Q[-___-Q ma leaw ja
Group Blog
 
All Blogs
 

ดวงตาสวยใส...ไร้ถุงไขมันใต้ตา



การผ่าตัดหนังตาหย่อนและถุงไขมัน


ด้วยเลเซอร์คาร์บอนไดอ็อกไซด์

อุปสรรคความงามบนใบหน้าของผู้หญิง ก็คงไม่พ้นเรื่องริ้วรอย วันนี้เราจะมาพูดถึงริ้วรอยรอบดวงตา อยากมีดวงตาที่สวยสดใสต้องมาฟังทางนี้ ดวงตาก้เปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจ จะสบตากับชายหนุ่มคนไหน ก็ต้องมีความมั่นใจไว้ก่อน ริ้วรอยบนใบหน้ามันฟ้องได้ถึงวัย และการดูแลใบหน้าของตัวเองนะจ๊ะ



มารู้จักถุงไขมันใต้ตากัน ถุงไขมันมันใต้ตา จะเป็นก้อนไขมันที่อยู่ใต้ดวงตา เกิดจากการสะสมของไขมันทำให้มันค่อยๆนูนออกมาทีละนิดจนเห็นเด่นชัด คราวนี้เครื่องสำอางค์ชนิดไหนก็เอาไม่อยู่ค่ะ จึงอยู่ที่การดูแลสุขภาพของเราด้วย ความเครียดก็มีส่วน และอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย



สำหรับคนที่เป็นแล้ว อยากสวยแต่ไม่มั่นใจ วิธีที่ดีที่สุดที่จะลดไขมันใต้ตาได้ก็ต้องใช้วิธีทางการแพทย์ ซึ่งการผ่าตัดจะช่วยแก้ไขได้ผลดี และใช้เวลาไม่มาก



" การผ่าตัดหนังตาหย่อนด้วยเลเซอร์ มีข้อดีเหนือวิธีปกติ ในการที่เป็นการผ่าตัดที่ไม่เสียเลือด จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องจี้เส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการบวมหลังผ่าตัด การผ่าตัดทำได้รวดเร็ว แผลไม่ช้ำ จึงเย็บแผลได้อย่างดี รอยแผลเป็นจะเห็นน้อยมาก ในกรณีถุงไขมันที่หนังตาล่าง หากทำในคนที่อายุไม่มากนัก ผิวหนังเปลือกตาล่างยังไม่หย่อนมาก สามารถเจาะเข้าจากเยื่อบุตาด้านใน และใช้เลเซอร์เลาะไขมันออก ทำให้ไม่มีรอยแผลเป็นให้เห็นจากข้างนอก





ศาสตราจารย์ นพ. นิวัติ พลนิกร ได้รับการฝึกอบรมการผ่าตัดชนิดนี้จากปรมาจารย์ด้านนี้ของโลก คือ ด็อกเตอร์ลอว์เลนซ์ เดวิด ที่สหรัฐอเมริกา และได้ผ่าตัดชนิดนี้มานานกว่าสิบห้าปีมีผู้รับบริการมากกว่าห้าร้อยราย การผ่าตัดวิธีเดียวกันนี้ในสหรัฐฯ จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 5,000 เหรียญ (180,000 บาท) ซึ่งสูงกว่าในประเทศไทยหลายเท่า



การผ่าตัดนี้ต้องมีการตรวจและนัดล่วงหน้า การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะมีการบวมเล็กน้อย ประมาณ 2-3 วัน ส่วนมากไม่จำเป็นต้องหยุดพักงาน การผ่าตัดหากมีการเย็บแผล ต้องมาตัดไหมประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังการผ่าตัด "



แม้การผ่าตัดจะจะทำได้ง่ายและสะดวก ก็ควรเลือกแพทย์ผ่าตัดที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อความมั่นใจและความปลอดภัยของสาวๆเองนะค่ะ



ขอบคุณเนื้อหาดีดีจาก โรงพยาบาลเจ้าพระยา




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2551    
Last Update : 25 สิงหาคม 2551 15:26:35 น.
Counter : 1119 Pageviews.  

