Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 
15 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
7 ลักษณะหัวหน้าสร้างคน

การบริหารงาน การจัดการ

“หากงานที่เราให้คนรุ่นหนุ่มทำนั้นง่ายและสบายเกินไป ที่จะทดสอบและท้าทายความสามารถ
คนรุ่นหนุ่มเหล่านี้ มักจะเข้าสู่วัยกลางคนที่ไม่มีประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว
นักบริหารทุกคนมักจะบ่นอยู่เสมอว่าคนหนุ่มที่มีไฟแรง มักจะกลายเป็นไม้ที่มอดไฟเร็วเกินไป
ซึ่งอันที่จริงแล้ว เขาควรจะตำหนิตัวเองว่าเป็นคนหรี่ไฟของคนเหล่านั้นลง ด้วยการให้พวกเขาทำงานเล็กๆ
และไม่ท้าทายเท่าที่ควร”

ปีเตอร์ เอฟ ดรักเกอร์ ได้กล่าวข้อความข้างต้นไว้อย่างน่าสนใจยิ่งในหนังสือ The Effective Executive
สะท้อนให้เห็นว่า คนทำงานแต่ละคนในองค์กรเป็นเหมือนต้นไม้ที่พร้อมจะเติบโตขึ้น
มิใช่เครื่องจักรที่ทำเพียงสิ่งเดิมๆ ตามที่กำหนดไว้
ดังนั้น หากเราไม่เลี้ยงดูต้นไม้ ปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไปวันๆ ในที่สุดย่อมเหี่ยวเฉา เช่นเดียวกับคนทำงาน
หากไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ได้รับการหยิบยื่นโอกาสให้ทำงานใหม่ๆ ที่ท้าทายอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดคนทำงานย่อมเป็นเหมือนต้นไม้ที่แคระแกร็น และก่อประโยชน์ต่อองค์กรได้ในขอบเขตที่จำกัด

การพัฒนาทีมงานจึงเป็นหน้าที่สำคัญสำหรับหัวหน้างานทุกคน
หัวหน้าต้องพัฒนาทีมงานโดยตระหนักว่า การพัฒนาทีมงานจะช่วยให้แผนกหรือฝ่ายของเราผลิตงานได้มากขึ้น
งานขยายและพัฒนาได้มากขึ้น หัวหน้างานสามารถขยับขยายไปทำงานที่สำคัญกว่าเดิมได้มากขึ้น
ผลสรุปคือองค์กรประสบความสำเร็จ เพราะได้งานเพิ่มขึ้นและพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม หัวหน้างานจำนวนไม่น้อย ไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทีมงาน
ทั้งนี้เนื่องจากขาดองค์ประกอบสำคัญที่เอื้อต่อการพัฒนาทีมงาน ซึ่งควรมีครบถ้วนอย่างน้อย 7 ประการอันได้แก่

ประการแรก ความปรารถนาพัฒนาทีมงาน
หากปราศจากซึ่งความปรารถนานี้แล้วให้ความสำคัญเพียงการสั่งงาน, ควบคุมงานและประเมินงานเท่านั้น
ในที่สุดศักยภาพของทีมงานจะจำกัด ไม่ได้รับการพัฒนา
และจะไม่สามารถรับมือหรือปรับตัวเข้ากับปัญหาใหม่ๆ ได้ เพราะขาดการสนับสนุนให้เรียนรู้จากหัวหน้างาน
ดังนั้น ในฐานะหัวหน้างานจำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยความปรารถนาที่จะพัฒนาคน ในทีมทุกคนให้มีความรู้ ทักษะ
ความสามารถด้านต่างๆ เพิ่มพูนขึ้น


ประการที่สอง ทัศนคติที่ถูกต้องในการพัฒนา
หัวหน้าหน่วยงานควรมีทัศนคติที่ถูกต้องในการพัฒนาทีมงาน อาทิ
เห็นคุณค่าคน ตระหนักในศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวที่มีในแต่ละคน และพยายามเอาออกมาใช้ให้หมด
เห็นทุกคนคือเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจส่งเสริมพัฒนาให้ทุกคนไปถึงความสำเร็จ
ที่สำคัญต้องสร้างความรู้สึกให้ทีมงานสัมผัสได้ว่า ตนเองอยู่ในทีมที่แข็งแกร่งและมีโอกาสประสบความสำเร็จ
พัฒนายั่งยืน พัฒนาต่อเนื่อง มองเห็นเป้าหมายของตนเองในอนาคต


ประการที่สาม เป้าหมายการนำชัดเจน
หัวหน้าต้องมีเป้าหมาย หรือจุดหมายปลายทางที่พึงปรารถนาอย่างชัดเจนว่าต้องการพัฒนาใคร เรื่องอะไร
เพื่อเป้าหมายต้องการให้เขาเป็นเช่นไร
คำถามที่ควรอยู่ในใจเราคือ “ ทีมงานแต่ละคนกำลังเข้าไปใกล้ขีดจำกัดของศักยภาพพวกเขาหรือยัง?”
เราจะให้ตั้งเป้าขยายศักยภาพทีมงานออกไปด้านใดอีกบ้าง?
และในการวางแผนและการกำหนดเป้าหมายของทีมงานแต่ละครั้ง ควรให้ทุกคนมีเป้าหมายการพัฒนาศักยภาพ
หรือพัฒนาตนเองสู่ความเป็นมืออาชีพบางอย่างด้วย


