รับมือกับการตำหนิอย่างไรดี
ไม่มีใครชอบถูกตำหนิติเตียน ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกมองในแง่ร้าย และไม่มีใครชอบใจเมื่อมีคนมาชี้นิ้วกล่าวโทษเราใช่ไหมคะ แต่ทำอย่างไร หากเราต้องประสบกับสถานการณ์เหล่านี้
ไม่มีคำพูดไหนที่ทำให้เราเจ็บแสบได้เท่ากับการบอกว่า เราปฏิบัติงานได้ไม่ดีตามที่เจ้านายคาดหวังไว้ ตัดสินใจในงานสำคัญต่างๆ ได้แย่มาก หรือบริหารควบคุมไม่ดีจนทำให้โครงการล้มเหลว และจะยิ่งรู้สึกแย่มากถ้าคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นคือ ‘ความจริง’
เรื่องความผิดพลาดเหล่านี้เรามักพบเห็นได้บ่อยๆ ในออฟฟิศที่ยังคงมีการทำงานผิดพลาด มีการบ่น และโต้เถียงกันแทบทุกวันเพราะไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ ทำงานได้ยอดเยี่ยมตลอดเวลา และไม่มีใครที่อยากถูกวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คุณจะมีวิธีจัดการกับมันอย่างไร
เพียงแค่ใช้เทคนิค 3 ประการต่อไปนี้เข้ามาช่วย เหตุการณ์ที่ตึงเครียดจะผ่อนคลายลงได้ และยังสามารถทำให้คนที่ถูกตำหนิรู้สึกดีขึ้นอีกด้วย
ประการแรก ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง การพร้อมที่จะยอมรับความผิดพลาด เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง ที่จะนำมาใช้ในการลดความตึงเครียดของสถานการณ์ เมื่อมีการตำหนิกันเกิดขึ้น เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจะไม่มีใครยอมรับว่าตนเองเป็นคนทำแน่นอน แต่จะกล่าวโทษผู้อื่น เพื่อหาตัวคนกระทำผิด การกล่าวโทษกันไปมาจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงของความขัดแย้งยิ่งขึ้น แถมยังไร้ประโยชน์
สำหรับผู้นำที่ดีควรเป็นคนแรกที่ยอมรับความผิดพลาด แล้วทุกๆ คนก็จะหันมาเห็นใจ แล้วบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดคุณ แต่เป็นความผิดของทุกๆ คนต่างหาก แต่ในทางตรงข้ามหากคุณกล่าวโทษผู้อื่น รับรองว่าพวกเขาจะหันมาโต้กลับคุณ และปกป้องในการกระทำของพวกเขาว่าถูกต้องแล้วแน่นอน
เมื่อคุณทำผิดขอให้ยอมรับความผิดพลาดนั้น ก่อนที่จะมีใครลุกขึ้นมาชี้ให้คนอื่นเห็น อย่าพยายามพูดแก้ตัวเพื่อลดความผิดพลาดนั้นให้น้อยลง เพราะมันไม่มีประโยชน์ค่ะ
ประการที่ 2 คิดทบทวนให้รอบคอบก่อนที่คุณจะตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์ใคร ซึ่งหากคนที่ทำผิดพลาดรู้อยู่แล้วว่าตัวเองผิด คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไร เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะพูดให้เขารู้สึกเลวร้ายลงกว่าที่เป็นอยู่
หากคุณเข้าใจว่าไม่มีใครมาทำงาน เพื่อสร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวายให้แก่บริษัท ทุกคนล้วนแต่ต้องการความระสึกว่าตัวเองเป็นที่ต้องการของคนอื่น และต้องการทำงานตามหน้าที่รับผิดชอบของตนเองให้ดีที่สุด แล้วคุณก็จะเข้าใจว่าการตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
สิ่งที่ควรทำคือหลีกเลี่ยงการตำหนิบ่นว่า และเปลี่ยนการตำหนินั้นให้กลายเป็นการขอร้อง และการให้คำแนะนำแทน
การหาคนกระทำผิด หรือหาคนที่สมควรได้รับการตำหนิไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น การปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ ต่างหากคือสิ่งที่ควรกระทำ
ดังตัวอย่างของการต่อเติมโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผู้อำนวยการต้องการต่อเติมโรงพยาบาลให้มีพื้นที่มากขึ้น ด้วยการสร้างโรงอาหาร และลานจอดรถใหม่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอให้คณะกรรมการท่านหนึ่ง ช่วยควบคุมดูแลการก่อสร้างครั้งนี้ โดยให้คำแนะนำว่าเขาควรจ้างที่ปรึกษาทางด้านการสร้างอาคารจอดรถ และที่ปรึกษาทางด้านโภชนาการ
