|
Climate of Success : บรรยากาศแห่งความสำเร็จ
หลังจากที่พวกเรา (คือพวกของผู้เขียน) ได้ไปลงประชามติเรียบร้อยแล้วในวันอาทิตย์ พวกเราก็ตกลงใจกันไปนั่งรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ว่าท้องฟ้าจะค่อนข้างขมุกขมัวด้วยเมฆฝน แต่ก็ยังมีลมเอื่อยๆ พัดมาบ้าง ทำให้พวกเราไม่รู้สึกร้อนจนเกินไปนัก ... “บรรยากาศดีนะพวกเรา มานั่งริมแม่น้ำแบบนี้...” เพื่อนหนุ่มคนหนึ่งจิบเเครื่องดื่มแล้วถอนหายใจยาวอย่างมีความสุข “นั่นสิ ! อยากให้ที่ทำงานมีบรรยากาศดีๆ บ้างจัง” เพื่อนสาวอีกคนเสริมขึ้น “ที่ทำงานบรรยากาศดีๆ มีที่ไหน? ขอซื้อหน่อยสิ” หนุ่มคนแรกถามกลั้วเสียงหัวเราะๆ
นั่นสินะคะ...ผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยจะเคยได้ยิน หรือพูดให้ถูกว่าไม่เคยได้ยินก็ได้ว่า มีใครพูดว่าที่ทำงานของตนเองมีบรรยากาศดีชวนให้อยากทำงาน เวลาดูโฆษณาทางโทรทัศน์ก็มักจะได้ยินว่าร้านอาหารมีบรรยากาศดี โรงแรมที่พักมีบรรยากาศดี หรือบ้านที่อยู่อาศัยมีบรรยากาศดี อยู่แล้วร่มรื่นน่าสบาย ส่วนสำนักงานออฟฟิศนั้นก็ได้ยินแต่ว่ามีทำเลดีไปมาสะดวก แต่ไม่เคยได้ยินว่าสำนักงานมีบรรยากาศดีน่าทำงานเป็นที่สุด
เอ! ว่าแต่บรรยากาศของออฟฟิศมันควรจะมีลักษณะแบบไหนหรือ? เช่น ควรมีบรรยากาศที่เป็นงานเป็นการ พอย่างเท้าเข้าไปก็รู้สึกได้เลยว่ามาทำงานแล้วนะ อย่ามาทำเล่น หรือว่าควรมีบรรยากาศที่มีสีสัน แบบว่าพอย่างเท้าเข้าไปแล้วรู้สึกว่า ร่างกายและสมองรู้สึกมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า เหมือนเพิ่งดื่มเครื่องดื่มชูกำลังมา 2 ขวด พร้อมโดดเข้าทำงานเลย...น่าคิดนะคะ
บรรยากาศในที่ทำงานคืออะไร?
