Q[-___-Q ma leaw ja
Group Blog
 
All Blogs
 

การรักษาเส้นเลือดขอด

เส้นเลือดขอด คุณคงพอรู้จักนะ ก็เจ้าเส้นเลือดที่ปูดเขียวคล้ำตามแขนตามขานั่นไง เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเป็นนะโดยเฉพาะคุณผู้หญิงเพราะหากขา และน่องอันเรียวงามของคุณเกิดเส้นเลือดขอดขึ้นมาเป็นเส้นโป่งปูดเขียวเห็นได้ชัดเจนคุณก็คงไม่มั่นใจพอจะใล่กระโปรงสั้นอวดเรียวขาอันสวยงามของคุณได้

ในตอนนี้จะแนะนำวิธีการรักษาเส้นเลือดขอดกัน เรามาเริ่มกันที่ เส้นเลือดขอดเกิดจากอะไร

เส้นเลือดขอด เกิดจากความผิดปกติของลิ้น (Valve) เล็กๆ ในหลอดเลือดดำ ไม่สามารถสกัดกั้นการไหลย้อนของเลือดได้ จึงทำให้เลือดเกิดการคั่งอยู่ในหลอดเลือดส่วนปลาย ได้แก่ส่วนที่อยู่ใกล้ผิวหนังทำให้เห็นเป็นเส้นเลือดที่โป่งพองเป็นก้อน หรือเป็นเส้นเลือดฝอยแตกคล้ายแผนที่หรือใยแมงมุม

ตำแหน่งที่พบบ่อยๆ คือ บริเวณน่อง, ขาพับ, โคนขา และบริเวณระหว่างตาตุ่มขึ้นไปถึงสะโพก ซึ่งลักษณะดังกล่าวทำให้เรียวขาดูไม่เรียบและไม่สวยงาม ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะเป็นมากขึ้น และอาจมีอาการเจ็บปวดในบริเวณนั้น เส้นเลือดขอดจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนะ

แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดขึ้นมาล่ะ
ในชีวิตประจำวันของเราตองอาศัยการยืน หรือเดิน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดขึ้นมา แต่เส้นเลือดขอดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่นกัน ดังนี้

1. เกิดจากทำงานโดยต้องยืนหรือเดินนานๆ เช่น พนักงานขายสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสาร ฯลฯ
2. เกิดจากกรรมพันธุ์ พ่อแม่ที่มีเส้นเลือดขอด ลูกมีโอกาสเป็นเส้นเลือดขอดตามไปด้วย
3. เกิดจากอายุที่มากขึ้น จะเป็นเส้นเลือดขอดเพิ่มขึ้น เนื่องจากความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของลิ้นหลอดเลือดลดน้อยลง
4. เกิดจากฮอร์โมนเพศ ซึ่งเพศหญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศชาย เนื่องจากผลของฮอร์โมนเพศหญิงโดยตรง
5. เกิดจากการมีน้ำหนักเกิน คนที่มีน้ำหนักมากเกินเลือดจะหมุนเวียนได้ไม่สะดวก จะเกิดการคั่งค้างของเลือดบริเวณขามากขึ้น จึงทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้มาก
6. เกิดจากการกระทบกระแทกหรือกดทับ เช่น ไขว่ห้าง เนื่องจากเลือดเดินไม่สะดวก
7. เกิดจากการใส่รองเท้าส้นสูง ซึ่งจะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ไม่ดี

จะเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดบางอย่างเราพอหลีกเลี่ยงได้ แต่บางอย่างก็ไม่สามารถหลบพ้น แต่ไม่ต้องกังวลมากไปนะครับหากเกิดเส้นเลือดขอดขึ้น ก็มีวิธีรักษาให้หายได้

การรักษาเส้นเลือดขอดในอดีตที่ผ่านมา ทำได้โดยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันวงการแพทย์เมืองไทยได้มีวิวัฒนาการใหม่ ๆ ในการรักษาเส้นเลือดขอดโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเป็นการรักษาที่ได้ผลดีกับเส้นเลือดดำที่แตกแขนง และสามารถมองเห็นได้ชัดเจนโดยแพทย์จะฉีดน้ำเกลือ เข้าไปสร้างความตื่นตัวให้กับผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดขอดหดตัวลงได้ โดยทั่วไปจะใช้ในการรักษาเส้นเลือดขอดบริเวณขา บริเวณแขน มือ ใบหน้า และบริเวณลำตัวก็รักษาได้เช่นกัน

ซึ่งการรักษาเส้นเลือดขอดด้วยการฉีดน้ำเกลือชนิดเข้มข้นโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญูเฉพาะทางจะมีขั้นตอนการรักษาดังนี้
1. แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็ก ฉีดน้ำเกลือเข้มข้นเข้าไปในเส้นเลือดที่ขอดนั้น หรือบริเวณใกล้เคียงเพื่อให้เส้นเลือดขอดหดตัวลง

