|
ปาร์ตี้มัดใจคนงาน กลเม็ดจากเถ้าแก่เนี้ย
ประมาณ 2 ปีกว่ามาแล้ว ที่ผู้เขียนรับหน้าที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ สอบสัมภาษณ์ผู้สมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรปริญญาโท ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของศศินทร์ ผู้เขียนยังจำได้ดีว่ามีผู้สมัครท่านหนึ่งมี คุณสมบัติต่างไปจากผู้สมัครคนอื่นๆ กล่าวคือ เธอเป็นผู้บริหารกิจการโรงงานพลาสติกแห่งหนึ่ง ในจังหวัดที่อยู่ใกล้ๆ เขตปริมณฑลของกรุงเทพฯ ...
ทั้งนี้เพราะผู้สมัครมาเรียนในหลักสูตร HRM ของศศินทร์ มักเป็นพนักงานในแผนก HR หรือถูกเลื่อนขั้น ย้ายโอน หรือจะเปลี่ยนสาขางานมาอยู่แผนก HR โดยพวกเขาและเธอเหล่านั้น มักทำงานอยู่กับบริษัทหรือองค์กรขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ และองค์กรเหล่านั้นมักเป็นองค์กรที่มีเชื้อสายต่างชาติด้วย เพราะหลักสูตร HRM ของศศินทร์เป็นหลักสูตรที่ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน และเนื้อหาหลักสูตรก็เน้นเรื่องบทบาทการเป็นหุ้นส่วนกลยุทธ์ (Strategic Partner) ของแผนก HR
ดังนั้นผู้ที่ตั้งใจจะมาศึกษาที่ศศินทร์จึงตระหนักดีว่า พวกเขาต้องการหลักสูตร ที่จะสร้างความพร้อมให้ทำงานในระดับนานาชาติได้
ดังนั้น การที่มีเจ้าของกิจการลงทุนมาเรียนด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องที่นำความประหลาดใจ (เล็กๆ) และความน่ายินดีมาสู่วงการ HR ของเรา เพราะเราชาว HR ตระหนักดีว่า ผู้บริหารโดยมากที่ทำงานกับองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง มักจะให้ความสำคัญกับงานแผนกอื่น เช่น การผลิต การเงิน และการตลาดมากกว่างาน HR และงาน HR มักถูกฝากอยู่กับแผนกการเงินและบัญชี เพราะเจ้าที่หน้าที่ฝ่ายการเงินและบัญชี จะเป็นผู้จัดการเรื่องการจ่ายเงินเดือน ทำให้เจ้าของกิจการขนาดเล็ก ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องจ้างคนมาดูแลงาน HR โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังนี้สังเกตดูว่า เริ่มมีผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่ วิศวกร นักบริหารการเงิน เริ่มเข้ามาศึกษาในหลักสูตร HRM ของเรามากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นดัชนีบ่งชี้ว่า นักบริหารโดยทั่วไป เริ่มเห็นความสำคัญของการมีความรู้ทางด้านหลักการทฤษฎี และทักษะในการบริหารบุคลากรมากขึ้น และสำหรับกรณีของคุณสุมิตรา มีมงคลเกียรติ ที่เป็นสุภาพสตรีสาวสวยเจ้าของโรงงานพลาสติกนี้ เธอมาสมัครเรียนปริญญาโทหลักสูตร HRM ของศศินทร์ โดยเธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาบัญชี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อสำเร็จการศึกษาก็ได้สมรสกับเจ้าของโรงงาน และต้องช่วยดูแลบริหารกิจการของสามี ซึ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พลาสติก