เรื่องของบรรยากาศในการทำงาน (Work Climate) นี้ มีนักจิตวิทยาองค์กร (Organization Psychologist) หลายคนได้ให้ความสนใจศึกษาถึงปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีผลต่อความรู้สึก และทัศนคติในการทำงานของพนักงานมาหลายทศวรรษแล้ว อย่างไรก็ตาม นักวิชาการเหล่านี้ได้ให้คำนิยามในเรื่องของบรรยากาศองค์กร (Organizational Climate) ที่แตกต่างกันไปอยู่บ้าง โดยบางท่านก็ได้ให้คำจำกัดความที่โยงไปถึงเรื่องของการจูงใจ (Motivation)
กล่าวคือ คำว่าบรรยากาศองค์กรอาจหมายถึง “สภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่รวมถึงสภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) และสภาพทางจิตใจ (Mental Environment) ที่มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการทำงานของพนักงาน หรือแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน” ซึ่งปัจจัยทางสภาพแวดล้อมนั้น ได้แก่ อาคารสถานที่ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ประจำสำนักงาน แสงไฟ อุณหภูมิ สีสันของอาคาร ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน นโยบายในการทำงานของบริษัท อิสระในการทำงาน (Freedom) เป้าหมายแผนงานขององค์กร ระบบบริหาร ระบบประเมินผล การฝึกอบรม ระบบรางวัลผลตอบแทน ฯลฯ ซึ่งเมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ นี้แล้วก็เหมือนกับปัจจัยที่ใช้ในการจูงใจพนักงานนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในบรรดานักวิชาการเหล่านี้ Roderic Gray นักจิตวิทยาองค์กรชาวอังกฤษ ดูจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากผู้อื่นอยู่บ้าง โดย Gray มีความคิดว่า “Organizational Climate” หมายถึง “การที่พนักงานมองว่าองค์กรปฏิบัติต่อ หรือจัดการกับพนักงานและสิ่งแวดล้อมต่างๆ อย่างไร ซึ่งวิธีการปฏิบัติและวิธีการจัดการนั้น ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้บริหาร”
จากคำนิยามเบื้องต้นทำให้เราอาจสรุปได้ว่าแท้จริงแล้ว Gray มองว่าผู้บริหารหรือหัวหน้างานนั้นเป็นผู้มีบทบาท และอิทธิพลสูงในการกำหนดบรรยากาศในการทำงาน อันมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของพนักงาน พูดง่ายๆ ก็คือบรรยากาศในการทำงานนั้นจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับผู้นำเสียเป็นส่วนใหญ่
วัฒนธรรมองค์กรและบรรยากาศในการทำงานไม่เหมือนกัน
Gray ยังได้อรรถาธิบายต่อว่าอย่าได้ไขว้เขวเข้าใจผิดว่า “วัฒนธรรมองค์กร” (Organizational Culture) มีความหมายเหมือนกับคำว่า บรรยากาศองค์กร แม้ว่านักวิชาการในหลายปีก่อน จะมองว่าวัฒนธรรมองค์กรและบรรยากาศองค์กรคือ เรื่องเดียวกัน แต่ Gray แยกแยะว่า วัฒนธรรมองค์กร คือ “แบบแผน หรือ ‘Pattern’ ที่มีในองค์กร” ทั้งนี้ แบบแผนนี้จะเป็นตัวกำหนดหรือเป็นกรอบกำหนดวิธีที่คนในองค์กรเชื่อ คิด และปฏิบัติต่อกัน ดังนั้น วัฒนธรรมคือกรอบความคิด ในขณะที่วิธีที่คนปฏิบัติต่อกันคือบรรยากาศองค์กรนั่นเอง ง่ายๆ แต่อาจงงแบบนี้ละค่ะ
