้นตานั้นมีโอกาสจะเล็กลงได้ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น หรือจากความหย่อนยานของผิวหนังเปลือกตา ร่วมกับการหย่อนลงของส่วนอื่น ๆ เช่น คิ้ว หน้าผาก เป็นต้น แต่ก็เป็นเวลาหลายๆ ปี หรือหลายสิบปีขึ้นไป คุณจึงสบายใจได้ว่าความสวยจะคงอยู่คู่คุณไปอีกนาน




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 15:31:11 น.
Counter : 581 Pageviews.  

(ผิว) สวย เลือกได้

เกิดเป็นผู้หญิงสวยเลือกได้อย่างเราๆ นอกจากจะแต่งหน้าให้สวยใสบาดใจหนุ่มๆ แล้วอย่าลืมใส่ใจผิวหน้าซึ่งเป็นปราการด่านสำคัญของความงามเป็นอันขาด ฉะนั้นก่อนจะเข้าสู่กระบวนการแต่งหน้าเต็มสูตร พี่ฮั้วขอพาสาวๆ ย้อนกลับไปทำความรู้จักกับผิวหน้าของเราให้ดีเสียก่อน

ผิวของเรานั้นแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ ผิวแห้ง ผิวผสม ผิวมัน และผิวบอบบางแพ้ง่าย ซึ่งแต่ละประเภทก็ต้องการเทคนิคในการดูแลและบำรุงที่แตกต่างกันไป ดังนี้ค่ะ

ผิวแห้ง สังเกตได้จากรูขุมขนที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก สภาพผิวมักจะแห้งตึง แตกเป็นขุยได้ง่าย เวลาทาครีมบำรุงไปแล้วจะซึมซาบหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือความมันหรือความชุ่มชื้นจากมอยส์เจอไรเซอร์อยู่บนผิวน้อยมาก และทำให้บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้เซรั่มบำรุงผิวแทนครีมบำรุงผิวตามปกติเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

สภาพผิวแห้งนั้นนอกจากจะติดตัวมาแต่กำเนิดสำหรับคนบางคนแล้ว ยังเกิดขึ้นได้กับผิวที่ขาดการบำรุงมาเป็นเวลานานด้วย ผิวหน้าแบบนี้ เวลาทาครีมบำรุง เนื้อครีมจะไม่ค่อยซึมซับลงไปในเนื้อผิว ทำให้บำรุงเท่าไร สภาพผิวก็ไม่ดีขึ้นได้ง่ายๆ

สำหรับสาวผิวแห้ง นอกจากควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความชุ่มชื้นสูงหรือเข้มข้นกว่าปดติแล้ว การดื่มน้ำเยอะๆ ก็ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ด้วย

ดูอย่างมาช่าคุณแม่ระดับซูเปอร์สตาร์สิคะ ยังต้องติดน้ำเปล่าไว้ดื่มตลอดเวลาเลย เคล็ดลับนี้ง่ายสุดๆ ขอยืมไปใช้ได้เลยค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ แนะนำชนิดครีมที่เข้มข้นกว่าปกติ หรือชนิดที่ผสมเซรั่มบำรุงผิวให้ความชุ่มชื้นสูง

ผิวมัน คนที่มีผิวหน้ามัน หลังล้างหน้าได้ไม่นาน ความมันจะเริ่มปรากฏให้รำคาญใจทันที เพราะต่อมไขมันใต้ผิวจะผลิตน้ำมันออกมาหล่อเลี้ยงผิวในปริมาณมากกว่าคนอื่น ทำให้รูขุมขนมีขนาดค่อนข้างกว้าง และโอกาสเป็นสิวก็มากขึ้นตามไปด้วย แต่ก็อย่าเพิ่งน้อยใจไป เพราะผิวซึ่งอุดมไปด้วยน้ำมันนั้น จะช่วยให้ใบหน้าไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรค่ะ