เครียดอย่างไร...ให้สวยที่สุด


ในแต่ละวันของผู้หญิงเรา ย่อมมีเรื่องผ่านเข้ามามากมาย ทั้งเรื่องงาน ชีวิต ความรัก ครอบครัว เงินทองฯลฯ หลายเรื่องทำให้เราต้องเครียด ปวดหัว หรือคิดมาก และเราก็ปล่อยให้มันผ่านไป โดยไม่รู้เลยว่าอารมณ์เหล่านั้นทำอันตรายเราได้มากกว่าที่คิด

ล่าสุด ในนิตยสารมาดาม ฟิกาโร (madame FIGARO) ฉบับเดือนกรกฎาคม หน้าปกสาวสวย ซาร่าห์ เจสซิก้า พาร์คเกอร์ (Sarah Jessica Parker) ได้สรุปข้อดีและข้อเสียของการเป็นสาวรุกวีนแตกและสาวตั้งรับสุขุมกับความเครียดไว้อย่างละเอียด และน่าสนใจทีเดียว

จากสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าเมื่อคนส่วนใหญ่อารมณ์เสีย เครียด โกรธ หรือหงุดหงิดนั้น 39 เปอร์เซ็นต์ มักจะเปิดเผยมันออกมาตรงๆ อย่างรุนแรงเสียด้วย ในขณะที่ 25 เปอร์เซ็นต์ เลือกเก็บไว้ก่อน จนกว่าจะถึงจุดเดือด และมีอีก 23 เปอร์เซ็นต์ ที่ชอบแอบไปอยู่คนเดียวเงียบๆ กับความเครียด โดยไม่บอกใคร เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนกับปัญหาของตัวเอง ท้ายสุดมักจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ลืมมัน เลิกนึกถึงมัน หันไปหาอะไรกิน คุยเล่นกับเพื่อน ไปดูหนัง ไปสปา พวกนี้เฉลี่ยแล้ว 13 เปอร์เซ็นต์ แต่เอ๊ะ! คุณล่ะ เวลาโกรธ เป็นคนแบบไหน...


หากคุณเป็นสาวช่างวีน
ถ้าโกรธขึ้นมาเมื่อไรคุณเป็นต้องตอบโต้ทันที เพียงขอแค่ได้ระบายสักหน่อยล่ะก็ ข้อดี คือ การปลดปล่อยอารมณ์เช่นนี้ อาจทำให้คุณไม่ต้องเก็บกดเอาสารพันปัญหามาใส่ไว้ในสมอง ไม่ต้องมีอะไรมาค้างคาให้เก็บมาเครียดอีกแล้ว แม้ปกติจะดูมีผลเสียมากกว่า แต่จากการค้นคว้าของ The University of Michigan School of Public Health แล้ว เปิดเผยข้อเท็จจริงใหม่ที่เพิ่งค้นพบว่าคู่รักที่ทะเลาะกันนั้น มักมีอายุยืนยาวกว่าคู่รักที่โกรธกันแต่ไม่เคยกล่าวความรู้สึกใดๆ ออกมา แต่การระเบิดอารมณ์ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะข้อเสียของมันคือผลร้ายต่อสุขภาพของคุณ เมื่อยามที่คุณโกรธจัด อัตราการเต้นของหัวใจคุณจะสูงขึ้นในทันใด ซึ่งมันจะยิ่งทำให้ผนังเส้นเลือดของคุณอ่อนแอและเป็นอันตรายได้ แล้วอย่างนี้คุณยังจะโมโหอีกเหรอ


แต่ถ้าคุณเลือกรับมือกับความเครียดด้วยการเป็นสาวสุขุม ไม่ว่าจะเดือดเป็นไฟแค่ไหน แต่ก็เลือกที่จะควบคุมอารมณ์ให้ได้ เพราะกลัวว่าการแสดงโทสะออกไป อาจทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิมนั่น เรียกได้ว่าคุณเป็นคนที่จัดการกับอารมณ์ของตนได้อย่างมีชั้นเชิง และมีเหตุมีผลคนหนึ่ง การพยายามคิดว่าทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น และหาทางแก้ไข หรือใช้เทคนิคอื่น เช่น การมองในมุมมองของเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือหาเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อบรรเทาอารมณ์ลง เป็นอีกหนึ่งในวิธีที่คุณจะเย็นลง