ประการที่สี่ เข้าใจธรรมชาติคน
หัวหน้าหน่วยงานต้องรู้ถึงธรรมชาติเกี่ยวกับแรงจูงใจของคน อะไรเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ
และสามารถประยุกต์ใช้ความเข้าใจนี้ สร้างแรงจูงใจแก่ผู้ร่วมงานอย่างเหมาะสมกับบุคคลและสถานการณ์
หัวหน้าหน่วยงานยังต้องมีความสามารถในการดลจิตดลใจผู้ร่วมงาน หรือทีมงานให้เกิดแรงบันดาลใจ
จนทุ่มเทความสามารถให้แก่งานที่รับผิดชอบอยู่ ต้องสามารถจูงใจพาทีมงานให้เกิดความจงรักภักดีความผูกพัน
อุทิศตัว การร่วมแรงร่วมใจกับผู้นำและองค์กร เพื่อให้ได้มาซึ่งการบรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาด้วย


ประการที่ห้า ค้นหาและดึงศักยภาพ
คนแต่ละคนต่างก็มีส่วนดีอยู่ในชีวิตของตนเอง ในหนังสือข้อคิดเพื่อชีวิต ผมได้กล่าวไว้ว่า
“เราทุกคนนั้นมีคุณค่าในตัวเอง
หากเปรียบเทียบตัวเราก็เหมือนกระจาดๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งดีหลากหลายอย่างผสมผสานเป็นตัวเรา”
หัวหน้าหน่วยงานจึงควรเป็นผู้ที่สามารถดึงเอาศักยภาพ ที่ซ่อนอยู่ของผู้ร่วมงานออกมาใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์
สูงสุด เพราะธรรมชาติคนทั่วไปย่อมปรารถนาจะนำเอาความรู้ความสามารถ ที่ตนเองมีอยู่ออกมาใช้อย่างเต็มที่
หัวหน้าหน่วยงานที่ดีจึงต้องพยายามหาหนทาง ที่จะดึงเอาศักยภาพของผู้ร่วมงานออกมา
โดยเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ใช้ความรู้ความสามารถที่ตนเองมีอยู่ อย่างมากที่สุด
รวมทั้งยังต้องให้ผลตอบแทนเขา ตามระดับความรู้ความสามารถที่เขาใช้ไปเพื่อองค์กรด้วย


ประการที่หก เป็นแบบอย่างชีวิตที่มีอิทธิพล
ผู้นำต้องส่งอิทธิพลต่อผู้อื่น ต้องสามารถใช้สิ่งต่างๆ ทุกองค์ประกอบที่ตนเองมีอยู่
ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพ ความรู้ ความสามารถ อิทธิพลชีวิต แบบอย่างของพฤติกรรม ตลอดจนอำนาจที่ตนเองมีอยู่
ส่งอิทธิพลต่อทัศนคติ ความเชื่อและพฤติกรรมของผู้ร่วมงานหรือทีมงาน
เพื่อให้คนเหล่านั้นยินยอมร่วมมือร่วมใจ ทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งเอา ไว้

สิ่งสำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อทีมงานได้มากที่สุดก็คือ “แบบอย่างชีวิต” คนจะได้รับอิทธิพลเมื่อเห็นแบบอย่าง
หากอิทธิพลชีวิตที่มาจากความจริงจัง จริงใจ และความมั่นคงภายในของเราแรงพอ
ย่อมทำให้คนที่อยู่ใกล้เราเปลี่ยนแปลงตามได้ไม่มากก็น้อย
เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เราอยากให้สมาชิกของทีมงานหรือทีมงานของเราเป็น
เราต้องเริ่มต้นที่การเป็นแบบอย่างของเราเสียก่อนเป็นอันดับแรก
แล้วคำท้าทายและคำแนะนำที่มีต่อทีมงานของเราจึงจะมีน้ำหนักเพียงพอ


ประการที่เจ็ด นำอย่างมี “ศิลปะ”
หัวหน้าหน่วยงานต้องมีความสามารถในการปรับรูปแบบการนำ หรือการทำงานให้เหมาะสมกับบุคคล
และสถานการณ์ต่างๆ เพื่อจูงใจให้บุคคลเหล่านั้นทำงานตามเป้าหมายที่ได้วางไว้
โดยตระหนักว่าไม่มีรูปแบบใดที่ดีที่สุดกับทุกสถานการณ์ เพราะรูปแบบหนึ่งอาจเหมาะสมกับสถานการณ์แบบหนึ่ง
แต่ไม่เหมาะสมเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ต้องมีสติปัญญาในการวิเคราะห์สถานการณ์
และรู้จักประยุกต์ใช้แบบแผนการนำอย่างเหมาะสมสอดคล้องเวลา บุคคลและโอกาส


หากเราต้องการให้สิ่งที่เราทำอยู่นั้นยั่งยืนสืบต่อไป
“ผู้นำ” จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่สำคัญมากกว่าการสั่งคน การใช้คน การควบคุมคน
แต่ต้อง “สร้างคน” รุ่นต่อๆ ไปให้สามารถก้าวขึ้นมาสานต่อบทบาทหน้าที่แทนเราหรือเหนือกว่าเราได้
อันส่งผลให้กิจการที่ทำนั้นเติบโตได้ต่อไปในอนาคต


หมายเหตุ: ขอบคุณ //www.kriengsak.com
ที่มา : //www.raidai.com


Create Date : 15 พฤษภาคม 2553
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 20:28:40 น. 0 comments
Counter : 1288 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.