สาวผิวมันจึงควรเลือกซื้อเครื่องสำอางที่ไม่ผสมน้ำมัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มความมันเงาให้ใบหน้าเข้าไปอีก และแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องลงรองพื้นก่อนการแต่งหน้าก็ได้ ผิวจะได้ไม่อุดตัน แค่ลงผลิตภัณฑ์ปรับสภาพผิว (ไพรเมอร์) และคอนซีเลอร์ปกปิดริ้วรอยก็พอแล้วค่ะ

ผิวแพ้ง่าย ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า “ผิวระคาบเคือง” นั้นต่างจาก “ผิวแพ้ง่าย” นะคะ

- ผิวระคายเคือง คือผิวที่เกิดปฏิกิริยากับสารเคมีบางอย่าง ทำให้เกิดอาการระคายเคือง ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ เมื่อเลิกใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ

- ผิวแพ้ง่าย เกิดจากความบอบบางของผิว ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ เช่น ฮอร์โมน กรรมพันธุ์ พักผ่อนน้อย เป็นภูมิแพ้ ละเลย ไม่ดูแลรักษาผิวอย่างเพียงพอจนทำให้ผิวอ่อนแอ หรือการโดนสารเคมีเยอะๆ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ผิวแพ้ง่ายนั้นรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่ระวังไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ค่ะ

ในมุมมองของเมคอัพอาร์ติสท์ พี่ว่าสาวไทยกำลังประสบปัญหาผิวแพ้ง่ายเยอะมาก ทั้งแพ้ฝุ่น แพ้น้ำ แพ้อากาศ ปัญหานี้ต้องปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญในการรักษานะคะ

ขนาดพี่เองยังเคยหน้าขึ้นผดผื่นมาแล้ว เพราะโดนฝุ่นสเปรย์จากผลิตภัณฑ์เสริมความงามอยู่เรื่อยๆ และไม่ได้ใส่ใจ จนในที่สุดต้องไปหาคุณหมอรักษาเป็นการใหญ่ ทำให้ต้องหันมาใส่ใจดูแลผิวมากขึ้น

เวลาเลือกซื้อเครื่องสำอาง คนที่มีผิวแพ้ง่ายจึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น The Body Shop*, Origins*, Philosophy* และก่อนจะซื้อก็ต้องทดสอบกับผิวด้วยการป้ายบริเวณท้องแขนหรือมือด้วยนะคะ อย่าคิดว่าใช้แบรนด์เหล่านี้แล้วจะไม่แพ้ล่ะ

* The Body Shop แบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากประเทศอังกฤษ มีจุดเด่นเรื่องการรณรงค์ต่อต้านการทดลองผลิตภัณฑ์กับสัตว์ก่อนนำมาใช้จริงกับมนุษย์
* Origins เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติเป็นหลัก และยังชูประเด็นเรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จุดเด่นอยู่ที่การตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ได้น่าใช้มากๆ เช่น “A Perfect World”, “Checks and Balances” และ “Calm to Your Senses”
* Philosophy แบรนด์ดังที่มีจุดเริ่มต้นจากการทดลองของแพทย์ผิวหนังผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นได้รับการวิจัยและรับรองแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว

โอ๊ะ โอ๊ะ...สำหรับรองพื้นนั้นเวลาจะทดสอบว่าแพ้หรือไม่ให้ลองทาที่ท้องแขนหรือมือได้ แต่ถ้าจะลองว่าสีเข้ากับผิวไหม ต้องลองทาบนใบหน้าเท่านั้นนะคะ ลองกับผิวใต้ท้องแขนไม่เวิร์คแน่นอน เพราะผิวสองส่วนนี้คนละสีกันค่ะ


“ผิวสี สีผิว” อันนี้สิเลือกไม่ได้
สาวไทยส่วนใหญ่จะมีสีผิวออกไปทางขาวเหลืองน้อยคนจะมีผิวขาวอมชมพูแบบในโฆษณา ซึ่งพี่ว่าจริงๆ แล้วผิวขาวอมชมพู เวลาแต่งหน้าออกมาแล้วจะดูซีดไม่สวยเท่าผิวขาวเหลือง