2. กรณีเส้นเลือดขอดที่เป็นมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งรักษาโดยการฉีดน้ำเกลือจะไม่ได้ผล แพทย์จะเปลี่ยนใช้น้ำยาเพื่อการรักษา ซึ่งเหมาะลำหรับเส้นเลือดขอดขนาดใหญ่และมีความปลอดภัยเช่นเดียวกับ น้ำเกลือ (คือยาประเภท Sclerosing Agent)

3. หลังจากฉีดยาแล้ว แพทย์จะนวดคลึงเบา ๆ ตลอดแนวของเส้นเลือดขอดนั้น เพื่อการกระจายตัวที่ดีของน้ำเกลือหรือน้ำยาที่ใช้ฉีด

4. ในกรณีเส้นเลือดขอดขนาดใหญ่มาก ซึ่งถ้าใช้วิธีการฉีดยาอาจจะไม่ได้ผล แพทย์จึงยังจำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดเจ้าเอาเส้นเลือดขอดออก จะเป็นการรักษาที่ทำให้เส้นเลือดขอดหายได้เร็วขึ้น


เมื่อแพทย์ให้การรักษาแล้ว จะให้คำแนะนำแก่คุณในการปฏิบัติ และดูแลหลังการรักษาเพื่อให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น โดย
1. ควรงดการยกของหนักหรือยืนนานๆ เป็นเวลา 3 – 7 วัน

2. ควรใส่ผ้ายืดหรือซัพพอร์ทในบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อประคองกล้ามเนื้อและเส้นเลือดบริเวณนั้น ส่วนระยะเวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของเส้นเลือด โดยเส้นเลือดเล็กฝอยให้ใส่ไว้ 1 - 3 วัน เป็นอย่างน้อย ส่วนเส้นเลือดขอดขนาดกลาง (ขนาดเท่าไส้ปากกา) ควรใส่อย่างน้อย 7 วัน ขึ้นไป

3. ควรออกกำลังกายด้วยการเดินทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้ยากระจายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น

4. ควรพบแพทย์ ตามนัดภายใน 2 - 4 สัปดาห์ เพื่อแพทย์จะได้ติดตามผลการรักษา

การรักษาเส้นเลือดขอดโดยวิธีการฉีดน้ำเกลือนี้ เป็นการรักษาที่ไม่ยุ่งยากอะไรเลย คุณไม่ต้องงดน้ำหรืออาหาร แพทย์จะใช้เวลาในการรักษาเพียง 30 - 60 นาที คุณจะไม่รู้สึกเจ็บ เพราะเข็มที่แพทย์ใช้ในการฉีดจะมีขนาดเล็กมาก ส่วนใหญ่เส้นเลือดขอดจะหายได้หลังการรักษาเพียง 1 - 2 ครั้ง แล้วแต่กรณีว่าคุณเป็นมากหรือน้อย


เส้นเลือดขอด นอกจากจะทำให้ผิวพรรณบริเวณนั้นๆ ดูไม่ดีแล้ว หากคุณปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้คุณเจ็บปวดได้ วิธีการรักษาเส้นเลือดขอดที่ทันสมัยด้วย การฉีดน้ำเกลือ หรือฉีดน้ำยา แม้แต่การผ่าตัดสำหรับผู้ที่เป็นมากก็ตาม เป็นวิธีที่ได้ผลดี สะดวก และปลอดภัย ใช้เวลาเพียงไม่นานคุณก็สามารถใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้นโชว์เรียวขาสวยได้แล้ว





 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 7:30:37 น.
Counter : 513 Pageviews.  

ทำหน้าขาวใส

ปัจจุบันนี้ ผู้หญิงมักทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น การเผชิญกับสภาวะแวดล้อมหลายอย่าง โดยเฉพาะแสงแดดจะส่งผลให้ใบหน้าหมองคล้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่โดนแสงแดดเลย ดังนั้นจึง ๆ แปลกที่ผลิตภัณฑ์รวมทั้งเครื่องสำอางยี่ห้อต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติช่วยให้หน้าขาวใส จึงถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ เพราะผู้หญิงขึ้นชื่อว่าเป็นเพศรักสวยรักงามที่สุดในโลก (คงไม่เถียงหมอนะคะ

แต่การใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าใช้แล้วจะดีกับทุกคน บางครั้งอาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นกับผิวหน้าได้ ฉะนั้นหากคุณใช้ไปแล้วมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ใช้เครื่องสำอางไปนาน ๆ แล้วเกิดหน้าดำละก็... หยุดค่ะ ! หยุดใช้เครื่องสำอางตัวนั้นทันที แล้วรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษา หากมาล่าชาก็จะต้องใช้เวลารักษาหน้ากันนานกว่าจะสวยเหมือนเดิมนะคะ