เมื่อผู้เขียนสัมภาษณ์เธอว่าเหตุใดจึงมาสมัครเรียน เธอได้ชี้แจงว่า การเป็นเจ้าของโรงงานต้องพบเจอกับปัญหาเรื่องคนงานมาก เพราะคนงานเป็นคนต่างจังหวัด พอหน้าเทศกาล เช่น ตรุษสงกรานต์ ตรุษจีน ก็มักจะลางาน กลับบ้านกันนานๆ ขอร้องให้อยู่เพราะมีงานเร่งก็ไม่ยอม จะจ่ายเงินเพิ่มให้มากๆ ชดเชยก็ไม่สนใจ จะกลับบ้านถ่ายเดียว
นอกจากนี้แล้ว หลายคนพอลากลับบ้านก็ไม่กลับมาอีกเลย ซึ่งนี่ก็คือปัญหาตามเทศกาล ส่วนปัญหารายวันที่ต้องเจอะเจอก็คือคนงานระดับล่าง ซึ่งเป็นลูกจ้างรายวันก็มักจะอยู่ไม่นาน และพวกเขาเหล่านี้จะคอยศึกษาเปรียบเทียบค่าจ้างของเขากับเพื่อนฝูง ที่ทำงานอยู่โรงงานใกล้เคียงกันเป็นประจำ ที่ไหนจ่ายดีกว่าก็จะย้ายไปอยู่ที่นั่น นอกจากนี้ บรรดาคนงานก็จะพูดคุย สืบเสาะว่าเจ้าของโรงงานคนไหน เป็นคนอย่างไร ดูแลลูกน้องดีไหม จ่ายเงินดีไหม กล่าวได้ว่าคนงานเขาก็มี “เน็ตเวิร์ก” ของเขาเช่นกัน ดังนั้น เจ้าของโรงงานอย่านึกดูถูกลูกจ้างว่าเป็นลูกไก่ในกำมือ หรือเป็นคนระดับล่างมีการศึกษาน้อย นึกจะพูดจา หรือจะทำอย่างไรกับพวกเขาก็ได้
คุณสุมิตราตระหนักดีว่า ในปัจจุบันซึ่งระบอบประชาธิปไตยกำลังเบ่งบาน ข่าวสารข้อมูลและสื่อต่างๆ ไปถึงประชาชนทุกระดับ ทำให้ลูกจ้างแรงงานทั้งหลายมีความรู้ถึงสิทธิต่างๆ ของลูกจ้างมากขึ้น รวมทั้งภาวะการแข่งขันในภาคธุรกิจทำให้ตลาดแรงงานต้องเฟ้นหา แย่งตัวแรงงานที่มีฝีมือมากขึ้น ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้เจ้าของกิจการร้านค้า บริษัทและโรงงานทั้งหลายต้องปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการต่างๆ รวมทั้งการบริหารคนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ด้วยเหตุผลประการต่างๆ นี้ ทำให้ดิฉันสนใจมาศึกษาเรื่องคนด้วยตนเอง จะได้นำความรู้ไปบริหารคนที่โรงงานให้เขาอยู่กับเรานานๆ และอย่างมีความสุขด้วย” นี่คือคำตอบสุดท้ายจากคุณสุมิตราในการสัมภาษณ์เมื่อ 2 ปีก่อน และผู้เขียนยังจดจำได้จนทุกวันนี้!
2 ปีผ่านไป โดยคุณสุมิตราได้สำเร็จการศึกษา และเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อย แม้จบการศึกษาไปแล้วเธอก็ยังติดต่อพูดคุยกับผู้เขียน และเพื่อนฝูงที่ศศินทร์เป็นประจำ โดยเธอเล่าให้ฟังว่า สภาพการณ์เรื่องคนงานที่บริษัทของเธอนั้นดูดีขึ้น มีปัญหาคนงานลาออกน้อยลง และความสัมพันธ์ระหว่างคนงานกับเจ้าของโรงงาน ที่เป็นผู้บริหารก็ดีขึ้นด้วย แน่ละ...ที่ใครๆ ก็อยากรู้ว่า คุณสุมิตราหรือเถ้าแก่เนี้ยสาว (ฉายาที่เพื่อนๆ ตั้งให้เล่นๆ) ทำอย่างไร?
