Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
25 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

รับมือกับการตำหนิอย่างไรดี



ไม่มีใครชอบถูกตำหนิติเตียน ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกมองในแง่ร้าย
และไม่มีใครชอบใจเมื่อมีคนมาชี้นิ้วกล่าวโทษเราใช่ไหมคะ
แต่ทำอย่างไร หากเราต้องประสบกับสถานการณ์เหล่านี้

ไม่มีคำพูดไหนที่ทำให้เราเจ็บแสบได้เท่ากับการบอกว่า เราปฏิบัติงานได้ไม่ดีตามที่เจ้านายคาดหวังไว้
ตัดสินใจในงานสำคัญต่างๆ ได้แย่มาก หรือบริหารควบคุมไม่ดีจนทำให้โครงการล้มเหลว
และจะยิ่งรู้สึกแย่มากถ้าคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นคือ ‘ความจริง’

เรื่องความผิดพลาดเหล่านี้เรามักพบเห็นได้บ่อยๆ ในออฟฟิศที่ยังคงมีการทำงานผิดพลาด
มีการบ่น และโต้เถียงกันแทบทุกวันเพราะไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ ทำงานได้ยอดเยี่ยมตลอดเวลา
และไม่มีใครที่อยากถูกวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คุณจะมีวิธีจัดการกับมันอย่างไร

เพียงแค่ใช้เทคนิค 3 ประการต่อไปนี้เข้ามาช่วย เหตุการณ์ที่ตึงเครียดจะผ่อนคลายลงได้
และยังสามารถทำให้คนที่ถูกตำหนิรู้สึกดีขึ้นอีกด้วย


ประการแรก ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง
การพร้อมที่จะยอมรับความผิดพลาด
เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง ที่จะนำมาใช้ในการลดความตึงเครียดของสถานการณ์ เมื่อมีการตำหนิกันเกิดขึ้น
เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจะไม่มีใครยอมรับว่าตนเองเป็นคนทำแน่นอน
แต่จะกล่าวโทษผู้อื่น เพื่อหาตัวคนกระทำผิด
การกล่าวโทษกันไปมาจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงของความขัดแย้งยิ่งขึ้น แถมยังไร้ประโยชน์

สำหรับผู้นำที่ดีควรเป็นคนแรกที่ยอมรับความผิดพลาด
แล้วทุกๆ คนก็จะหันมาเห็นใจ แล้วบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดคุณ แต่เป็นความผิดของทุกๆ คนต่างหาก
แต่ในทางตรงข้ามหากคุณกล่าวโทษผู้อื่น
รับรองว่าพวกเขาจะหันมาโต้กลับคุณ และปกป้องในการกระทำของพวกเขาว่าถูกต้องแล้วแน่นอน

เมื่อคุณทำผิดขอให้ยอมรับความผิดพลาดนั้น ก่อนที่จะมีใครลุกขึ้นมาชี้ให้คนอื่นเห็น
อย่าพยายามพูดแก้ตัวเพื่อลดความผิดพลาดนั้นให้น้อยลง เพราะมันไม่มีประโยชน์ค่ะ



ประการที่ 2 คิดทบทวนให้รอบคอบก่อนที่คุณจะตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์ใคร
ซึ่งหากคนที่ทำผิดพลาดรู้อยู่แล้วว่าตัวเองผิด
คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไร เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะพูดให้เขารู้สึกเลวร้ายลงกว่าที่เป็นอยู่

หากคุณเข้าใจว่าไม่มีใครมาทำงาน เพื่อสร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวายให้แก่บริษัท
ทุกคนล้วนแต่ต้องการความระสึกว่าตัวเองเป็นที่ต้องการของคนอื่น
และต้องการทำงานตามหน้าที่รับผิดชอบของตนเองให้ดีที่สุด
แล้วคุณก็จะเข้าใจว่าการตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

สิ่งที่ควรทำคือหลีกเลี่ยงการตำหนิบ่นว่า
และเปลี่ยนการตำหนินั้นให้กลายเป็นการขอร้อง และการให้คำแนะนำแทน


การหาคนกระทำผิด หรือหาคนที่สมควรได้รับการตำหนิไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น การปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ ต่างหากคือสิ่งที่ควรกระทำ

ดังตัวอย่างของการต่อเติมโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ผู้อำนวยการต้องการต่อเติมโรงพยาบาลให้มีพื้นที่มากขึ้น ด้วยการสร้างโรงอาหาร และลานจอดรถใหม่
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอให้คณะกรรมการท่านหนึ่ง ช่วยควบคุมดูแลการก่อสร้างครั้งนี้
โดยให้คำแนะนำว่าเขาควรจ้างที่ปรึกษาทางด้านการสร้างอาคารจอดรถ และที่ปรึกษาทางด้านโภชนาการ

