ผู้นำกับคนเก่ง
ในชีวิตหนึ่งๆของพวกเราได้เคยเห็นผู้นำในองค์กรหรือของประเทศต่างๆรูปแบบ บางคนเด่นขึ้นมาอย่างหวือหวาฮือฮาและจบฉากด้วยข้อกังหาร้อยแปด บางคนดูเป็นคนธรรมดาแต่เป็นที่เคารพต่อมาแม้เกษียณอายุไปแล้ว และอีกหลายรูปแบบให้เราเห็นหรือเป็นในแต่ละเหตุการณ์แต่ละคราวไป ผู้นำแบบไหนจึงจะสร้างผลงานได้จริงและเป็นที่นิยมชื่นชอบอยู่ได้นาน
David McCullough นักประวัติศาสตร์อเมริกันผู้ศึกษาชีวิตผู้นำทั้งหลายให้สัมภาษณ์ใน HBR ว่า ผู้นำที่เขาพบว่ายิ่งใหญ่ทั้งหลายนั้นมีส่วนร่วมสำคัญอย่างหนึ่งคือสามารถชี้ความสามารถของคน (spotting talent) หรือเห็นคุณค่าในคน เขาพบว่าประธานาธิบดี Washington อาจจะไม่ใช่คนฉลาดที่สุด พูดจาดึงดูดผู้คนที่สุด หรือว่าเป็นทหารที่ชาญฉลาดที่สุดแต่ว่าเขาเป็นคนที่เกิดมาเป็นผู้นำตามธรรมชาติที่มีความซื่อตรง และสามารถชี้ความสามารถของคนได้แม้ว่าจะดูไม่เด่นชัดก็ตาม
คนสองคนที่เยี่ยมที่สุดของเขาดูเผินๆเป็นคนธรรมดามาก Henry Knox เป็นคนขายหนังสือที่อ้วนใหญ่อายุน้อย ไร้ประสบการณ์ แต่มีไอเดียให้ไปเอาปืนใหญ่มาจากเมือง Ticonderoga มาที่ Boston ทำให้สามารถขับไล่คนอังกฤษไปจากเมืองได้ อีกคนหนึ่งคือ Nathanael Greene ซึ่งเป็นคนเคร่งศาสนาที่เดิน ขาโขยกเขยก ไม่มีประสบการณ์ทางการทหาร แต่Washington เห็นคุณค่าสำคัญของคนคนนี้ ซึ่งในที่สุดเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมกว่าตัว Washington เอง เขารู้ว่าจะทำอย่างไรกับคนพิเศษสองคนนี้ ให้โอกาสพวกเขา ลดการบังคับบัญชา และให้คนเหล่านี้ทำงานของเขาไป
ทำให้หวนนึกถึงปรัชญาการบริหารแบบจีนจากเรื่องสามก๊กที่นักบริหารฝั่งตะวันออกอย่างไทยจีนญี่ปุ่นคุ้นเคย เป็นอย่างดี ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีออกอากาศในโทรทัศน์ เล่าปี่ผู้นำตัวเอกของเรื่องซึ่งเดิมเป็นเพียงคนทอเสื่อขาย เป็นผู้มีใจเมตตาโอบอ้อมอารี อ่อนน้อมและเห็นค่าของผู้อื่นดังเช่น กวนอู เตียวหุย และที่สำคัญนักยุทธศาสตร์อย่างขงเบ้ง จนทำให้เล่าปี่ได้ครองแคว้นเสฉวน (จ๊กก๊ก) และได้ทำการตั้งตัวเป็น ฮ่องเต้แห่งเสฉวน ทั้งที่เล่าปี่รบไม่เก่งเท่ากวนอูและเตียวหุย หรือวางกลยุทธ์ไม่เฉียบเท่าขงเบ้งก็ตาม
ตัวอย่างในประเทศไทยในปัจจุบันก็มีอยู่ไม่น้อย ที่ธุรกิจขยายใหญ่โตได้เพราะเห็นคุณค่าและสามารถทำงานร่วม กับลูกน้องหรือทีมงานที่มีความสามารถแต่ละด้านเก่งกว่านายใหญ่ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา มีคนจบการศึกษาสูงปริญญาโทปริญญาเอกในแต่ละสาขามากมายทำงานให้เถ้าแก่ที่ไม่มีความรู้เฉพาะเรื่องเก่ง เท่าท่านเหล่านั้น เพียงแต่เขา “เก่งคน” รู้จักบริหารคนเก่งให้เหมาะสมพอดี ตัวอย่างที่โดดเด่น เช่น การก่อตั้งของเครือซีพีฯ เครือสหพัฒน์ฯ เป็นต้น
McCullough ยังเสนอตัวอย่างประธานาธิบดี Truman ซึ่งล้อมรอบไปด้วยคนที่เรียนสูงกว่า บ่มเพาะมาดีกว่า ร่างกายดูดีกว่า สูงกว่า เขาไม่ได้กังวลหรือกลัวว่าคนอื่นจะเด่นหรือสำเร็จเกินหน้าตน และนั่นคือเหตุผลหลักที่ทำให้ประธานาธิบดีคนนี้มีคณะรัฐมนตรีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดคณะหนึ่ง ผู้คนกล่าวถึง Truman ว่า เขาเป็นคนที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นบุคคลที่คนรอบข้างชื่นชอบมากทีเดียว