ผู้นำมีบทบาทสูงสุดในการสร้างบรรยากาศองค์กร ในขณะที่นักจิตวิทยาท่านอื่นๆ มุ่งประเด็นไปที่การวิเคราะห์ว่า บรรยากาศขององค์กรที่จะนำไปสู่แรงจูงใจ ในการทำงานนั้นประกอบด้วยปัจจัยอะไรบ้าง ดังที่ได้กล่าวในเบื้องต้นไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่า Gray จะสนใจว่า “ใคร” เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในการสร้างบรรยากาศองค์กรมากกว่า ซึ่ง Gray มุ่งไปที่ตัวของผู้นำในทุกระดับ ตั้งแต่หัวหน้างาน ผู้จัดการแผนก ผู้อำนวยการ ไปจนถึง CEO แน่นอนในฐานะที่ CEO อยู่หัวแถว CEO ก็ต้องรับบทหนักในการสร้างบรรยากาศขององค์กร ที่ทำให้พนักงานรู้สึกกระตือรือร้นและสุขใจที่จะทำงาน โดย Gray นำเสนอไว้ว่า บรรยากาศขององค์กรที่อำนวยให้พนักงานทำงานจนประสบความสำเร็จนั้น มีอยู่ 8 มิติด้วยกัน
8 มิติแห่งบรรยากาศของความสำเร็จ
Gray ให้ความสำคัญกับปัจจัยหรือในศัพท์ของเขาว่า “มิติ” ซึ่งสะท้อนเรื่องของจิตใจมากกว่ามิติทางด้านกายภาพ เช่น อาคารสถานที่ การจัดวางผังสำนักงาน หรือเงินรางวัลผลตอบแทน อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า Gray จะไม่ใส่ใจในปัจจัยด้านกายภาพโดยสิ้นเชิง เขากล่าวว่าความต้องการพื้นฐานหรือความคาดหวังพื้นฐาน เช่น รายได้เพื่อมาซื้อหาสิ่งของจำเป็นในชีวิต เพื่อหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวนั้น ต้องได้รับการตอบสนองจนพนักงานรู้สึกพอใจและพอเพียงเสียก่อน จากนั้นแล้วผู้นำต้องให้ความสนใจ ในการสร้างบรรยากาศแห่งความสำเร็จในการทำงานที่ประกอบด้วยมิติ 8 มิติ เหล่านี้ คือ
มิติที่ 1 : อิสระในการนำเสนอความคิด (Free expression of ideas) องค์กรที่มุ่งหวังจะประสบความสำเร็จสูง จำเป็นต้องมีความคิดดีๆ แปลกใหม่จากพนักงาน ดังนั้น ผู้นำทุกระดับ พึงให้ความเอาใจใส่ในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ให้เกียรติพนักงาน เชื่อใจและยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ผู้นำต้องแสดงให้พนักงานเชื่อและรู้สึกว่า ผู้นำต้องการและสนใจรับฟังความคิดของเขาจริงๆ แม้ว่าบางครั้งความคิดนั้นอาจจะไม่วิเศษดีเยี่ยมเสมอไป ผู้นำก็ควรสนใจใคร่ฟัง
มิติที่ 2 : อิสระในการแสดงความเห็น (Free expression of concerns) ไม่จำเป็นว่าการแสดงความคิดเห็นของพนักงาน จะต้องเป็นการนำเสนอความคิดใหม่ๆ เสมอไป แต่เมื่อพนักงานรู้สึกว่าได้สังเกตเห็นการดำเนินงาน หรือเหตุการณ์ความเป็นไปในบริษัทที่ดูไม่ชอบมาพากล เขาพึงมีอิสระในการทักท้วงวิจารณ์เหตุการณ์ หรือการปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการมีความคิดใหม่ๆ เพราะถ้าพนักงานสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรแล้วปิดปากไม่พูด บริษัทอาจสูญเสียได้ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนถึงเรื่องใหญ่โตขนาดความเป็นความตายของบริษัท
