Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 
24 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

ล้มเหลวอย่าสิ้นหวัง สร้างพลังข้ามกำแพงหนา

ความสมบูรณ์พูนสุข ความสำเร็จ เป็นสิ่งที่คนเราปรารถนา
แต่เป็นธรรมดาที่อาจต้องประสบเรื่องพลาดท่าเข้าสักวัน
หากเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ถือเป็นประสบการณ์ อย่าให้พลั้งพลาดอีก ...

แต่ ถ้าหากเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกว่าจะตั้งรับได้ทันล่ะ คุณจะเลือก...ปล่อยให้ชีวิตพังทลายกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หรือ...คุณจะใช้สิ่งที่พลาดนั้นเป็นแรงผลักในทางบวก ซึ่งหลายคนได้เลือกวิธีนี้
และกลายเป็นว่าเขาทั้งหลายขอบคุณต่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้น



ก้าวข้ามวิกฤตเพื่อพบโอกาส
วุฒิชัย หาญพานิช อดีตสถาปนิก เขาเรียนจบปริญญาตรีและโท ด้านสถาปัตย์จากสหรัฐอเมริกา
อยู่ต่างประเทศมา 10 กว่าปี ก่อนจะกลับมาทำงานที่เมืองไทย แต่ปี 2540 ฟองสบู่แตกเขาตกงาน
วงการอสังหาริมทรัพย์กระทบหนัก หลายบริษัทต้องปิดตัว แต่เพราะมีวิกฤตจึงได้มีโอกาส
ธุรกิจของเขาเริ่มเมื่อชีวิตอยู่ในช่วงขาลง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำบริษัทมีปัญหา
เป็นเหตุให้เริ่มมองหาธุรกิจเล็กๆ เป็นของตนเอง โดยเริ่มจากสิ่งที่สนใจและมองถึงโอกาสความเป็นไปได้
รวมทั้งมองให้ไกลขึ้นว่ามีธุรกิจอะไรที่จะทำเพื่อส่งออกได้ด้วย ด้วยความที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศมานาน
จึงมองเห็นทาง ว่าต่างชาตินั้นชอบงานที่ผลิตจากธรรมชาติ พวกสมุนไพรต่างๆ เป็นแนวแฮนด์เมดจะยิ่งชอบมาก
โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับบำรุงผิวพรรณ โฮมสปาต่างๆ

เมื่อ 9 ปีที่แล้วเขาเริ่มจากการทำสบู่ก้อนเล็กๆ เพียงไม่กี่แบบ จากสมุนไพร ใส่ใจในการคิดค้นอย่างเต็มที่
ด้วยเงินลงทุนเพียงหลักหมื่น เขาไปออกงานแฟร์สำหรับผู้ส่งออกเน้นลูกค้าต่างชาติ
งานของเขาโดนใจชาวต่างชาติมาก โดยเฉพาะทางยุโรปและอเมริกา เขาเปิดตัวในชื่อ “หาญ” เน้นส่งออก
พร้อมกับเปิดตลาดในประเทศไปพร้อมกัน หาญจึงเกิดขึ้นสาขาแรกที่พัทยาเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายชาวต่างประเทศ
อีก 3-4 ปีต่อมาแบรนด์ที่สองภายใต้ชื่อ “ธัญ” ตามมา และธัญเนทีฟ ก็ตามมาติดๆ

“หาก ปี 2540 เศรษฐกิจไม่ตกต่ำ ผมก็คงใช้ชีวิตสนุกกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนไปเรื่อยๆ
ไม่ได้คิดขวนขวายจะทำอะไรเพิ่มเพราะชีวิตการทำงานก็ลงตัวดีแล้ว แต่เมื่อเจอปัญหาจึงเริ่มมองหาลู่ทางใหม่ๆ
คิดจะทำอะไรเป็นของตัวเอง ต้องขอบคุณที่ฟองสบู่แตกจึงมีวันนี้ ซึ่งก็ไปได้ดีกว่าที่คิดไว้ กับ 71 สาขา
ใน 22 ประเทศ และในประเทศไทย มี 15 สาขา และกำลังจะเปิดสาขาเพิ่มที่อินเดีย กรีซ และเม็กซิโกต้นปีหน้า”
วุฒิชัย บอกพร้อมรอยยิ้มภาคภูมิใจ

