เราต้องอาศัยคนตาดีพาเราไป
พวกเราเป็นชาวพุทธ เป็นพุทธศาสนิกชน
มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
เป็นที่พึ่งทางใจ ทำไมพวกเราถึงต้องถือ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
เป็นที่พึ่งทางใจ
เพราะตอนนี้พวกเราเป็นเหมือนคนตาบอด
ส่วนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ท่านเป็นเหมือนคนตาดี
ถ้าเราจะไปไหนมาไหน ถ้าเราเป็นคนตาบอด
เราก็ต้องอาศัยคนตาดีพาเราไป
ตอนนี้พวกเราบอดภายในใจ
ไม่ได้บอดที่ร่างกาย ตาของร่างกายเราดีอยู่
เราไปไหนมาไหนได้เอง สะดวกสบาย
แต่ตาของเราอีกอันหนึ่ง
ที่เรียกว่า ตาใน หรือ ตาทิพย์
เป็นตาของใจ ตาของใจของพวกเราตอนนี้มืดบอด
เพราะว่าเรากำลังหลงติดอยู่ในภพต่างๆ
ที่มีความทุกข์ไม่ว่าเราจะไปเกิดในภพไหน
เราก็จะต้องพบกับความทุกข์
เพราะทุกภพนั้นมีเกิดแล้วก็ต้องมีตายเป็นธรรมดา
พวกเราไม่ชอบความตายกัน เราจึงทุกข์กัน
ส่วนพระพุทธเจ้าพระอริยสงฆ์สาวกนี้
ท่านมีตาใน ท่านเห็นทางที่จะพาให้ออกจากกองทุกข์
แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ เราจึงต้องยึด
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นผู้นำทาง
ถ้าเราอยากจะหลุดพ้นจากกองทุกข์
แห่งการเวียนว่ายตายเกิด นี่คือทำไมเราถึงต้องถือ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง
การถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
เป็นที่พึ่งก็คือ ถือท่านเป็นครูเป็นอาจารย์นั่นเอง
ให้ท่านเป็นผู้สั่งสอนเรา
บอกวิธีให้เราออกจากกองทุกข์
แห่งการเวียนว่ายตายเกิดกัน ตอนนี้พวกเรา
กำลังอยู่ในทางของการเวียนว่ายตายเกิด
เราเวียนว่ายตายเกิดกันมาอย่างโชกโชน
จำนวนภพชาติของพวกเราที่ผ่านมานี้นับไม่ถ้วน
ถ้าอยากจะรู้ว่าเราได้เวียนว่ายตายเกิด
กันมามากน้อยเพียงใด
พระพุทธเจ้าก็ทรงให้เราเอาน้ำตา
ที่เราหลั่งในแต่ละภพแต่ละชาติ เอามารวบรวมกัน
แล้วเราจะได้น้ำตาที่มากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร
ก็คิดดูก็แล้วกันว่าเราจะต้องมาเกิด
มาร้องไห้กันกี่ครั้งด้วยกัน
ถึงจะผลิตน้ำตาได้มากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร
นั่นแหละคือจำนวนของภพชาติ
ที่เราเกิดและตายกันมาอย่างโชกโชนและไม่หยุดยั้ง
และยังเกิดตายกันอยู่ต่อไป
ถ้าเราไม่ได้มาพบกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะไม่มีใครที่จะรู้จักทางออก
จากการเวียนว่ายตายเกิดได้
มีพระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์สาวก
ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะรู้และที่จะสอนเรา
ให้เราได้ออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้
ให้เราหยุดหลั่งน้ำตาที่เราเคยหลั่งมาแล้ว
ที่มีมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร
นี่คือความสำคัญของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ที่เราต้องยึดถือเป็นครูเป็นอาจารย์
การถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะนี้
ก็ไม่ได้ห้ามเราไม่ให้ไปเคารพนับถือผู้อื่น
เราก็ยังนับถือบิดามารดา
ครูบาอาจารย์ที่สอนวิชาต่างๆ
ตามโรงเรียนต่างๆ เราก็ยังนับถือเคารพท่านได้
เชื่อฟังท่านได้ ตราบใดที่คำสอนของท่าน
ไม่ได้ขัดกับคำสอนของพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น ที่เราไม่สามารถทำได้
ถ้าใครสอนที่ขัดกับคำสอน
ของพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์
เราจะไม่ต้องทำตาม ถ้าเราถือพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์เป็นครูเป็นอาจารย์
อันดับที่ ๑ ของพวกเรา ครูบาอาจารย์ที่อื่นถือว่า
เป็นครูบาอาจารย์ระดับที่ ๒ ที่ ๓ ตามมา
ถ้าคำสั่งคำสอนของท่านไม่เสียหาย
ไม่ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
หรือบางทีขัดเราก็ไม่ทำตามได้
เช่น คำสอนบางคำสอนของพ่อแม่ก็อาจจะขัด
บางคำสอนก็อาจจะไม่ขัด
คำสอนที่ขัดเราก็ไม่ต้องทำตามได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
เราจะไม่สามารถอยู่กับพ่อแม่ได้
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เคารพพ่อเคารพแม่
เราเคารพพ่อเคารพแม่
ในฐานะที่ท่านเป็นผู้บังเกิดเกล้า
ท่านมีพระคุณกับเรา ท่านช่วยเหลือเรา
ท่านให้กำเนิดเราเลี้ยงดูเรา
อันนี้เป็นพระคุณที่เราต้องรำลึกถึงเสมอ
ต้องเคารพนับถือท่านในฐานะนั้น
แต่ถ้าท่านสอนอะไรบางอย่าง
ที่ไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
อันนี้เราขัดคำสั่งของท่านได้ เช่น เราอยากจะบวช
แต่ท่านไม่อยากให้เราบวช
ท่านว่า อย่าบวช อยู่ในโลกนี้
ทำมาหากิน มีครอบครัว ดีกว่าไปบวช
อย่างนี้เราขัดคำสอนของท่านได้
เพราะว่าคำสอนของท่านสู้คำสอน
ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ได้นั่นเอง
เพราะการออกบวชนี้เป็นการไปศึกษา
เป็นการไปปฏิบัติ เพื่อให้เราได้หลุดพ้น
จากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด
ส่วนการอยู่ดำรงชีพแบบผู้ครองเรือน มีครอบครัว
อันนี้เป็นการเดินทางไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด
เดินทางไปสู่กองทุกข์ต่างๆ เราก็ต้องเข้าใจว่า
พ่อแม่เราก็ยังเป็นคนตาบอดอยู่ ยังไม่เห็นทาง
สู่การหลุดพ้นจากกองทุกข์ และไม่รู้ว่าการมีครอบครัว
การอยู่แบบผู้ครองเรือนนี้เป็นการอยู่กับความทุกข์
นี่คือความตาบอดของปุถุชนที่ต่างกับพระอริยบุคคล
ที่เห็นความทุกข์ในวิถีชีวิต
ของปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเรา
คือ ฆราวาสผู้ครองเรือน.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
...................................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ
มีธรรมะนำทาง...ตาก็สว่างคะ..
สาธุ สาธุ สาธุ