ส่วนคนที่มีสีผิวตั้งแต่น้ำผึ้งขึ้นไปนั้น ไม่ว่าระดับความคล้ำเท่าใดก็นับว่าเป็นสาวผิวสีค่ะ
จริงๆ แล้วพี่ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้ตัวอยู่แล้วว่าเรามีสีผิวโทนไหน เพียงแต่จะยอมรับความจริงได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น อย่างตัวพี่เองแต่ก่อนก็มักจะคิดว่า “ฉันก็ไม่ได้ดำสักหน่อย” และเชื่ออยู่ตลอดว่าตัวเองเป็นคนผิวสองสี แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิวคล้ำ

เมื่อเรายอมรับได้ว่า ไม่ว่าเราจะมีผิวสีไหนก็สวยได้ในแบบของตัวเองทั้งนั้น จะทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นที่จะแต่งหน้าและแต่งตัวให้เหมาะกับสีผิวของเรา แล้วจะรู้สึกว่า “ผิวสี” หรือ “สีผิว” นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ตรงไหนเลย

ฉะนั้นส่องกระจกดูตัวเองให้ชัดๆ อีกที แล้วยอมรับความจริงอย่างภาคภูมิใจในสีผิวของตัวเองเถอะค่ะ


การดูแลบำรุงรักษาผิวหน้าให้มีสุขภาพดี นอกจากจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวทนต่ออาการแพ้ได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เวลาแต่งหน้าเครื่องสำอางสามารถเปล่งประกายความงามออกมาได้อย่างเต็มที่อีกด้วย


มาบำรุงรักษาผิวพรรณกันดีกว่า

นอกจากกินอาหารครบห้าหมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนอย่างเพียงพอ และบำรุงผิวอย่างถูกวิธีแล้ว การขั ลอก พอก นวด และมาสก์ก็สำคัญไม่แพ้กัน

การบำรุงผิวพรรณใช้หลักการเดียวกับการดูแลผิวหน้า ต้องใส่ใจ ไม่ปล่อยปละละเลยอย่างเด็ดขาด จากประสบการณ์ของพี่เอง จากเมื่อก่อนที่เป็นคนไม่ดูแลผิว ไม่ค่อยทาครีมที่ตัวและหน้า เพราะมักจะคิดอยู่เสมอว่า “ฉันเป็นคนอ้วน ทาครีมบำรุงผิวไม่ได้หรอก เดี๋ยวเหงื่อออกก็เหนอะหนะ” แต่พอได้แรงยุจากเพื่อนๆ ที่พร่ำบอกให้ดูแลตัวเองบ้างเข้ามากๆ พี่ก็เริ่มหันมาใส่ใจดูแลผิวอย่างจริงจัง ทาครีมบำรุงทั้งผิวหน้าและผิวกาย คราวนี้ได้ผลทันตาเห็นค่ะ รูขุมขนกระชับชื้น ผิวหน้าชุ่มชื้น และผิวพรรณก็ดูเรียบเนียนสม่ำเสมอขึ้นเยอะ

ขัด ลอก สองอย่างนี้นานๆ ทำสักครั้งก็ดีนะคะ เพราะหากทำบ่อยอาจทำลายทำลายชั้นผิวได้ แต่ครั้นจะไม่ทำเลยก็ไม่ควร เนื่องจากสภาพอากาศบ้านเรามีทั้งมลพิษและสิ่งตกค้างเต็มไปหมด

พอก นวด มาสก์ คอร์สบำรุงผิวจำพวกนี้สนับสนุนใหทำบ่อยๆ ค่ะ เพราะเป็นขั้นตอนการบำรุงที่ล้ำลึกมากกว่าปกติคล้ายเป็นทางลัดในการบำรุงผิวอย่างหนึ่ง ทั้งยังช่วยผลัดเซลล์ผิวและผลักผลิตภัณฑ์บำรุงให้เข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดียิ่งขึ้นด้วย

มาสก์จะช่วยนำพาสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวออกไปได้อย่างหมดจด ซึ่งมาสก์ส่วนใหญ่จะมีเอสเซนเชียลออยล์ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างเร่งด่วน ทั้งยังมีส่วนผสมที่แตกต่างเพื่อให้อาหารผิวในรูปแบบที่ต่างกัน เช่น เติมน้ำให้ผิวต่อต้านสิว ช่วยลดไขมันส่วนเกินในรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย และกระชับผิว มาสก์ที่นิยมใช้กันมักจะเป็นแผ่นซึ่งใช้งานง่าย ไม่เลอะเทอะ แนะนำให้ใช้สัปดาห์ละหนึ่งครั้งก็เพียงพอแล้ว




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 7:42:45 น.
Counter : 419 Pageviews.  