วงการแพทย์ปัจจุบัน ก็ได้พยายามคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ เพื่อทำให้ใบหน้าขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ได้ผลดี และปลอดภัย ดังนั้นเมื่อคุณมีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำควรรีบไปปรึกษากับแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการตรวจสภาพผิวหน้า และใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสม

วิธีที่จะทำให้ผิวหน้าขาวใสมีด้วยกันหลายวิธีที่นิยมใช้กันได้แก่
1. การรักษาด้วยเครื่องไอออนโตโฟรีซีส ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ประจุไฟฟ้าเป็นตัวช่วยนำยาเข้าสู่ผิวหนัง โดยตัวยาที่ใช้เป็นกลุ่ม วิตามิน ซี เพื่อลดการสร้างเม็ดลี และบำรุงเซลล์ให้ดูสดใส

2. การรักษาด้วยเครื่องโฟโนโฟรีซีส เป็นเครื่องมือที่ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์กระตุ้นให้ตัวยาเข้าสู่ผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน ซี เช่นเดียวกัน

3. การรักษาด้วย AHA Treatment เป็นการใช้ AHA (กรดผลไม้) ทาผิวหน้า เพื่อทำให้เซลล์ที่หมองคล้ำของผิวหน้าในชั้นหนังกำพร้าส่วนบนหลุดลอกออกง่ายขึ้น พร้อมกับกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ที่สดใสขึ้น

4. การใช้ยาหรือเวชสำอาง เช่น ยากลุ่ม วิตามิน ซี กลุ่ม AHA หรือยาที่ช่วยลดรอยดำด่าง ๆ โดยในการรักษา หมออาจจะพิจารณาใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันในการรักษาผิวหน้าของคุณ และเพื่อให้ได้ผลดีและเร็วขึ้น


หลังการรักษาไปแล้วคุณควรเอาใจใส่ในการดูแลผิวหน้าหน่อยนะคะ และควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ผิวหน้าหมองคลาขึ้นอีก โดยควรปฏิบัติปกป้องถนอมผิวหน้าไว้ดังนี้ค่ะ (ห้ามลืมนะคะ)
1. ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจัด ๆ เมื่อออกกลางแจ้งควรสวมหมวก หรือกางร่ม

2. ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถป้องกันรังลีทั้ง UVA และ UVB และควรพิจารณาเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 15 ขึ้นไป หากต้องไปในที่แสงแดดจัด ๆ ก็ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงขึ้น

3. หากพบว่าเครื่องสำอางใดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยหมองคล้ำ หรือดำขึ้น ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นโดยเด็ดขาด และควรทดสอบเครื่องสำอางก่อนใช้กับใบหน้าทุกครั้ง

4. ควรพักผ่อนอย่างเพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพจิตที่ดี จะช่วยให้ใบหน้าสดใสอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้ามีหลายลักษณะด้วยกัน ดังนั้นเมื่อมีปัญหาเรื่องผิวหน้าหมองคล้ำ ควรไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อให้คำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

ส่วนเรื่องของค่ารักษาหรือการดูแลผิวจะแตกตางกันค่ะ ขึ้นอยู่ที่วิธีการของหมอที่จะทำการรักษาให้ รวมถึงชนิดของยาต่าง ๆ ที่ใช้ในการบำรุงผิว ขัดผิว หรือลอกผิว เพื่อให้ผิวหน้าขาวใสขึ้น และรวมถึงการใช้เครื่องมือบางชนิด เช่น เครื่องไอออนโต หรือเครื่องโฟโน ซึ่งราคาก็อาจจะแตกต่างขึ้นตามลำดับ

แต่เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส...หรือสำหรับใครบางคนของคุณ การรักษาผิวหน้าให้ขาวใสนวลเนียนน่าสัมผัสเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่ผู้พบเห็น และคุณเองก็มีจิตใจร่าเริงเบิกบานเมื่อรู้ตัวว่า “เขาคนนั้น” ของคุณเพิ่มความรักเอาเอาใจคุณยิ่งกว่าเดิม คุ้มค่าแก่การรักษาผิวหน้าให้ขาวใสปิ๊ง...จริง ๆ ใช่ไหมคะ




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 7:28:11 น.
Counter : 634 Pageviews.  