แต่ทว่าข้อเสียของการนิ่งรับกับความเครียดและความโกรธแต่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมพูดออกมานั้น มันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณเท่าไหร่เลย เหมือนกับการอัดแก๊สใส่กระป๋องน้ำอัดลม พออัดมากๆ เข้า สักวันมันจะระเบิด สุดท้ายทำให้เรื่องรอบตัวเลวร้ายกว่าเดิม หรือในทางหนึ่งการเก็บความคิดเครียดๆ ไว้กับตัวนานๆ ด้วยเหตุผล “เรื่องที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง อีกฝ่ายพูดถูกเสมอ” หรือ “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะฉันแท้ๆ” ทั้งหมดนี้ อาจสะสมจนส่งผลให้คุณเป็นโรคซึมเศร้าได้ในที่สุด ดังนั้น เฉยไปก็ใช่ว่าจะดี


แล้วอย่างนี้ จะทำอย่างไรล่ะ...ท้ายสุด ในนิตยสารมาดาม ฟิกาโร ได้แนะนำเพิ่มว่า วิธีจัดการกับความเครียดที่ดีที่สุดคือ ใจเย็น เมื่อคุณรู้ตัวว่าโทสะเริ่มพลุ่งพล่านเสียจนน่ากลัว ก็ให้ถอยหลังกลับมา แล้วตั้งหลักใหม่ หาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่น พยายามหาอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณใจจดใจจ่ออย่างเต็มที่ทำ เช่น การเล่นเกม การอ่านหนังสือ การเล่นกีฬา เป็นต้น และเมื่ออารมณ์ของคุณเย็นลง ก็ถึงเวลาปรับความเข้าใจกับคู่กรณีถึงปัญหาที่ทำให้คุณฉุนเฉียวโดยปราศจากอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ภายใต้หลักพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา นี่ล่ะคือคำตอบที่ดีที่สุด เท่านี้คุณก็เป็นผู้หญิงที่รับมือกับความเครียดได้สวยที่สุดแล้ว




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2551    
Last Update : 25 สิงหาคม 2551 15:11:54 น.
Counter : 534 Pageviews.  

เคล็ดลับ 8 วิธีอวดผมสวยยามฝนพรำ


ฝนก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมเสีย นอกเหนือจากแสงแดด คลอรีน ยิ่งเข้าฤดูฝนยิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอกับฝนและคงไม่มีสาวไหนอยากมีผมแห้งเสีย เดอะบอดี้ ช็อป (ประเทศไทย) จึงนำเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการดูแลรักษาเส้นผมมาฝากสาวไทยด้วย 8 บัญญัติการดูแลเส้นผมง่ายๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน

เริ่มจากการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีค่าความเป็นด่างที่สมดุล เช่น ครีมนวดผมต้องมีคุณสมบัติปรับสภาพเส้นผมให้ชุ่มชื่นและล้างออกได้ง่าย


เวลาสระผมจะต้องนวดหนังศีรษะไปพร้อมกัน เพราะจะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนโลหิตที่หนังศีรษะดีขึ้น ให้น้ำมันตามธรรมชาติไปหล่อเลี้ยงเส้นผม หรืออาจนวดระหว่างวันด้วยหวีแปรงไม้


เมื่อผมเปียกชื้นอาจเป็นปัญหาหนึ่งที่สาวๆ อย่างเราต้องกังวล เพราะเวลาผมแห้งก็จะฟู ฉะนั้นอาจพกไดร์เป่าผมตัวจิ๋วไว้ในกระเป๋าหรือที่ทำงานสักอัน นอกจากจะได้ผมสลวยแล้ว เป็นอีกทางหนึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นหวัดได้เป็นอย่างดี


เวลาเป่าผมให้แห้ง ควรเป่าผมจากบนลงล่าง เพราะเกล็ดผมจะเรียงตัวตามธรรมชาติ ทำให้เส้นผมเรียงตัวสวยและเรียบเงางาม ไม่ชี้ฟู


สาวใดที่นิยมไดร์ผมให้ตรง ดัดผมด้วยโรลไฟฟ้า และรีดผมด้วยไฟฟ้า ต้องระวังเรื่องไฟดูดและควรใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องเส้นผมจากความร้อนด้วยเสมอ