เมื่อเริ่มธุรกิจเขาพยายามมองหาว่าฝรั่งต่างชาติชอบอะไร เพราะอยากส่งออกเป็นหลัก แล้วก็ขายในประเทศด้วย
เนื่องจากมองว่าจะได้เป็นการกระจายความเสี่ยง ถ้ากำลังซื้อในบ้านเราไม่ดีก็มีตลาดต่างประเทศรองรับอยู่
ซึ่งแน่นอนต่างชาติโดยเฉพาะยุโรปและอเมริกานั้น จะชอบความเป็นตะวันออก โดยเฉพาะแบบประเทศไทย
พวกพืชพรรณสมุนไพรไทยมีดีๆ มากมาย แต่ราคาไม่แพงมาก

“ของไทยนี่มีอะไรดีๆ อีกเยอะโดยเฉพาะที่เป็นภูมิปัญญาของปู่ย่าตายาย
เพียงแต่นำมาปรับเพิ่มพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น ควบคุมการผลิตให้ได้คุณภาพมากขึ้น
แม้กระทั่งประเทศญี่ปุ่นเองก็ยังเป็นตลาดใหญ่ของไทยคือ เอเชียด้วยกันเองก็ยังชอบงานของเขา”
ความคิดที่เขาบอก เหมือนจะเป็นการชี้ทางให้กับผู้ที่คิดว่าตัวเองอยู่ในทางตัน

จุดอ่อนที่ยังมีในสินค้าไทยทั้งหลาย คือ บรรจุภัณฑ์ไม่ค่อยทันสมัย วุฒิชัยเลยมุ่งมั่นด้วยการออกแบบเอง
ซึ่งถนัดอยู่แล้ว จึงออกแบบกล่อง ขวดต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม
ของหมดแล้วยังเก็บกล่องไว้ใช้งานต่อได้อีก ฝรั่งจะแปลกใจว่า “ของไทยหรือ แพ็กเกจสวยจัง”
เมื่อไปเปิดงานแฟร์ในต่างประเทศจึงเป็นที่สนใจ
เขาก็พัฒนาประเภทของสินค้ามากขึ้นเรื่อยๆ เน้นพืชสมุนไพรจากประเทศไทยเป็นหลัก

วุฒิชัย กล่าวว่า เขานำภูมิปัญญาของคนไทยโบราณมาพัฒนาเพิ่มให้ทันสมัย เสริมคุณประโยชน์
ทำบรรจุภัณฑ์ให้น่าใช้ขึ้น พวกน้ำมันรำข้าวมาทำสบู่ให้คุณสมบัติไม่แพ้น้ำมันมะกอก
บวกกับกระแสสุขภาพที่คนสนใจของจากธรรมชาติที่ปลอดสารเคมี
ทำให้ความเป็นไทยได้รับความนิยม ควบคู่กับการรักษาคุณภาพให้ดีคงที่อยู่เสมอ
ล่าสุดเขายังเปิดห้องน้ำชาและของว่างบริการเพิ่มอีก 2 สาขาในประเทศ และที่อินเดียในเมืองเดลี 2 สาขา

วันนี้เขามาไกลอย่างที่ตัวเองก็นึกไม่ถึง ที่สำคัญการทำธุรกิจของเขานั้น
ใช้เงินสดของตัวเองโดยที่ไม่ยอมกู้ใครมาทำ มีเงินค่อยขยาย ไม่มีก็รอจนกว่าจะพร้อมจริงๆ
หากวันนั้นเศรษฐกิจไม่ตกเขาคงเป็นสถาปนิกต่อไป คงไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่านับร้อยล้านเช่นนี้



ชยวีร์ คีตวรนาฏ

ล้ม...ไม่ล้ม ใครตัดสิน
อีกหนึ่งหนุ่ม ทายาทรุ่นที่ 2 ของแฮปปี้แลนด์ กรุ๊ป
ชยวีร์ คีตวรนาฏ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฮปปี้แลนด์โฮลดิ้ง
ชื่อของแฮปปี้แลนด์ที่คุ้นหู คือ สวนสนุกที่ปิดตัวไปเมื่อ 30 ปีก่อน