ดวงตาสดใส ด้วยเลสิค Lasik

ใครๆ ก็คงอยากมีสายตาสดใสมองโลกแจ่มชัด โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหนาเตอะ หรือคอนแทคเลนส์ให้วุ่นวาย นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ "เลสิค" นวัตกรรมใหม่ในการรักษาสายตา ผงาดขึ้นครองความนิยมในเวลาอันรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การที่เลสิคฮอตฮิตอยู่ทุกวันนี้ ใช่เพียงเหตุผลแค่ผู้คนนึกเบื่อแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์เท่านั้นแต่อยู่ที่ความโดดเด่นของวิธีการทำเลสิคเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก รวดเร็วปลอดภัย แถมยังให้ผลอย่างถาวร ข้อดีเยอะขนาดนี้ จะไม่ให้โดนใจเห็นทีคงยาก

เลสิค หรือ LASIK ย่อมาจาก Laser In-Situ Keratomileusis เป็นวิธีที่มีความก้าวหน้าทันสมัยมากวิธีหนึ่งในการรักษาสายตาที่ผิดปกติ (ทั้งสายตาสั้น ยาว หรือเอียง)

โดยใช้เครื่องมือที่สำคัญ 2 ชนิด คือ เครื่องมือแยกชั้นกระจกตา (Microkeratome) และเครื่องเอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser)

มาถึงการเตรียมตัวก่อนทำเลสิคกันก่อนค่ะ

ผู้เข้ารับการรักษาทุกรายจะต้องเข้ารับการตรวจสภาพตาโดยละเอียดจากจักษุแพทย์ เช่น วัดความโค้งและความหนาของกระจกตา วัดขนาดรูม่านตา วัดค่าความผิดปกติของสายตาโดยละเอียด ทั้งก่อนขยายม่านตาและหลังขยายม่านตาด้วยยาหยอดขยายม่านตา รวมถึงการตรวจและประเมินสภาพตาอย่างละเอียด ซึ่งข้อมูลที่ได้ทั้งหมด จักษุแพทย์จะนำมาใช้วางแผนการรักษาและให้ข้อแนะนำแก่ผู้ที่เข้ารับการรักษาต่อไป


ผู้เข้ารับการรักษาที่ใส่คอนแทคเลนส์ จะต้องถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนล่วงหน้า ในกรณีที่ใส่เลนส์ชนิดนิ่มควรถอดก่อนอย่างน้อย 3 วัน ส่วนเลนส์ชนิดแข็งควรถอดก่อนอย่างน้อย 3 สัปดาห์ค่ะ


ที่นี้ก็มาถึงขั้นตอนการทำที่หลาย ๆ ท่านอยากทราบกันมาก

ขั้นตอนการทำเลสิคจะเริ่มจากจักษุแพทย์จะทำการแยกชั้นกระจกตาด้วยเครื่องมือแยกชั้นกระจกตา (Microkeratome) ก่อน จากนั้นจะใช้เครื่องเอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) ทำการปรับเปลี่ยนความโค้งของกระจกตาตามที่ได้คำนวณไว้แล้ว โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมการทำงานของเลเซอร์ทำให้มีความแม่นยำสูง ซึ่งขั้นตอนการใช้เลเซอร์นี้จะใช้เวลาแตกต่างกัน ตามแต่ความมากน้อยของความผิดปกติของสายตาหลังจากนั้นจึงนำชั้นกระจกตาปิดกลับเข้าที่เดิม โดยไม่ต้องมีการเย็บแต่อย่างใด เพียง 3-5 นาที กระจกตาก็จะสมานกลับเข้าที่เดิมโดยธรรมชาติ

โดยปกติ ขั้นตอนการทำเลสิคใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที หรือประมาณ 15 นาที ต่อ 1 ข้าง
การรักษาชนิดนี้ไม่มีความเจ็บปวด เนื่องจากจักษุแพทย์จะใช้ยาชาหยอดตาให้ก่อน และในระหว่างการทำก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฉีดหรือยาสลบแต่อย่างใด ภายหลังการรักษาสามารถกลับบ้านได้ทันทีด้วยค่ะ

โดยทั่วไป การทำเลสิคจะมีระยะการพักฟื้นที่เร็วมาก เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จะเป็นปกติ โดยส่วนใหญ่สามารถไปทำงานได้ในวันรุ่งขึ้น หลังการรักษาแล้วการมองเห็นมักจะดีขึ้นทันที แต่จะเห็นผลชัดเจนเมื่อได้รับการเปิดตาจากจักษุแพทย์ในวันรุ่งขึ้น ส่วนสายตาจะมองเห็นชัดเจนหรือเข้าที่ก็หลังจากผ่าตัดไปแล้วประมาณ 3-4 สัปดาห์

ถึงแม้การทำเลสิคจะมีความแม่นยำสูง แต่ผลการรักษาก็ขึ้นกับความมากน้อยของภาวะสายตาที่เป็นอยู่ด้วย จักษุแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและชี้แจงให้ทราบถึงโอกาสของความสำเร็จในการรักษาตามสภาพสายตาที่เป็นอยู่ของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละรายค่ะ