ถ้าจำเป็นต้องหวีผมขณะที่เปียก ควรใช้หวีซี่ห่างๆ จะช่วยให้เส้นผมขาดน้อยลงได้


การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน ควรเลือกอาหารจำพวก ผัก ผลไม้ และควรดื่มน้ำให้มาก หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสี รวมทั้งพยายามงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ ก็จะเรียกได้ว่าเป็นการบำรุงให้ผิวและผมสวยใสจากภายในสู่ภายนอกนั่นเอง


ถ้าต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรปกป้องเส้นผมจากแสงแดดด้วยการสวมหมวก หรือทาครีมปรับสภาพผมทิ้งไว้เมื่อต้องออกแดด จากนั้นค่อยล้างออกตามปกติ

นอกจากนี้ปัญหาของสภาพผมสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สะเปะสะปะ ซึ่งสามารถนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ที่บ้านได้

สาวผมมัน นำว่านหางจระเข้มาฝานเปลือกออก แล้วนำเนื้อเจลไปปั่น จากนั้นตักมา 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และแชมพูที่ใช้อยู่อีก 1 ถ้วยตวง แล้วนำไปสระผมตามปกติ จะช่วยให้เส้นผมมีสมดุล ไม่แห้งและมัน

สาวผมแห้ง นำอโวคาโด 1 ผล ปอกเปลือกและบดให้ละเอียด ผสมกับกะทิจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้หมักผมหลังจากสระผมเรียบร้อยแล้ว โดยนวดให้ทั่วศีรษะ ใช้หวีซี่ห่างๆ แปรงผมให้เป็นระเบียบ ทิ้งไว้ 15 นาทีจึงล้างออก





สาวผมไม่มีน้ำหนัก ควรใช้น้ำส้มสายชูเศษหนึ่งส่วนสองถ้วยตวง ผสมน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวงและน้ำมันอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะเข้าด้วยกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มานวดเส้นผมและหนังศีรษะขณะเปียกให้ทั่ว ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วจึงล้างออก

ส่วนสาวที่มีปัญหารังแค หลังจากสระผมด้วยแชมพูขจัดรังแคตามปกติแล้ว นำชาโรสแมรี่ที่ทิ้งไว้จนเย็นมาล้างผมในน้ำสุดท้าย หรือใช้ชาโรสแมรี่ผสมกับแชมพูในอัตราส่วน 70 ต่อ 30 หรือใช้แชมพูซึ่งมีส่วนผสมจากน้ำมันมานูก้า ทีทรี ไรม์ การสระผมทุกครั้งต้องแน่ใจว่าได้ล้างแชมพูออกจนหมด เพราะสารตกค้างจะเร่งให้หนังศีรษะผลิตน้ำมากและทำให้รากผมมัน

เพียงเท่านี้เส้นผมก็จะสลวยเงางามมีสุขภาพดี




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2551    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 21:20:55 น.
Counter : 519 Pageviews.  

เผยเคล็ดลับ "สาวใส"วัย 30 วงการบันเทิง


เห็นหน้าละอ่อนๆ แต่ใครจะนึกว่าดาราสาวบางคนอายุเลข 3 นำแล้ว บางคนค่อนไปทาง 30 ปลายๆ ด้วยซ้ำ ว่าแต่สาวๆ เขามีเคล็ดลับอะไรกันบ้างน้า ถึงทำให้หน้ายังสวยใสไร้ที่ติ

ลองมาฟังเคล็ดลับสาวใสวัย 30 ของวงการบันเทิงกันดู

เริ่มกันที่นางเอกสาววัย 30 "แอน ทองประสม" "แอนมีวิธีเพิ่มความใสด้วยการนวดหน้าอาทิตย์ละครั้ง ออกกำลังกายให้ร่างกายได้แอ๊กทีฟ ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า หลั่งสารที่ทำให้สดชื่นมีความสุข ที่สำคัญคือต้องไม่เครียด แอนไม่เคยวิตกกังวลในเรื่องอายุที่ขึ้นเลข 3 แอนรู้สึกว่าตัวเองยังเด็กอยู่เลย และเรื่องอายุมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้ายิ่งย้ำตัวเองว่าแก่ๆๆ มันก็ยิ่งทำให้เราแก่ๆๆ อย่างที่ใจคิด (หัวเราะ)"