มิติที่ 3 : อิสระในการถาม (Freedom to question) นี่คือมิติต่อเนื่องจากมิติที่แล้ว นั่นคือพนักงานพึงได้รับสิทธิอิสระ และได้รับการสนับสนุนให้ถามคำถามผู้บริหารได้ทุกระดับ เมื่อเขารู้สึกสงสัยไม่เข้าใจในเรื่องงาน หรือสงสัยความเป็นไปของบริษัทและความผิดปกติทั้งหลาย ผู้บริหารหัวโบราณคงไม่ค่อยชอบเท่าไรที่พนักงานผู้น้อยมา “ตั้งคำถาม” พวกเขา แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อธุรกิจต้องแข่งขันกันสูงอย่างนี้ อีกทั้งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ผู้นำย่อมไม่สามารถรู้ทุกอย่าง หรือติดตามข่าวคราวทันสถานการณ์ในทุกเรื่อง จึงต้องอาศัยพนักงานทุกคนช่วยเป็นหูเป็นตา และโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่มีพนักงานเป็นพันเป็นหมื่นคน การดูแลการสื่อสารอาจเป็นไปโดยไม่ทั่วถึง ดังนั้น ถ้าพนักงานถามอะไรไม่ได้ หรือถามแล้วไม่มีคำตอบ ก็คงยากที่องค์กรจะทำงานโดยมีประสิทธิภาพราบรื่น
มิติที่ 4 : การมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายในการทำงาน (Participation in defining goals) การกำหนดเป้าหมายในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ผู้นำควรเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ในการกำหนดเป้าหมายการทำงานของพวกเขาด้วย หากผู้นำเป็นผู้มีสิทธิฝ่ายเดียวในการตั้งเป้าหมาย เป้าหมายนั้นอาจเป็นเป้าหมายที่ไม่เหมาะสม เช่น ยากเกินไปหรือง่ายเกินไปก็เป็นไปได้ การสนับสนุนให้พนักงานได้ร่วมตั้งเป้าหมายการทำงานของพวกเขาเอง แสดงว่าผู้นำให้เกียรติและยอมรับพนักงาน อีกทั้งยังทำให้พนักงานรู้สึกเป็นเจ้าของงานนั้นๆ ด้วย แทนที่จะเป็น “ผู้ปฏิบัติ” หรือ “ผู้รับคำสั่ง” เท่านั้น ความรู้สึกมันผิดกันมากเลยนะคะจะบอกให้
มิติที่ 5 : ความพอใจอันเกิดจากเนื้องาน (Intrinsic satisfactions from the work itself) มิตินี้ไม่เกี่ยวกับตัวผู้นำ เพื่อนร่วมงาน ตำแหน่ง หรือเงินเดือนเลย แต่เป็นเรื่องของตัวงานแท้ๆ ที่พนักงานชอบ เช่น พนักงานบางคนชอบออกแบบ เขาก็ได้ทำงานด้านออกแบบที่ทำให้เขาเพลิดเพลิน บางคนชอบทำบัญชี เห็นตัวเลขเยอะๆ แล้วตัวเองสามารถทำบัญชีให้เรียบร้อย สมดุลได้ เขาก็มีความสุข สิ่งที่ผู้นำจะทำได้ในเรื่องนี้คือ จัดคนให้เหมาะกับงาน หรือจัดงานให้เหมาะกับคนนั่นเอง เพราะถ้าเขาสนุกกับงาน ผู้นำก็แทบไม่ต้องไปกวดขันจ้ำจี้จ้ำไชพนักงานสักเท่าไร
มิติที่ 6 : อิสระในการสร้างนวัตกรรม (Innovation – Freedom to try new concepts and approaches) พนักงานควรได้รับโอกาสที่จะทดลองทำงานในกรอบความคิดหรือวิธีใหม่ๆ เขาควรได้รับอิสระพอสมควร จากผู้นำที่จะไม่บังคับเขาจนเกินไปว่าต้องทำงานแบบนี้ๆ ด้วยวิธีนี้ๆ เท่านั้น หากพนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ควรรับฟังเขา และเปิดโอกาสให้เขาทดลองทำงานด้วยวิธีใหม่ๆ บ้าง วิธีใหม่ๆ อาจจะดีกว่าวิธีเก่าๆ ก็ได้ ใครจะรู้ บริษัทอย่างกลุ่มปูนซิเมนต์ไทยบ้านเรา ก็สนับสนุนให้พนักงานเรียนรู้การทำงาน ด้วยวิธีใหม่ๆ เช่นกัน