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ คงเห็นด้วยนะคะว่า การทำเลสิคนั้นแสนสะดวกจริง ๆ ใครที่มีปัญหาเรื่องสายตาแล้วอยากจะรักษาด้วยวิธีนี้ ก็ลองมาปรึกษากับจักษุแพทย์ได้ แต่อยากฝากข้อคิดไว้อย่างหนึ่ง แม้ว่าการทำเลสิคอาจดูเหมือนง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย แต่ก็อย่าประมาทค่ะ ถ้าคิดจะทำจริง ๆ ก็เลือกทำในโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีจักษุแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงจะดีกว่า มิฉะนั้นอาจได้ไม่คุ้มเสีย

เชื่อว่าการทำเลสิคคงช่วยให้ความหวังของหลาย ๆ ท่านที่อยากจะโบกมือลาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์... เป็นจริงสักที




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 7:26:38 น.
Counter : 478 Pageviews.  

คิดดีแล้วหรือที่จะดูดไขมัน?

ก็อย่างที่เขาว่ากันว่า เรื่องความสวยความงาม นี้ ห้ามกันไม่ได้จริงๆ สำหรับ ผู้หญิง คนที่ สวย อยู่แล้ว ก็อยากสวยขึ้นอีก บางคนที่รู้สึก ว่า ตัวเอง อ้วนเกินไป ก็หาทุกวิถีทาง ที่จะ ทำให้ ตัวเอง ลดหุ่นลงมา ผอมเพรียว เหมือน อย่างคนอื่น ทั้งออกกำลังกาย เล่นกีฬา อดข้าว อดปลา สารพัดวิธี วิธีเหล่านี้ต้องใช้ ความ อดทน พยายาม และเวลา มาก ทำให้บางคน คิดมองหา ทางลัดที่จะทำให้ ตัวเอง ผอมสวย สมใจด้วย ...แค่ไขมันส่วนเกิน ก็ตัด หรือดูดมันออกไป เสียสิ ... แต่ ...ระวัง!! ...การดูดไขมัน ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เหมือนดูดสิว เสีย เมื่อไหร่

การดูดไขมัน ที่ภาษาการแพทย์ ฝรั่งเขาเรียกว่า Liposuction ถือเป็นการรักษาทาง การแพทย์ ชนิดหนึ่ง สำหรับลด จำนวนไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนังที่สะสมอยู่เฉพาะที่ ในปริมาณมากเกินไป อย่างเช่น บริเวณหน้าท้อง สะโพก ก้น ต้นขา ต้นแขน หรือคอ เป็นต้น แต่ไม่ใช่วิธีการลดความอ้วน หรือการทำให้คนเปลี่ยนจากอ้วน กลายเป็นผอม เพรียว

ย้ำนะคะ ...ไม่ใช่วิธีการลดความอ้วน... ทำโดยการสอดเครื่องมือที่มีลักษณะ เป็นท่อ เรียวๆ ยาวๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณไม่เกิน 2 มิลลิเมตร ซึ่งต่ออยู่กับเครื่อง ปั๊ม สูญญากาศ หรือเครื่อง อัลตร้าซาวด์ ลงไปในชั้นผิวหนังผ่านรูเล็กๆ ขนาด 0.5-1.5 เซนติเมตร ที่แพทย์จะเจาะไว้บน ผิวหนังก่อนหน้านั้น แล้วทำการดูดไขมันใน บริเวณนั้นๆ ผ่านท่อ ลำเลียงออกมาภายนอกร่างกาย ไขมันที่เจ้าของไม่รักแล้วก็จะ ไหลออกมาเป็นของเหลวๆ ปนเลือด

ขออนุญาตกระซิบอีกทีว่า...มันต้องสอดท่อเข้าไปในร่างกายผ่านรูที่เจาะไว้... น้องๆ ผ่าตัดน่ะ แหละคะ อย่าประมาทไปเชียว....

เพราะการจะสอดท่อเข้าไปได้เนี่ย ถ้าแพทย์ไม่จับคุณดมยาสลบก็จะต้องใช้ยาชา เข้ามาช่วย ทำให้ คุณไม่เจ็บขณะที่เครื่องมือทั้งหลายกำลังควานๆ จิ้มๆ อยู่ในตัวคุณ หากคุณไม่แพ้ยาชา หรือยา สลบก็ถือว่าโชคดีไป ไหนจะเลือดออกอีกล่ะ แล้วเมื่อดูด ไขมันสำเร็จเสร็จสิ้นทุกจุดที่ต้องการ นอน พักรักษาตัวจนแผลหายสนิทแล้ว แต่บังเอิญ ไขมันส่วนเกินมันถูกกำจัดออกมากเกินไป เหมือน ลูกโป่งที่น้ำรั่ว ผิวไม่เต่งตึง เหมือนเดิม กลับกลายเป็นคลื่นลอนไม่เรียบเสมอกันเหมือนเดิม ขึ้นมา หรือบังเอิ๊ญ บังเอิญ... คุณเป็น คนที่มีผิวหนังเกิดเป็นแผลเป็นง่ายกว่าคนอื่น และดูแลตัวเอง ไม่ถูก ต้อง ทั้งหมดทั้งหลาย มันก็คือความเสี่ยง ที่คุณผู้หญิงอยากสวย จะต้องยอมรับ ในบัดดล ไม่ว่าจะ เกิดเหตุ อะไรขึ้นก็ตามหลังจากการกระบวนการเหล่านี้

...เห็นมั้ยล่ะคะ ว่ามันเสี่ยงเอาการอยู่นา...