ลดรอยแผลขรุขระ

หน้าตาและผิวพรรณที่นวลเนียน สดใส ปราศจากร่องรอยของแผลขรุขระ เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจในแรกพบ แต่หากเกิดรอยแผลจนทำให้ผิวหน้าขรุขระ คงทำให้คุณตกใจ และเป็นกังวลไม่น้อยใช่ไหมคะ เผลอ ๆ ไม่อยากออกไปพบหน้าใคร ๆ .ให้เขาเห็นร่องรอยของแผลเป็นที่ขรุขระ นั่นอาจทำให้หลายคนขาดความมั่นใจไปไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ

มีเด็กสาววัยรุ่นมาหาหมอ เพื่อจะรักษาสิวบนใบหน้า หมอเห็นหน้าของเธอแล้วตกใจมากเพราะเต็มไปด้วยรอยช้ำที่เกิดจากการบีบเค้นเอาหัวสิวออก จนหน้าปรุไปเลย มีทั้งรอยแผลเก่าแผลใหม่ เด็กสาวบอกกับหมอว่า “ที่หนูบีบสิวเพราะรำคาญ พอมันเยอะก็เลยเพลิน พี่ช่วยบีบบ้าง เพื่อนบ้างมันก็กลายเป็นแบบนี้ แล้วสิวก็ไม่เห็นจะหายเลย

หมอเห็นสภาพผิวพรรณแล้วเสียดายจริง ๆ แล้วเด็กสาวคนนี้ผิวดีมากดูได้จากเนื้อตัวที่มีผิวขาวนวลเนียน แต่ผิวหน้าคงต้องใช้เวลารักษากันนานพอสมควรค่ะ

คุณจึงควรสนใจและรู้จักวิธีการป้องกัน เพื่อไม่ให้ใบหน้าใส ๆ ของคุณเกิดริ้วรอยแผลขรุขระ มาดูกันว่ารอยแผลขรุขระบนใบหน้านั้น เกิดขึ้นได้จากสาเหตุใดบ้าง
1. รอยแผลเป็นจากสิว อาจเกิดจากการบีบ แกะ หรือเค้นสิว ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อช้ำ และเกิดแผลได้
2. เกิดรอยแผลจากการได้รับอุบัติเหตุ

3. เกิดรอยแผลจากโรคอีสุกอีใส

เมื่อเก็ดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าแล้วอย่ามัวนิ่งเฉยอยู่นะคะควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยเฉพาะ แพทย์จะตรวจลักษณะความตื้นลึกของรอยแผลเพื่อทำการรักษาและแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างถูกวิธี

วิธีการรักษาลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าสามารถทำได้หลายวิธีค่ะ
1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นให้รอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง ห้ามแกะนะคะ

3. รักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกล่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเขาไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่ม วิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็น การผลัดผิวใหม่โดยใชัเครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัด ผิวส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อนข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารวสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น


การรักษาทุกวิธีที่กล่าวมาแล้วข้างต้นหมอจะเป็นผู้พิจารณาเองว่าสภาพผิวหน้าของคุณควรที่จะใช้วิธีแบบไหนที่จะสามารถช่วยให้รอยแผลตื้นขึ้นและดีขึ้น แต่อาจจะไม่หายไปในทันทีทั้งหมด ซึ่งในการรักษาคงตองใช้เวลานานพอสมควรและความอดทนต้องเป็นเลิศระยะหนึ่งและเพื่อให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น คุณควรปฏิบัติตัวหลังการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้
1. ควรพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ๆ เนื่องจากในระยะนี้ผิวจะไวต่อแสงแดดมากขึ้น อาจทำให้หน้าแดงบ้าง และควรทาครีมกันแดดเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์