ผู้นำเหล่านี้เห็นคุณค่าของคน สามารถชี้ความสามารถสำคัญของคนเหล่านั้น และบริหารคนเก่งเหล่านั้นได้เหมาะเจาะพอดี เมื่อประจวบกับคุณธรรมพื้นฐานที่ดีของผู้นำ ทำให้คนเก่งพิเศษต่างๆทำงานให้ด้วยคุณภาพไม่ธรรมดา การที่ผู้นำสักคนจะกล้าหาลูกน้องหรือทีมงานที่มีความสามารถเก่งกว่าหรือดูดีมีภาษีมากกว่าตนมาทำงานด้วยนั้น อาจดูเหมือนง่าย แต่ถ้าเราสังเกตจากองค์กรต่างๆให้ดี หรือจากความรู้สึกของตัวเราเองก็ดี กว่าผู้นำจะทำใจรับคนเหนือกว่าเหล่านี้ได้ต้องวางใจแบบไหน จึงจะอยู่ในสภาวการณ์ที่มีคนเก่งกว่าดีกว่าทำงานอยู่ล้อมรอบได้
ผู้นำผู้บริหารที่ได้ขึ้นมาอยู่ตรงตำแหน่งเหล่านี้ก็เพราะความรู้ความสามารถของตน แต่ถ้ามีคนเก่งกว่า ได้รับการยอมรับมากกว่ามาอยู่ใกล้ๆ เป็นทีมงานหรือลูกน้องของตน หลายคนทำใจไม่ได้ คนเคยเด่นที่สุด เป็นที่ยอมรับที่สุด พอมีคนมาเทียบหรือดูจะเหนือกว่า ก็อดจะกดหรือดึงคนเหล่านั้นให้ลงมาต่ำกว่าตนจนได้ อาจโดยวิธีหาข้อตำหนิติเตียนคนนั้นๆ หรือหนักข้อเข้าถึงขนาดกลั่นแกล้งจนอยู่ด้วยกันไม่ได้ รากเหง้าการกระทำเหล่านั้นก็อาจเป็น “มานะ” หรือความถือดีของตน หรือบางคนก็อิจฉาลูกน้องของตนนั่นเอง
บางคนกลัวลูกน้องแซงหน้าตนรีบสกัดดาราโดยการคว้าผลงานมาเป็นของตัวเอง ลูกน้องก็เสียความรู้สึกที่หัวหน้าเอาความดีความชอบไป ผู้ใหญ่ที่ดูออกก็จะเห็นถึงความ “ไม่เป็น” ของหัวหน้าแบบนี้ แทนที่จะชงให้ลูกน้องได้แสดงความสามารถ หรือชื่นชมลูกน้องให้ผู้ใหญ่เห็น โดยมีเราอยู่เคียงข้าง ลูกน้องจะได้รู้สึกภูมิใจในตัวเขาเองและขอบคุณที่หัวหน้าเปิดโอกาสให้เขา หัวหน้ากลายเป็นผู้นำที่สามารถสร้างคนให้งอกงามเติบโตได้ และสุดท้ายผลงานก็อยู่ในหน่วยงานของเรานั่นเอง
ในอีกสุดโต่งที่พบคือหัวหน้าไม่ยอมออกหน้าบ้างเลย ให้แต่ลูกน้องแสดงฝีมือ แบบนี้ก็อาจจะหนักเกินไป กลายเป็นว่าเราเป็นเพียงคนโชคดีที่มีลูกน้องเก่ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมหรือ show time ก็ออกไปแสดงฝีมือบ้าง ก็ได้ แสดงความเป็นผู้นำบ้าง เพียงแต่จุดสำคัญคือ “ถอยเป็น” เปิดโอกาสให้คนอื่นได้แสดงออกบ้างเท่านั้นเอง ทำให้ลูกน้องหรือทีมงานได้มีโอกาสโผล่หายใจหรือรับแสงแดดบ้าง
ถ้าหัวหน้าเป็นต้นไม้ใหญ่หนายืนตระหง่านรับแดดคนเดียว ต้นไม้เล็กใต้ต้นไม้ หรือหญ้าก็จะตายเรียบ เพราะไม่มีแดดส่องถึงเลย Participative Management ที่ล่ำเรียนมาว่าทุกคนควรมีส่วนร่วมจะเป็นจริงได้อย่างไร ถ้าหัวหน้ากวาดความเด่นไว้ที่ตนคนเดียว ส่วนร่วมสำคัญในการแสดงฝีมือในการรับการยอมรับจึงหายไป แบบนี้คงหวังให้คนเก่งมาทำงานด้วยยาก
นี่เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ผู้นำจากฝั่งตะวันออกเห็นพ้องกับฝั่งตะวันตก เป็นแนวคิดที่ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวของผู้คนเป็นร้อยเป็นพันปีให้คนรุ่นหลังเรียนลัดได้ ต่อยอดได้ ไม่ตกหลุมพรางความเป็นมนุษย์ปุถุชนกันอีก
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์ การบริหารงานและจัดการองค์กร
Create Date : 27 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2552 21:26:52 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1048 Pageviews. |
|
|
|
แสดงให้เห็นว่า คนเก่งคน คือ คนที่อยู่เหนือสุด