ในฐานะเป็นเถ้าแก่เนี้ยหรือเป็นเจ้าของโรงงาน ที่เป็นกิจการขนาดเล็กนี้ เธอได้เปิดเผยเคล็ดลับบางประการ ในการบริหารคนที่เถ้าแก่น้อยและเถ้าแก่เนี้ยรายอื่นๆ สามารถทดลองนำไปใช้ได้ จากการพูดคุยกับเถ้าแก่เนี้ยสุมิตราคนสวยนี้ ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้ในปัจจัยต่างๆ เหล่านี้คือ
★ ในเบื้องต้นเถ้าแก่ ต้องมีความจริงใจและมีจิตใจที่เอื้ออาทรลูกจ้างอย่างแท้จริง
สังเกตได้ว่าคุณสุมิตรานั้น มีความสนใจและห่วงใยในความรู้สึกของคนงานที่มีต่อผู้บริหารมาก เธอเห็นความสำคัญของการมีสัมพันธภาพที่ดี ระหว่างผู้บริหารและพนักงานว่า น่าจะเป็นเครื่องร้อยรัดใจให้คนงานอยากอยู่กับโรงงานนานๆ เพราะเธอได้เห็นด้วยตัวเธอเองแล้วว่า ลูกจ้างคนงานระดับล่างที่เป็นคนไทยมาจากต่างจังหวัดนั้น มิใช่เป็นคนที่สามารถใช้เงินซื้อได้เสมอไป หรือเป็นคนเกียจคร้านไม่มีน้ำใจ เมื่อเธอพยายามที่จะเรียนรู้ ทำความรู้จักนิสัยใจคอของพวกเขา ก็พบว่าพวกเขาก็มีความรู้สึกนึกคิด ความต้องการเหมือนผู้บริหารนั่นแหละ
การที่เขามีความรู้น้อยไม่ได้หมายความว่าเขาคิดไม่เป็น แท้ที่จริงแล้วพวกเขามีเน็ตเวิร์กที่ดีทีเดียว ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับนายจ้างและบริษัทที่เขาจะไปสมัครงาน อาจกล่าวได้ว่าเขารู้จักนายจ้างดีกว่านายจ้างรู้จักเขาเสียอีก ดังนั้น เถ้าแก่ทั้งหลายพึงปรับทัศนคติในการมองลูกจ้างเสียใหม่ และเมื่อคุณให้ความเคารพเขาในฐานะเป็นบุคคลคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกจ้างที่ต่ำต้อยกว่าคุณ ผนวกกับมีความปรารถนาดีกับเขาอย่างจริงใจ คุณก็จะได้ความรู้สึกดีๆ จากเขากลับคืนมาเอง
★ เรียนรู้ทำความรู้จัก และเข้าใจความต้องการของลูกจ้าง
แทนที่เถ้าแก่จะวางนโยบายการทำงาน การให้ผลตอบแทนแก่ลูกจ้างจากมุมมองของเถ้าแก่ฝ่ายเดียว คุณสุมิตราจะพยายามสร้างความเป็นกันเองกับลูกจ้าง ด้วยการพูดคุยกับพวกเขา การทักทาย ซักถามสารทุกข์สุกดิบของ ลูกจ้างในแต่ละวัน เป็นการสร้างพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดี เมื่อลูกจ้างรู้สึกเป็นกันเอง ที่จะพูดคุยเรื่องครอบครัวที่บ้านกับเถ้าแก่แล้ว เรื่องอื่นๆ ก็จะตามมาเอง เช่น ความคิดเห็น ความรู้สึกในการทำงาน ข้อเสนอแนะต่างๆ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานอื่นๆ ที่เขารู้จากเพื่อนฝูงเป็นของแถมให้ด้วย ซึ่งจากข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ เถ้าแก่สามารถนำมาปรับปรุงระบบบริหาร ผลตอบแทนและนโยบายต่างๆ ได้
★‘ปาร์ตี้’ กับนิสัยชอบสนุก (Fun-Loving) ของคนไทย