ผู้อำนวยการไม่มีเวลามากพอ ที่จะติดตามดูแลการก่อสร้างนี้ได้ตลอดเวลา
และกรรมการผู้ที่เขามอบหมายงานให้ก็ไม่ได้จ้างที่ปรึกษาแต่อย่างใด
ทำให้โรงพยาบาลประสบกับปัญหาสถานที่คับแคบ เมื่อผู้อำนวยการทราบเรื่องก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้
เนื่องจากมีการจ่ายเงินไปแล้วหลายสิบล้านบาท พอสร้างเสร็จโรงอาหารก็มีขนาดเล็กเกินไป
และมีคุณภาพอาหารต่ำกว่าเดิม ส่งผลให้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลได้รับผลกระทบไปด้วย

เหตุการณ์ครั้งนี้ผู้อำนวยการมีสิทธิ์ที่จะตำหนิกรรมการคนนั้น ในที่ประชุมและไล่ออกได้
แต่การตำหนิเขาในที่ประชุม ก็ไม่ได้ช่วยยกระดับคุณภาพอาหารให้ดีขึ้นได้ เขาจึงไม่อยากกล่าวโทษใคร
สิ่งที่ควรทำคือการแก้ไขปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้นกว่าเดิมต่างหาก

โดยมากแล้วการตำหนิติเตียน หรือการวิจารณ์มักจะทำให้ทุกคนอับอาย
คนที่ได้รับการตำหนิอย่างรุนแรง มักจะไม่ค่อยอยากแสดงความคิดสร้างสรรค์
ไม่ต้องการทำอะไรเกินกว่าขอบเขตหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบอยู่ เพราะไม่อยากเสี่ยง
ซึ่งเท่ากับว่าองค์กรจะสูญเสียศักยภาพของพนักงานผู้นั้นไปทันที

แต่ถ้าพิจารณาถี่ถ้วนแล้วว่า จำเป็นต้องมีการตำหนิติเตียนก็ควรติในเชิงสร้างสรรค์ และให้เกียรติซึ่งกันและกัน



ประการที่ 3 วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความนุ่มนวล และระงับอารมณ์ให้สงบนิ่ง
เพราะไม่มีใครต้องการรับฟังในแง่ลบของตัวเอง
ถ้าคุณให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาทำได้ดีพอๆ กับสิ่งที่เขาทำผิดพลาด เขาก็จะยอมรับฟังคุณมากขึ้น

ซึ่งการติหรือการวิพากษ์วิจารณ์ควรเริ่มจากการแสดงความชื่นชม และชมเชยในสิ่งที่เขาทำได้ดีและสำเร็จก่อน
แต่ต้องไม่แกล้งชมไปอย่างนั้น คุณต้องเอ่ยชมเขาด้วยความจริงใจ
จากนั้นจึงค่อยๆ พูดถึงเรื่องการพัฒนาและปรับปรุงข้อผิดพลาดของเขาด้วยความนุ่มนวล
ปิดท้ายด้วยการชี้ให้เห็นว่าเขามีคุณค่าต่อบริษัทของคุณอย่างไร
ซึ่งวิธีนี้มักจะได้ผลเสมอ เพราะจะทำให้คนฟังรู้สึกดี ทั้งๆ ที่มันคือการตำหนิติเตียน

การพูดด้วยความนุ่มนวลดีกว่าการใส่อารมณ์ และชี้นิ้วกล่าวโทษกัน
เพราะความนุ่มนวลและการแสดงความเป็นมิตร มีอำนาจเข้มแข็งกว่าการใช้โทสะและกำลัง
ดังตัวอย่างนิทานของพายุกับพระอาทิตย์ที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

วันหนึ่งพายุกับพระอาทิตย์ได้โต้เถียงกันว่า ใครคือผู้ที่มีอำนาจมากกว่ากัน
ในขณะที่กำลังถกเถียงกันอยู่บังเอิญมีชายชราคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี พายุจึงเสนอให้มีการแข่งขัน
โดยคนที่สามารถถอดเสื้อโค้ตของชายชราได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ
พายุเป็นฝายเริ่มก่อน ด้วยการพยายามเป่าลมให้แรงขึ้นจนเกือบเป็นพายุทอร์นาโด
แต่ยิ่งแรงเท่าไหร่ชายชราก็ยิ่งกำเสื้อโค้ตแน่นขึ้นเท่านั้น เมื่อถึงคราวของพระอาทิตย์
พระอาทิตย์ฉายแสงลงมาที่ชายชราอย่างนุ่มนวล แล้วค่อยๆ ทวีความร้อนขึ้น
ชายชราเริ่มปาดเหงื่อและถอดเสื้อโค้ตออก ทำให้พระอาทิตย์เป็นฝ่ายชนะการแข่งขันครั้งนี้
นิทานเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ความนุ่มนวลมีอำนาจมากกว่าโทสะกำลังจริงๆ


เพียงแค่ 3 ข้อนี้ถ้าคุณทำได้ คุณก็สามารถรับมือกับการตำหนิติเตียนได้แล้วค่ะ


ข้อมูลโดย : //women.sanook.com
ที่มา : //www.pattanakit.net
ภาพจาก : //www.shutterstock.com




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2553
0 comments
Last Update : 25 มิถุนายน 2553 20:35:26 น.
Counter : 1883 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.