2. ก่อนใช้ยาหรือเครื่องสำอางบางประเภทควรปรึกษาแพทย์ ทุกครั้ง อย่านำมาใช้เองโดยพลการ

3. ควรมาพบแพทย์ตามนัด เพื่อแพทย์จะได้ทำการรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

4. ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีขึ้น


ในการรักษาเพื่อลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า อาจเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้บ้าง เนื่องจากตัวยาที่ใช้บางชนิด อาจทำให้รู้สึกระคายเคืองต่อผิวหน้า ผิวลอกเป็นขุยเล็กน้อย หรือผิวแดงง่ายขึ้นเวลาถูกแดดจัด ซึ่งแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลหรือให้ยาเพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

การรักษารอยแผลเป็นจากสิว นอกจากวิธีรักษาทางการแพทย์ที่ดีแล้ว สิ่งที่ต้องใช้อีกอย่าง คือ ระยะเวลา เพราะคุณจะไม่สามารถเห็นผลได้ทันทีทันใด ดังนั้นคุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์สม่ำเสมอ และใจเย็น ๆ แล้วริ้วรอยขรุขระบนใบหน้าจะลดลงและสัมผัส ได้ถึงใบหน้าที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 7:40:46 น.
Counter : 712 Pageviews.  

ปลูกผมรักษาเส้นผม

ในตอนแรกนี้หมอจะแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่พบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง ซึ่งส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพและขาดความเชื่อมั่นในตนเองมากพอสมควร

แม้ว่าคุณจะหน้าตาหล่อ-สวยดีเพียงใดก็ตาม หากคุณขาดเส้นผมที่ดกดำแล้ว ก็เหมือนบ้านที่ไม่มีหลังคาครับ คุณลองนึกดูสิว่าสภาพจะเป็นอย่างไร คนที่ผมบาง ก็เหมือนบ้านที่มีหลังคาเว้า ๆ แหว่ง ๆ ถ้าบางมากหน่อยก็เหลือแต่โครงหลังคา ไม่ต้องให้หมอบรรยายนะครับว่าความหล่อความสวยจะลดหายไปเท่าไหร่

จะบอกอะไรให้คุณสบายใจหน่อย จากสถิติพบว่า ร้อยละ 90 ของผู้ที่มีศีรษะล้าน เกิดจากกรรมพันธุ์ นั่นหมายถึงถ้าคุณมี พ่อ – แม่ – ปู่ – ย่า – ตา – ยาย มีศีรษะล้าน หรือหัวล้าน คุณก็อาจจะได้รับมรดกเป็นล้านเลยครับ
ทีนี้เมื่อผมเริ่มเหลือน้อยลง บางคนก็หาวิธีรักษา บ้างไปหายามาทาหรือมารับประทาน หรือไม่ก็ใส่วิกผม หรือใช้การทอผม ฯลฯ วิธีการรักษาเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นการรักษาที่ถาวรหรอกนะ แต่ด้วยวิวัฒนาการที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของวงการแพทย์

ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นวิธีการรักษาศีรษะล้านอย่างถาวร เป็นการเสริมสร้างเส้นผมที่แท้จริงและถาวรสำหรับผู้ประสบปัญหาศีรษะล้าน นั่นคือ การปลูกเส้นผมลงบนหนังศีรษะ ซึ่งมีวิธีการทำด้วยกัน 2 วิธี คือ การปลูกเส้นผมจริง และการปลูกเส้นผมเทียม ซึ่งเป็นวิธีที่ลดความยุ่งยากให้แก่ชีวิตประจำวันของคุณได้ตลอดไป