เคล็ดลับสุดยอดของคุณสุมิตราอยู่ตรงนี้เอง เธอเป็นคนสนุกสนาน สังคมเก่ง มีความสามารถในการจัด “ปาร์ตี้” ชุมนุมเพื่อนฝูงได้ดีเลิศ และเธอก็ใช้จุดแข็งนี้ ในการสร้างสัมพันธภาพและความประทับใจให้แก่ลูกจ้าง โดยแต่ละปีเธอจะจัดงานปาร์ตี้สังสรรค์ให้พนักงานประมาณ 2-3 ครั้ง เป็นงานเล็กบ้างใหญ่บ้างตามโอกาส เช่น ฉลองความสำเร็จเวลาบริษัทได้รับรางวัลต่างๆ หรือประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ สำหรับงานปาร์ตี้ใหญ่ๆ นั้นเธอลงทุนเลี้ยงอาหารอย่างดี มีเวทีจ้างวงดนตรีมาให้พนักงานได้ร้องเพลง ประกวดการแสดงและแต่งตัวแฟนซีกันสุดตระการตา ผลน่ะหรือ? พนักงานชอบม้าก...ค่ะ พวกเขาสนุกสนาน ลงทุนลงแรงประกวดประขันกันเต็มที่ ยิ่งได้รางวัลเป็นเงินสดจากเถ้าแก่เนี้ยด้วยแล้ว ยิ่งสนุกและประทับใจ เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าคนไทยนั้นชอบสนุก ร้องรำทำเพลง เมื่อคุณสุมิตรารู้จักนำประโยชน์จากความจริงข้อนี้มาใช้ ทำให้ความสัมพันธ์ของคนงานกับบริษัท จึงไปโลด
★ ฉลองชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ อยู่ไม่ขาด (Small Win Celebration)
แม้จะไม่มีความสำเร็จของงานชิ้นใหญ่ๆ ให้ฉลองได้บ่อยๆ แต่คุณสุมิตราก็พยายามทำให้ชีวิตประจำของพนักงาน มีความชื่นมื่นอยู่มิได้ขาด เวลามีข่าวดีเล็กๆ น้อยๆ เช่น ยอดขายประจำเดือนดีขึ้น หรือพนักงานบางคนประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ ก็จะมีการยกย่องและฉลองความสำเร็จเล็กๆ นั้น ด้วยการแจกคุกกี้อร่อยๆ กับกาแฟกระป๋องเย็นๆ แค่นี้ก็สร้างรอยยิ้มให้พนักงานได้แล้ว และสร้างกำลังใจให้เขาทำความดีต่อไป
★ ผลตอบแทนของพนักงาน ต้องเชื่อมโยงกับผลประกอบการของบริษัท
ตามที่ได้เล่าในเบื้องต้นแล้วว่า ลูกจ้างมีเน็ตเวิร์กในการหาข้อมูล ดังนั้น เมื่อบริษัทมีผลประกอบการดีมีหรือที่ลูกจ้างจะไม่รู้ ดังนั้น ค่าจ้างแรงงานของพวกเขาต้องดีขึ้นไปด้วยตามผลประกอบการของบริษัท คุณสุมิตราเล่าว่า ปัจจุบันนี้โรงงานของเธอจ่ายค่าแรงสูงกว่าคู่แข่งค่ะ... เพราะว่าลูกจ้างของเธอทำงานดี ไม่ค่อยมีออก ดังนั้นต้องสมนาคุณให้ยุติธรรม งานนี้แฮปปี้ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและลูกจ้างเลย...
ที่มา : //www.jobjob.co.th ภาพจาก : //www.workrelationships.co.uk
Create Date : 08 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 20:00:19 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1224 Pageviews. |
|
|
|
โดย: MARON CREAM วันที่: 10 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:09:50 น. |
|
|
|
โดย: da IP: 124.120.7.136 วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:0:07:51 น. |
|
|
|
|
|
|
|