ด้านนางแบบสาว "ลูกเกด"เมทินี กิ่งโพยม ยอมรับอย่างภูมิใจ "ตอนนี้เกดอายุ 35 ปีแล้ว พออายุมากขึ้นเรื่องสุขภาพจำเป็นมากที่ต้องดูแล หาอะไรมาเสริมเพื่อให้รูปร่างและผิวพรรณคงเดิม ควบคู่กับการออกกำลังกาย การดูแลผิวดูแลหน้าตาต้องทำเพิ่มเป็น 2 เท่ากับสิ่งที่เคยทำ และเรื่องจิตใจเกดพยายามทำใจให้นิ่ง เพราะถ้ายิ่งกังวลกับเรื่องต่างๆ ยิ่งทำให้เราแก่ลง เรื่องอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญค่ะ"

"อ้อม"พิยดา อัครเศรณี สาวใสวัย 32 ปี บอกว่า "วิธีดูแลตัวเองให้มีใบหน้าสดใสคือพยายามหัวเราะให้ร่าเริง ไม่ซีเรียส อ้อมเป็นคนเส้นตื้นอยู่แล้ว เจออะไรก็ขำ รวมถึงดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างเรื่องการกิน โดยส่วนตัวอ้อมจะกินเนื้อสัตว์น้อยลง ทานแต่ผักผลไม้ รวมถึงกินช็อกโกแลตเพิ่มความสดใสด้วย แต่ตรงนี้ก็ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ไม่อย่างนั้นหน้าใสแต่อ้วนล่ะแย่เลย"

"เจี๊ยบไม่อยากบอกเลยว่าเจี๊ยบน่ะ 31 แล้ว" นางเอกสาว "เจี๊ยบ"โสภิตนภา ชุ่มภาณี บอกกล่าว พร้อมกำชับ "อย่าบอกใครนะ"

จากนั้นก็เผยเคล็ดลับว่า "เจี๊ยบจะไปตรวจร่างกายสม่ำเสมอปีละครั้ง และพยายามออกกำลังให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ดื่มน้ำสะอาดเยอะๆ เพราะเจี๊ยบเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเลยต้องทานน้ำตลอดเวลา และผู้หญิงเราเป็นเพศที่ต้องทานน้ำเยอะ ถ้าทานน้ำน้อยจะไม่ดีต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย"

ส่วนพี่ใหญ่วัย 37 "หน่อย"บุษกร พรวรรณะศิริเวช แง้มว่า "ก่อนแปรงฟันล้างหน้าตอนเช้าหน่อยจะดื่มน้ำอุ่นประมาณลิตรครึ่ง เคล็ดลับนี้ถือเป็นธรรมชาติบำบัด เหมือนทำดีท็อกซ์ด้วยน้ำก่อนเข้าห้องน้ำขับถ่าย ซึ่งส่งผลให้ระบบขับถ่ายดี ส่วนการดูแลผิวหน้า ตื่นนอนมาจะล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า จากนั้นก็ใช้น้ำผึ้ง เน้นว่าต้องแท้ ทาทิ้งไว้ 20 นาทีค่อยล้างออก น้ำผึ้งจะช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวค่ะ" มิน่า!! หนุ่มเคนถึงอยู่หมัด

ผ่านตัวเลขอายุ 30 มาไม่กี่เดือน สำหรับสาว "ธัญญ่า"ธัญญาเรศ รามณรงค์ โดยเผยเคล็ดลับหน้าใสว่า "ยอมรับว่าช่วง 30 อัพต้องดูแลผิวหน้ามากขึ้น เพราะรูขุมขนและริ้วรอยจะเริ่มมี ปกติตื่นเช้ามาธัญญ่าจะดูแลผิวด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์ ทาครีมกันแดด และเน้นการดื่มน้ำ ทานผักผลไม้เพื่อการขับถ่ายที่ดีค่ะ"

"เคล็ดลับพื้นฐานทั่วไปก็จะเน้นทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ หันมาใส่ใจสุขภาพพอๆ กับที่ใส่ใจเรื่องงาน" นางเอกสาวหน้าเด็ก "จอย"ศิริลักษณ์ ผ่องโชค เผย

ส่วนเคล็ดลับส่วนตัวนั้น เจ้าตัวว่า "ก่อนนอนทุกครั้งจอยต้องดื่มซุปไก่สกัด จอยไม่รู้หรอกว่ามันช่วยให้เห็นผลจริงมั้ย แต่ด้านจิตวิทยามันช่วยได้ เพราะเหมือนว่าเราดื่มมันแล้วนะ เดี๋ยวเราจะต้องสดชื่น พอตื่นมามันก็สดชื่นจริงๆ ค่ะ"