วิธีการแรกที่หมอจะกล่าวถึงก็คือ การปลูกเส้นผมจริง ซึ่งสามารถทำได้โดยการย้ายรากผมจากบริเวณท้ายทอยของคุณเอง มาปลูกในบริเวณที่ไม่มีเส้นผม จะช่วยให้เส้นผมเกิดขึ้นใหม่อยู่อย่างถาวรและผมยาวขึ้นได้อย่างธรรมชาติ
ซึ่งการเตรียมตัวก่อนการรักษานั้นไม่มีอะไรยุ่งยาก เพียงไปพบและขอคำปรึกษาจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านปลูกเส้นผม และหากคุณตัดสินใจจะปลูกเส้นผม แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย แนะนำการเตรียมตัวบางอย่างที่คุณควรปฏิบัติก่อนจะมารับการรักษา เช่น งดการตัดผมอย่างน้อย 2 อาทิตย์ ควรรับประทานอาหารอย่างอ่อนในวันที่มารับการปลูกผม เป็นต้น

ในการรักษาปลูกเส้นผมแต่ละครั้งแพทย์จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงต่อครั้ง ส่วนจะต้องทำกี่ครั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของบริเวณหนังศีรษะที่จะทำการปลูก และการปลูกเส้นผมแต่ละครั้ง แพทย์สามารถปลูกได้ประมาณ 400-2 000 กราฟ

เรามาดูกันว่าแพทย์เขามีขั้นตอนในการปลูกผมกันอย่างไรบ้าง
1. แพทย์จะฉีดยาชาหรือให้ยานอนหลับอย่างอ่อน เพื่อไม่ให้คุณมีอาการเจ็บปวดระหว่างการรักษา

2. แพทย์จะทำการตัดย้ายรากผมจากบริเวณท้ายทอย แล้วนำมาหั่นเป็นชินเล็ก ๆ ก่อนจะนำไปปลูกในบริเวณที่ไม่มีเส้นผม

3. แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษเปิดให้มีจุดช่องว่างเป็นจุด ๆ ที่บริเวณหนังศีรษะที่ไม่มีผม แล้วปลูกใส่รากผมที่เตรียมไว้ลงไปในจุดช่องว่างจนเต็มบริเวณหนังศีรษะที่จะปลูกเส้นผม

4. รอยแผลผ่าตัดที่บริเวณท้ายทอย เมื่อแพทย์ได้ผ่าตัดย้ายรากผมออกมาแล้ว แพทย์จะทำการเย็บหนังศีรษะเขาติดกัน เมื่อหายดีแล้วจะมองเห็นรอยแผลเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หลังจากที่ แพทย์ทำการรักษาเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถกลับบ้านได้โดยไม่ต้องนอนพักค้างคืนที่โรงพยาบาล และควรปฏิบัติตัวหลังการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้
1. ควรนอนในท่าศีรษะยกสูงขึ้นในช่วง 1 วัน หลังการรักษาเพื่อให้อาการบวมของศีรษะยุบเร็วขึ้น

2. ควรงดสระผมด้วยตนเองใน 2 วันแรก หลังจากนั้นควรสระผมทุกวันด้วยแชมพูชนิดอ่อน

3. ควรงดสูบบุหรี่หรืองดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ชั่วคราว

4. ระยะนี้ควรพักผ่อนและออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย

5. หลังการปลูกเส้นผมได้ 2 สัปดาห์ ควรมาพบแพทย์ตามที่นัด เพื่อให้แพทย์ติดตามผลการรักษา พร้อมทั้งตัดไหม และหากคุณมีขอสงสัยใดเพิ่มเติมคุณสามารถสอบถามแพทย์ได้

ภายหลังการปลูกเส้นผมจริง อาจมีอาการชาบริเวณหนังศีรษะที่ได้รับการปลูกผม ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวนะแล้วจะหายไปเอง คุณไม่ต้องวิตกกังวล

นอกจากการปลูกเส้นผมจริงดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกวิธีการหนึ่งซึ่งจัดเป็นวิวัฒนาการใหม่ล่าสุดของการแก้ไขปัญหาศีรษะล้านคือ การปลูกผมเทียมลงบนหนังศีรษะ เส้นผมเทียมที่นำมาปลูกนั้นเป็นใยสังเคราะห์ชนิดหนึ่งที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และมีสีให้เลือกตามความเหมาะสมของแต่ละคน เช่น สีดำ น้ำตาลแก่ น้ำตาลอ่อน เป็นต้น