ที่กล่าวมานี้ไม่ได้มีเจตนาจะขู่ให้กลัว เพียง อยากเน้นว่า ก่อนจะลงมือทำ อะไรกับร่างกาย โดยเฉพาะการทำให้ตัวเอง เลือดตกยางออก เพราะอยากสวยมากขึ้น กว่าที่ธรรมชาติให้ มาน่ะ ก็จะต้องหมั่นหาความรู้ และเข้าใจเรื่อง ที่จะทำไว้ มากๆ แล้วเผื่อใจไว้กับ ความเสีย หายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย เรื่องนี้คุณหมอปรีชา เตียวตรานนท์ อดีตนายกสมาคม ศัลยแพทย์ ตกแต่ง แห่งประเทศไทย เป็นคน ฝากย้ำมา ...เอาล่ะ ...ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ ส่องกระจกดู ตัวเองแล้ว ไม่พอใจในไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด ของร่างกาย และแน่ใจ ว่าตัวเองไม่เป็นโรคเหล่านี้ ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด โรคระบบไหลเวียนโลหิตไม่ดี หรือเคย ผ่าตัด ตรงตำแหน่งที่จะดูดไขมัน มาได้ไม่นาน

แล้วมีเจตนาแน่วแน่ว่าจะต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ด้วยการ ดูดไขมัน แน่ๆ เตรียมใจยอมรับ ความเจ็บของการผ่าตัด และความเสี่ยงทั้งหมดอันอาจ จะเกิดขึ้น อีกทั้งเข้าใจถ่องแท้แล้วว่า การดูดไขมันไม่ได้ทำให้คุณเปลี่ยนรูปร่าง ตัวเองให้เพรียว บาง ลงได้ เพียงแต่ช่วยให้ไขมัน ส่วนเกินเฉพาะที่ลดลง ...

คุณหมอปรีชา ได้แนะนำว่า คุณต้องเริ่มจากการไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้ตรวจ สุขภาพให้ ละเอียด บอกเขาถึงความต้องการของคุณ บอกให้หมดว่าคุณแพ้ยาอะไรบ้าง ถามความเป็นไป ได้ของผลการผ่าตัดที่คุณหวัง และต้องให้แพทย์อธิบายอย่างละเอียด ถึงผลแทรกซ้อน ที่อาจจะ เกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อ มีเลือดคั่ง ผิวหนังเป็นลูกคลื่น รอยแผล เป็นนูนหรือบุ๋ม ผิวหนังมีแผล อาจจะมีผิวหนังเปลี่ยนสีได้บ้าง ซึ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้น บ่อยแต่ก็ควรระวังไว้ ตลอดจนวิธีการดูแล รักษาตัวเองของคุณ ภายหลังจากดูดไขมันและ พักรักษาตัว แพทย์จะตรวจดูสภาพผิวของคุณด้วย เพราะคนที่มีร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์ ผิวหนังมีความยืดหยุ่นดี มักจะได้ผลดีจากการดูดไขมัน มากกว่าคนที่ไม่มีคุณ สมบัติดังกล่าว

แพทย์ที่คุณเลือกไปปรึกษาก็ควรเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง ที่ได้รับวุฒิบัตรศัลยแพทย์ ตกแต่ง ของ แพทยสภา หรือเทียบเท่าถ้าเป็นสถาบันจากต่างประเทศ ซึ่งควรได้รับ คำแนะนำจากแพทย์ประจำ วัยตัวของคุณให้แนะนำให้ หรือถ้าไม่มีใครใกล้ตัวคุณ ที่แนะนำแพทย์ให้ได้จริงๆ ก็อาจขอรายชื่อ แพทย์ที่เป็นสมาชิกของสมาคมศัลยแพทย์ ตกแต่งแห่งประเทศไทย หรือปรึกษาทางแพทยสภาก็ได้ และที่สำคัญ....อย่าไปสนใจ หรือหลงเชื่อกองเชียร์หน้าร้าน หรือสถานเสริมความงาม ที่ไม่ใช่ ศัลยแพทย์ ตกแต่ง เป็นผู้ลงมือเด็ดขาด....เพราะมันอาจ เป็นอันตราย ถึงอวัยวะภายในได้ทีเดียว

เมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว คุณจะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน บวม ปวด และมีแผล เล็กน้อยจากการ ใส่เครื่องมือ หลังผ่าตัดแพทย์จะใช้ผ้าพันบริเวณที่ดูดไขมันไว้ประมาณ 2-5 วัน และตัดไหมได้เมื่อ เวลาผ่านไปประมาณ 5-7 วัน หลังจากนั้นต้องพันผ้าหรือ ใส่เครื่องนุ่งห่มที่พันกระชับ กับส่วนนั้น ไว้อีกประมาณ 1-2 เดือน รอยช้ำเขียวจากการ ดูดจะคง อยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์แล้วจะค่อยหายไป ผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันอาจจะ มีลักษณะเป็นลูกคลื่นได้ ซึ่งน่าจะดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน โดยที่คุณ สามารถจะกลับไป ทำงานได้ประมาณ 1 สัปดาห์ภายหลังการผ่าตัด พร้อมกับรับประทานยา และ ปฏิบัติตัว ตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และหมั่นออกกำลังกายฟิตหุ่น เริ่มจากการออกกำลังกาย แบบเบาๆ อย่าหักโหมก่อนในช่วง 3-4 สัปดาห์หลังผ่าตัด แล้วหลังจากนั้นเมื่อแผล หายสนิทแล้ว ประมาณ 6-8 สัปดาห์ จึงค่อยเพิ่มการออกกำลังกายมากขึ้น จนเข้าสู่ ระดับปกติ รวมทั้งต้องควบคุม การ รับประทานอาหารอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากปล่อย ปละละเลยก็มีโอกาสที่ไขมัน จะกลับมาหา คุณใหม่อย่างแน่นอน

"การดูดไขมันเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับการลดไขมันเฉพาะที่ แต่ไม่ใช่คำตอบของการ ลดน้ำหนัก" วิธีที่ดีที่สุดของการลดน้ำหนักน่าจะเป็นเรื่อง ของการออกกำลังกายและ ควบคุมอาหารมากกว่า อย่าให้ความอยากสวยเข้ามาบดบังความจริงนะคะ โปรดจำไว ้เสมอว่า เมื่อแพทย์ลงมีดแล้ว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนอะไรได้อีกต่อไป ข้อคิดอันนี้ไม่ใช ่เฉพาะการดูดไขมันเท่านั้น แต่หมาย ความรวมถึงการทำ ศัลยกรรมความงามทุกชนิด ด้วยค่ะ




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 7:24:24 น.
Counter : 502 Pageviews.  

เมื่อเจ้าสาวต้องแต่งหน้าเอง

ฉะนั้นเพื่อป้องกันมิให้ปัญหาต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น คุณจำเป็นต้อง เตรียม การ ไว้ให้รอบคอบ ท่องเอาไว้ในใจว่า หน้าสวยต้องอาศัย ระยะเวลา ทางที่ดีที่สุดก่อนจะถึงวันที่คุณ จะเป็นเจ้าสาวคุณ จำเป็นต้อง ทำสิ่ง ต่อไปนี้ค่ะ







ดูแลหน้าตาของคุณให้สดใสอยู่เสมอ วิธีง่ายๆคือดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อให้ผิวพรรณมีความเปล่งปลั่งสดใส

อย่าเสนอหน้า ใช่แล้วค่ะ อย่ายื่นหน้าไปตากแดด ตากลมมากนัก เดี๋ยวผิวหน้าจะไหม้ คล้ำ ดำ เกรียม แต่งหน้าอย่างไรก็ไม่ขึ้นค่ะ

หากจะให้ช่างแต่งหน้า แต่งให้ ต้องรีบเล็ง และดูโหวเฮ้งไว้ว่า ช่างคนใดที่มีวิทยายุทธเข้าท่า แล้วลองให้เขาแต่งให้ดู หลายๆ แบบ ข้อสำคัญเลือกโทนที่เข้ากับสีผิวของคุณให้ได้มากที่สุด


ก่อนงานแต่งงานสัก 2 อาทิตย์คุณควรทดลองแต่งหน้าเสียก่อน ด้วยตนเอง โดยเริ่มจาก
หน้าสวย

เตรียมเมคอัพ ยี่ห้อที่คุณเคยใช้ อย่าคิดได้ลองของใหม่ ที่คุณไม่คุ้น เชียวค่ะ เพราหากแพ้ขึ้นมามากๆละก้อ รักษา1 เดือนอาจไม่หาย แล้ววันจริงหน้าของคุณ อาจเยินจนแทบ จะเอาปี๊ปคลุมหัว เลยทีเดียว