ผู้อำนวยการไม่มีเวลามากพอ ที่จะติดตามดูแลการก่อสร้างนี้ได้ตลอดเวลา และกรรมการผู้ที่เขามอบหมายงานให้ก็ไม่ได้จ้างที่ปรึกษาแต่อย่างใด ทำให้โรงพยาบาลประสบกับปัญหาสถานที่คับแคบ เมื่อผู้อำนวยการทราบเรื่องก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ เนื่องจากมีการจ่ายเงินไปแล้วหลายสิบล้านบาท พอสร้างเสร็จโรงอาหารก็มีขนาดเล็กเกินไป และมีคุณภาพอาหารต่ำกว่าเดิม ส่งผลให้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลได้รับผลกระทบไปด้วย
เหตุการณ์ครั้งนี้ผู้อำนวยการมีสิทธิ์ที่จะตำหนิกรรมการคนนั้น ในที่ประชุมและไล่ออกได้ แต่การตำหนิเขาในที่ประชุม ก็ไม่ได้ช่วยยกระดับคุณภาพอาหารให้ดีขึ้นได้ เขาจึงไม่อยากกล่าวโทษใคร สิ่งที่ควรทำคือการแก้ไขปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้นกว่าเดิมต่างหาก
โดยมากแล้วการตำหนิติเตียน หรือการวิจารณ์มักจะทำให้ทุกคนอับอาย คนที่ได้รับการตำหนิอย่างรุนแรง มักจะไม่ค่อยอยากแสดงความคิดสร้างสรรค์ ไม่ต้องการทำอะไรเกินกว่าขอบเขตหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบอยู่ เพราะไม่อยากเสี่ยง ซึ่งเท่ากับว่าองค์กรจะสูญเสียศักยภาพของพนักงานผู้นั้นไปทันที แต่ถ้าพิจารณาถี่ถ้วนแล้วว่า จำเป็นต้องมีการตำหนิติเตียนก็ควรติในเชิงสร้างสรรค์ และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ประการที่ 3 วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความนุ่มนวล และระงับอารมณ์ให้สงบนิ่ง เพราะไม่มีใครต้องการรับฟังในแง่ลบของตัวเอง ถ้าคุณให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาทำได้ดีพอๆ กับสิ่งที่เขาทำผิดพลาด เขาก็จะยอมรับฟังคุณมากขึ้น
ซึ่งการติหรือการวิพากษ์วิจารณ์ควรเริ่มจากการแสดงความชื่นชม และชมเชยในสิ่งที่เขาทำได้ดีและสำเร็จก่อน แต่ต้องไม่แกล้งชมไปอย่างนั้น คุณต้องเอ่ยชมเขาด้วยความจริงใจ จากนั้นจึงค่อยๆ พูดถึงเรื่องการพัฒนาและปรับปรุงข้อผิดพลาดของเขาด้วยความนุ่มนวล ปิดท้ายด้วยการชี้ให้เห็นว่าเขามีคุณค่าต่อบริษัทของคุณอย่างไร ซึ่งวิธีนี้มักจะได้ผลเสมอ เพราะจะทำให้คนฟังรู้สึกดี ทั้งๆ ที่มันคือการตำหนิติเตียน
การพูดด้วยความนุ่มนวลดีกว่าการใส่อารมณ์ และชี้นิ้วกล่าวโทษกัน เพราะความนุ่มนวลและการแสดงความเป็นมิตร มีอำนาจเข้มแข็งกว่าการใช้โทสะและกำลัง ดังตัวอย่างนิทานของพายุกับพระอาทิตย์ที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
วันหนึ่งพายุกับพระอาทิตย์ได้โต้เถียงกันว่า ใครคือผู้ที่มีอำนาจมากกว่ากัน ในขณะที่กำลังถกเถียงกันอยู่บังเอิญมีชายชราคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี พายุจึงเสนอให้มีการแข่งขัน โดยคนที่สามารถถอดเสื้อโค้ตของชายชราได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ พายุเป็นฝายเริ่มก่อน ด้วยการพยายามเป่าลมให้แรงขึ้นจนเกือบเป็นพายุทอร์นาโด แต่ยิ่งแรงเท่าไหร่ชายชราก็ยิ่งกำเสื้อโค้ตแน่นขึ้นเท่านั้น เมื่อถึงคราวของพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ฉายแสงลงมาที่ชายชราอย่างนุ่มนวล แล้วค่อยๆ ทวีความร้อนขึ้น ชายชราเริ่มปาดเหงื่อและถอดเสื้อโค้ตออก ทำให้พระอาทิตย์เป็นฝ่ายชนะการแข่งขันครั้งนี้ นิทานเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ความนุ่มนวลมีอำนาจมากกว่าโทสะกำลังจริงๆ
เพียงแค่ 3 ข้อนี้ถ้าคุณทำได้ คุณก็สามารถรับมือกับการตำหนิติเตียนได้แล้วค่ะ
ข้อมูลโดย : //women.sanook.com ที่มา : //www.pattanakit.net ภาพจาก : //www.shutterstock.com
Create Date : 25 มิถุนายน 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 25 มิถุนายน 2553 20:35:26 น. |
Counter : 1883 Pageviews. |
|
|
|