ขั้นตอนในการเตรียมตัวก่อนการรักษานั้นก็ไม่มีอะไรยุ่งยากเช่นกันเพียงแค่ปรึกษาขั้นตอนและผลการปลูกเส้นผมจากแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อจะได้รับทราบรายละเอียด ส่วนระยะเวลาในการปลูกเส้นผมเทียมนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณมากหรือน้อยของบริเวณที่ทำการรักษา โดยมีขั้นตอน ดังนี้

1. แพทย์จะออกแบบการวางแนวผมที่จะปลูกให้แลดูเป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับคุณ

2. แพทย์จะฉีดยาชาที่บริเวณหนังศีรษะ เพื่อไม่ให้คุณมีอาการเจ็บหรือปวด ในระหว่างการรักษา

3. แพทย์จะนำปลายเส้นผมเทียมฝังใส่ลงไปตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ในหนังศีรษะ โดยที่เส้นผมเทียมจะยึดติดกับหนังศีรษะของคุณตลอดไป ซึ่งก็เป็นวิธีหนึ่งของการปลูกเส้นผมอย่างถาวร

หลังจากที่แพทย์ทำการปลูกเส้นผมเทียมเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถกลับบ้านได้ โดยไม่ตองนอนพักคางคืนที่โรงพยาบาล และควรปฏิบัติตัวหลังการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ดังนี้
1. งดเว้นการสระผม 3 วันแรก หลังการปลูกเส้นผม จากนั้นคุณสามารถสระผมได้โดยใช้แชมพูอ่อน ๆ หรือแชมพูที่ทางโรงพยาบาลกำหนดให้

2. ควรระมัดระวังการหวีผม ไดร์ผม เป่าผมในช่วง 1 เดือนแรกของการปลูกผม เนื่องจากผมเทียมที่ปลูกยังไม่แข็งแรงพอ

3. ห้ามอบน้ำร้อนหรือหมักโคลนผมเทียมโดยเด็ดขาด เนื่องจากโคลนอาจจะดึงเส้นผมหลุดติดออกมาได้

4. ควรมาพบแพทย์ตามที่กำหนดไว้ เพื่อให้แพทย์ติดตามผลการรักษา และหากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เพิ่มเติมคุณสามารถสอบถามจากแพทย์

5. ควรมารับการปลูกซ่อมแซมผมเทียมบางส่วน เพิ่มเติมปีละ 1 – 2 ครั้ง เนื่องจากโดยเฉลี่ยแล้วผมเทียมจะมีการหลุดร่วงประมาณ 10-20% ต่อปี

จะเห็นได้ว่าการปลูกเส้นผมทั้ง 2 วิธี ดังกล่าวนั้นไม่ยุ่งยากเลย แต่เพื่อการรักษาที่มีมาตรฐานและปลอดภัย คุณควรปรึกษาและรับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการปลูกเส้นผมโดยตรงจะดีกว่านะครับ

การปลูกเส้นผมจริง หรือปลูกเส้นผมเทียม เป็นการแก้ไขปัญหาศีรษะล้านได้อย่างถาวร ทำให้คุณกลับมามีผมดกเหมือนเดิม มีบุคลิกภาพที่ดี มีความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมปราศจากความวิตกกังวลใด ๆ และยังเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก ไม่เจ็บปวด ปลอดภัย และไม่แพงอย่างที่คิดนะ





 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 7:33:34 น.
Counter : 550 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  

นากาชิม่า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Tried to take a picture
Of love
Didn't think I'd miss her
That much
I want to fill this new frame
But it's empty

Tried to write a letter
In ink
It's been getting better
I think
I got a piece of paper
But it's empty
It's empty

Maybe we're trying
Trying too hard
Maybe we're torn apart
Maybe the timing
Is beating our hearts
We're empty

And I even wonder
If we
Should be getting under
These sheets
We could lie in this bed
But it's empty
It's empty
Friends' blogs
[Add นากาชิม่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.