กรี๊ดสนั่น!! เมื่อถูกเหมาเป็นสาววัย 30 แต่ดาวร้ายสาว "เมย์ เฟื่องอารมย์" ก็ต้องจำนนเมื่อถูกย้อนว่า ขนาดนางเอกรุ่นน้อง "อั้ม"พัชราภา ไชยเชื้อ ที่มีอายุ 29 ปี ยังเรียกเมย์ว่า "พี่" อย่าง "เมย์" ไม่ถึง 30 แล้วจะอายุเท่าไหร่ล่ะ

สาวเมย์หัวเราะชอบใจก่อนเผยเคล็ดลับว่า "เมย์จะเน้นล้างหน้าให้สะอาด ใช้ครีมลดริ้วรอย ลดรอยด่างดำ ทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นเม็ดสี ฝ้า กระต้องมีบ้าง ก่อนออกจากบ้านจะทาครีมกันแดด จริงๆ เราควรดูแลผิวพรรณตั้งแต่อายุยังน้อย เมย์เพิ่งมาใส่ใจตอนอายุ 20 กว่า ส่วนการดูแลสุขภาพภายในจะเน้นทานน้ำ ผัก ผลไม้ เยอะๆ และเน้นพักผ่อนให้เพียงพอ





 

Create Date : 24 สิงหาคม 2551    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 21:19:30 น.
Counter : 584 Pageviews.  

"ชิตสึ" ศาสตร์การนวดเพื่อหน้าใส

ดร.เฮเลน แน็กส์ รองประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์นูสกินฯ กล่าวว่า การออกกำลังกายโดยการกดจุดนี้เป็นศาสตร์การนวดแบบดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า ชิตสึ (Shiatsu) ซึ่งมีความหมายว่าการกดจุดด้วยนิ้ว การนวดชิตสึนั้นยังได้นำหลักการแพทย์แผนจีนมาผสมผสานด้วย เพื่อปรับสมดุลการไหลเวียนของลมปราณในร่างกาย ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์อธิบายได้ว่าการนวดกดจุดจะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เพราะขณะที่ทำการนวดนั้นร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดรฟีนออกมามากกว่าปกติ ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและลดความตึงเครียด นอกจากนั้นการนวดกดจุดชิตสึยังสามารถชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรและยังเป็นการยกกระชับกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญด้านการกดจุดชิตสึ แนนซี่ แทม กล่าวว่า ลักษณะการนวดชิตสึคือการกดและปล่อยเป็นระยะๆ โดยใช้นิ้วมือและอุ้งมือกดตามจุดต่างๆ ในร่างกายด้วยน้ำหนักที่เท่าๆ กัน วิธีการนวดกดจุดนี้จะใช้นิ้วกลางกดไล่ไปตามจุดที่อยู่บริเวณผิวหน้าและร่างกาย โดยกดลงไปเบาๆ บริเวณจุด 2 วินาทีแล้วค่อยๆ ปล่อย จากนั้นทำซ้ำอีกหนึ่งครั้ง กดแล้วปล่อย ทำจนครบทุกจุด ดังต่อไปนี้


1.กลางหน้าผาก 1 จุด

2.เหนือริมฝีปากตรงกลาง 1 จุด จากนั้นไล่มาทั้งด้านซ้าย 1 จุดและขวาอีก 1 จุด

3.บริเวณโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง

4.ร่องปากทั้ง 2 ข้าง

5.ใต้ริมฝีปากล่าง 1 จุด

6.บริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง

7.บริเวณหัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง และลากตามแนวจากหัวคิ้วทั้ง 2 ข้างขึ้นไปบริเวณหน้าผาก จากนั้นจึงลากลงมาที่หางคิ้ว