หากคุณมีปัญหาบางประการ บนใบหน้าไม่ว่าจะเป็นขี้แมงวัน กระ ฯลฯ อย่าลืมเตรียม คอนซีลเลอร์ เพื่อกลบร่องรอย อัน ไม่พึงปรารถนา

เตรียมครีมล้างหน้า หรือผลิตภัณฑ์ชำระล้างเมคอัพ ให้พร้อมกรณ ีเกิดการผิดพลาด ทางเทคนิค จะได้ลบทันค่ะ

หากคุณเป็นคนผิวมัน อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ ที่เพิ่มความมันให้กับผิว แต่หากผิวแห้ง ให้ใช้อย่าง สม่ำเสมอ

เลือกใช้รองพื้นที่ไม่มีน้ำมัน เป็นองค์ประกอบมากนักทางที่ดีเลือก แบบที่แห้งเร็ว มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะมันเยิ้ม จนแทบ จะเอาไปทอดไข่ได้

ทาแป้งฝุ่นให้เรียบ ระวังอย่าให้เกาะตัวเป็นก้อน


แก้มสวย

ปัดแก้ม โดยเลือกสีให้เป็นธรรมชาติ งานกลางคืนอาจเพิ่ม ปริมาณให้เข้ม กว่าเดิมสักหน่อย

ตาสวย

เลือกผลิตภัณฑ์แต่งตาที่ติดทนนาน เพราะเขาว่ากันว่า ดวงตา เป็น หน้าต่างของหัวใจ หากวันนั้นคุณเกิดอาการ ซาบซึ้งร้องไห้ น้ำตาเป็นเผาเต่า ว่าในที่สุดก็คว้าพ่อหนุ่ม คนข้างๆมาเป็น เจ้าบ่าวจนได้ เล่นซะมาสคาร่า หรืออายลายเนอร์ ละลายดำ ครึ้มมา เปรอะแก้ม แขกทั้งหลายคงคิดว่าคุณเพิ่งเสร็จภารกิจ การขายถ่านมาแน่ๆ ดังนั้นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ควรเป็นแบบ กันน้ำได้ และติดทนนานค่ะ

ปากสวย

หมั่นใช้ลิปมัน และทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์ บำรุงผิวอยู่เสมอ โดยทาก่อนแต่งหน้า 20 นาที

เลือกลิปสติคที่ติดทนนาน และใช้ลิปสติคแบบแท่งเขียนขอบ ปากเสียก่อน เพื่อให้ปากได้รูปแล้วจึงใช้พู่กันระบาย ลิปสติก ลงให้เต็มปากค่ะพู่กันจะช่วยให้ลิปสติคติดทนทานเพราะมันสามารถแทรกซึมไปในทุกอณูของริมฝีปากได้อย่างละเอียดอ่อนค่ะ

เมื่อแต่งหน้าได้ที่แล้ว ทิ้งไว้ให้แห้งสัก 2-3 นาที จากนั้นใช้สเปรย์ น้ำธรรมดาๆ นี่แหล่ะค่ะ ฉีดพรมที่หน้า เป็นการทดสอบว่าเมคอัพ ของคุณใช้การได้หรือไม่ ในกรณีที่คุณต้องร้องไห้ หรือมีเหงื่อโทรม ใบหน้า หลังจากนั้น 4-5 ชั่วโมงลองสังเกตดูเมคอัพใหม่ ว่ายังอยู่ใน สภาพดีหรือเปล่า หากอยู่ดี แสดงว่าใช้การได้ค่ะ

และแล้วเมื่อวันสำคัญ และยิ่งใหญ่ในชีวิตมาถึง คุณก็จะสวยได้อย่าง มั่นใจ หากคุณมีเวลาเตรียมตัวนานๆ คุณอาจทดลองแต่งหน้า ได้หลายๆครั้ง ถึงวันจริงช่างแต่งหน้าที่จองไว้ อาจตกงานก็เป็นได้ค่ะ ข้อสำคัญหากคุณแต่งเก่ง และชำนาญ คุณอาจยึดเป็นอาชีพ เลยก็เป็น ได้ในฐานะผู้มีประสบการณ์ตรง รวยเละเลยค่ะงานนี้!!!





 

Create Date : 05 สิงหาคม 2551    
Last Update : 5 สิงหาคม 2551 16:02:39 น.
Counter : 648 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  

นากาชิม่า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Tried to take a picture
Of love
Didn't think I'd miss her
That much
I want to fill this new frame
But it's empty

Tried to write a letter
In ink
It's been getting better
I think
I got a piece of paper
But it's empty
It's empty

Maybe we're trying
Trying too hard
Maybe we're torn apart
Maybe the timing
Is beating our hearts
We're empty

And I even wonder
If we
Should be getting under
These sheets
We could lie in this bed
But it's empty
It's empty
Friends' blogs
[Add นากาชิม่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.