และมิติทั้ง 6 นี้คือสิ่งที่ผู้นำควรสร้างให้มีขึ้นในองค์กร เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสำเร็จ ทั้งนี้ มีอีก 2 มิติที่อยู่นอกเหนือการควบคุม หรือยากที่จะควบคุมโดยผู้บริหาร และเป็นมิติอันไม่พึงประสงค์ที่ผู้นำควรพยายาม “บริหาร” ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากแม้นว่าไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งได้แก่
มิติที่ 7 : สภาพแวดล้อมที่คุกคาม (Environmental Thereat) เช่น ภัยธรรมชาติ เหตุวุ่นวายทางการเมือง ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งผู้นำคงไปควบคุมไม่ได้ แต่มีวิธีที่จะบริหารสร้างกำลังใจแก่พนักงาน มิให้วิตกจนเกินไปได้ในระดับหนึ่ง
มิติที่ 8 : การคุกคามที่มีวัตถุประสงค์จำเพาะ (Purposive Threats) ในขณะที่สภาพแวดล้อมที่คุกคามนั้น เป็นเหตุวิกฤตที่เกิดขึ้นโดยมีผลกระทบต่อสาธารณชนโดยทั่วไป แต่ภัยคุกคามที่มีวัตถุประสงค์จำเพาะนี้ จะเป็นภัยคุกคามที่มุ่งเฉพาะกลุ่มหรือตัวบุคคลเท่านั้น เช่น การตั้งกติกาให้รางวัล หรือลงโทษพนักงานที่ทำงานได้หรือไม่ได้ตามเป้า ซึ่งตัวอย่างที่ยกมานี้อาจถูกมองได้เป็น 2 ด้าน กล่าวคือ ถ้ามองในแง่บวก ก็คือการจูงใจพนักงานให้ทำงานได้ตามเป้าแล้วจะได้รางวัล แต่ถ้ามองในแง่ลบก็อาจเป็นการกดดันคุกคามพนักงาน ถ้าเป้าหมายนั้นสูงเกินไป ยากที่จะบรรลุได้ ดังนั้น พนักงานจึงรู้สึกว่าถูก “บีบ” ให้ทำงานมากกว่าถูก “จูงใจ”
ในหลายๆ องค์กรมีการตั้งเกณฑ์การทำงานไว้มากมาย จึงต้องใช้วิจารณญาณที่รอบคอบ พิจารณาว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้นั้นเป็นสิ่งจูงใจ หรือสิ่งคุกคามกดดันพนักงานกันแน่ ต้องหาจุดที่พอดีตรงนี้ให้เจอ จึงเห็นได้ว่าการเป็นผู้นำนั้นมีบทบาทที่สำคัญในการสร้าง หรือทำลายบรรยากาศในการทำงานได้มากทีเดียว เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว คงต้องรีบหันมาพัฒนาภาวะผู้นำของตนเองกันเสียแล้วกระมัง เพราะมิฉะนั้นคุณอาจเป็นผู้นำคนที่ทำลายบรรยากาศดีๆ ก็เป็นได้ ระวังนะคะ! จะกลายเป็น “ผู้นำที่ปนเปื้อนสารพิษ” โดยไม่รู้ตัว !
ที่มา : //www.jobjob.co.th
Create Date : 10 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 20:11:16 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1727 Pageviews. |
|
|
|
โดย: da IP: 124.120.7.136 วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:0:07:11 น. |
|
|
|
|
|
|
|
บางทีเราทุกคนก็ต้องเจอกับความเครียด ท้อแท้ สิ้งหวัง
นั้นไม่ใช้อะไรที่แปลกไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แต่การที่คุณยอมรับว่ากลัวสิ่งนั้นต่ะหากละ
ที่เรียกว่าความกล้า กล้าทีจะยอมรับในสิ่งที่คุณกลัว กล้าจะยืนหยัดเเละต่อสู้กับมัน
แต่วันนี้ถ้าสิ่งที่คุณแบบรับไว้นั้นมันเกินกว่าที่คุณจะทนได้ ถ้ายังงั้น
วันนี้คุณลองเปิดใจให้ พระเจ้าเข้ามามีส่วนช่วยคุณคลายปัญหาของคุณได้มั้ย
ลองดูสิเเล้วคุณก็จะผ่านทุกอย่างไปได้อย่างแน่นอน!!
เหมือนที่ฉันได้ผ่านมานมาจนได้!