8.บริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง

9.บริเวณหางตาทั้ง 2 ข้าง

10.บริเวณถุงใต้ตาทั้ง 2 ข้าง

11.บริเวณเบ้าตาล่างทั้ง 2 ข้าง

12.บริเวณกระพุ้งแก้มทั้ง 2 ข้าง

13.บริเวณเหนือหัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง

14.บริเวณกลางเหนือคิ้วทั้ง 2 ข้าง

สำหรับบนผิวหน้าของทุกคนจะมีจุดชิตสึทั้งหมด 29 จุด วิธีการนวดนั้นควรนวดเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งจะช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในระยะยาวสร้างสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยลดความตึงเครียดและความกระวนกระวายใจ รวมถึงปลดปล่อยสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายและสามารถชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรได้


ส่วนบริเวณลำตัวก็มีจุดชิตสึเช่นกัน การนวดบริเวณลำตัวจะไปกระตุ้นระบบการทำงาน และการไหลเวียนของเลือดและต่อมน้ำเหลือง รวมทั้งการทำงานของระบบภายในร่างกาย โดยการนวดนั้นจะใช้วิธีการนวดแบบเดียวกับการนวดบนใบหน้า โดยนวดไล่ไปตั้งแต่

1.แนวใต้รักแร้ 6 จุด

2.บริเวณต้นคอไล่ลงมาถึงบ่า 8 จุด เพื่อกระชับหน้าอก

3.บริเวณหน้าอก 4 จุด ให้เปลี่ยนมาใช้ข้อนิ้วมือค่อยๆ กดลงไปแบบกดปล่อยๆ เหมือนเดิม

4.บริเวณแนวกระดูกสันหลัง เริ่มตั้งแต่ท้ายทอยไล่ลงไป จะช่วยชะลอความหย่อนคล้อยของผิวหน้า และบรรเทาอาการปวดหลัง

5.บริเวณท้องแขน เพื่อยกกระชับผิวกายในบริเวณนั้น

6.บริเวณหน้าท้องรอบสะดือ 8 จุด โดยใช้สะดือเป็นศูนย์กลาง กดจุดวนตามเข็มนาฬิกา เพื่อช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายและกระชับหน้าท้อง

7.บริเวณสะโพกด้านหลังจนถึงบริเวณข้อพับเข่า ช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลือง

8.บริเวณด้านหลังข้อเท้า 3 จุด

9.บริเวณแนวฝ่าเท้า 4 จุด เพื่อปรับสมดุลให้กับระบบอวัยวะภายใน

นอกจากจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการกดที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเองแล้ว แนนซี่ แทม ยังให้เราสังเกตสภาพผิวหน้า หากเกิดสิวขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณที่ใดซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจจะเป็นการบ่งบอกถึงการทำงานที่ผิดปกติของระบบอวัยวะภายในต่างๆ ของร่างกาย อาทิ

หน้าผาก : ถ้าไม่เกิดจากผลิตภัณฑ์แต่งผม ก็เป็นเพราะการทำงานของลำไส้เล็กผิดปกติ หรืออาจจะเกิดแผลในลำไส้เล็ก

แนวขมับ : ปัญหาจากถุงน้ำดี การกระจายไขมันในร่างกายหรือระบบย่อยอาหาร

เหนือคิ้วและร่องปาก : เกิดจากการทำงานของระบบหัวใจผิดปกติ

ระหว่างคิ้ว : การทำงานของตับ ซึ่งอาจจะได้รับสารพิษสะสม

บริเวณใต้ตา : การทำงานของไต หากเกิดรอยผิวคล้ำใต้ดวงตาอาจเกิดจากการบวมน้ำ และระบบการขับถ่ายของเสีย

โหนกแก้ม : กระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นโรคกระเพาะ

กระพุ้งแก้ม : ปอดอาจได้รับสารพิษหรือมลภาวะในปริมาณมาก

ร่องแก้ม : การทำงานของลำไส้ใหญ่อาจจะเกิดอาการท้องผูก

คาง : เกี่ยวกับการทำงานของระบบฮอร์โมน




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2551    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 21:18:06 น.
Counter : 566 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  

นากาชิม่า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Tried to take a picture
Of love
Didn't think I'd miss her
That much
I want to fill this new frame
But it's empty

Tried to write a letter
In ink
It's been getting better
I think
I got a piece of paper
But it's empty
It's empty

Maybe we're trying
Trying too hard
Maybe we're torn apart
Maybe the timing
Is beating our hearts
We're empty

And I even wonder
If we
Should be getting under
These sheets
We could lie in this bed
But it's empty
It's empty
Friends' blogs
[Add นากาชิม่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.