“หลาย คนมองว่าสวนสนุกแฮปปี้แลนด์ เป็นตัวอย่างการทำธุรกิจสวนสนุกที่ล้มเหลว เจ๊ง
โดยที่ไม่ได้ดูว่าถูกปิดไปเพราะอะไร จุดเริ่มต้นนั้น พ่อผมทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พัฒนาที่ดิน เป็นที่พัก
เป็นศูนย์การค้าของยุคนั้น พ่อต้องการให้คนเข้ามาพักอาศัย มาใช้บริการมากๆ
แล้วที่ตรงนั้นเคยเป็นสวนแบบฝรั่ง พ่อก็เพิ่มเครื่องเล่นเข้าไป เป็นมาร์เก็ตติ้งอย่างหนึ่ง
ตอนที่ครอบครัวเราตัดสินใจปิดสวนสนุก เพราะมูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้น เรานำมาจัดสรรขายออกไปได้อีกจำนวนมาก
จนเราไปต่อยอดพัฒนาในที่อื่นๆ สำหรับเรา เรามองว่านี่คือความซัคเซส”

ปี 2540 แฮปปี้แลนด์ กรุ๊ป ก็เป็นหนึ่งในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบ
ที่ดินหลายแปลงติดพอร์ตอยู่ในสถาบันการเงิน แต่แฮปปี้แลนด์ไม่ใช่ประเภท ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย
พยายามเคลียร์ให้ผ่านพ้นเป็นแห่งๆ และที่สำคัญเลือกรักษาแปลงที่ดินผืนงามให้เป็นอิสระมากที่สุด
มาถึงปี 2551 ช่วงปลายปี ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจรุมเร้าทั่วโลก แฮปปี้แลนด์กลับมาปัดฝุ่นเปิดโปรเจกต์
โครงการที่ดินผืนงามชายทะเลบางปู เรื่องต้นทุนนั้นไม่มี เพราะเป็นที่ดินดั้งเดิม มาเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก
เปิดการตลาดใหม่ ปัจจุบัน “แฮปปี้แลนด์ ซีวิว” กลับมาคึกคัก
มีผู้สนใจต้องการซื้อหาเป็นบ้านพักตากอากาศริมทะเล 365 วัน ที่ใกล้กรุงเทพฯ

“ผมคิดต่างนะ ผมไม่คิดว่าคนไทยจะหยุดการใช้ชีวิต หรือแม้แต่ต่างชาติ ผมก็เชื่อว่าเขาจะไม่หยุดเข้ามา
เรามีพร้อมอยู่แล้ว แล้วทำไมเราจะไม่ลุย แต่อาจเป็นการลุยที่ทำให้เรามีเวลาได้คิดไปด้วย
เศรษฐกิจอย่างนี้ทำให้ความรอบคอบมีมากขึ้น” ชยวีร์ ย้ำด้วยมาดมั่น



วาสนา รุ่งแสนทอง

ปัญหามาปัญญาเกิด
วาสนา รุ่งแสนทอง ลาทูรัส เจ้าของผลิตภัณฑ์กระเป๋าผ้าฝ้ายนารายา ที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ
โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น มีสาขาทั้งในและต่างประเทศกว่า 20 สาขา เธอเล่าว่าธุรกิจนี้เกิดมาช่วงที่ชีวิตแย่สุดๆ
เพราะไปเจ๊งกับธุรกิจอื่นจนหมดตัวขายบ้าน 2 หลังรถ 2 คัน กัดฟันสู้ใหม่ด้วยการไปกู้เงินนอกระบบมาทำ
กับจักรเย็บผ้าเพียง 2-3 ตัว ที่ทำกับญาติๆ จนเติบโตมาถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว นับแต่เปิดแบรนด์นี้มา
ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบมีปัญหาตามมาอยู่เสมอๆ แรกๆ เมื่อขายดีก็เจอคนทำเลียนแบบ
จนต้องสร้างแบรนด์ของตนเอง ขายของราคาไม่แพงมากเพื่อให้ขายได้มากๆ จะได้ออกแบบลายผ้าได้เอง
แล้วซื้อเป็นล็อตใหญ่ๆ ได้ไม่มีใครเลียนแบบได้หรือเลียนแบบได้ยากขึ้น

“ชีวิตไม่ได้ฟลุค ทุกอย่างต้องลงทุนลงแรง ขยันคิด ลองใหม่ๆอยู่เสมอ อันนี้ไม่ดี ก็ทำอันนั้นใหม่
คือ คิดอยู่เสมอมันต้องเจอทางที่ใช่ของเราเข้าสักทาง อย่าท้ออย่าหมดกำลังใจ
คือหมดอย่างอื่นหมดได้แต่ขออย่าหมดกำลังใจ กว่าที่จะมาลงตัวกับตรงนี้ล้มเหลวมาเป็นสิบๆ อย่าง
ร้องไห้จนแทบจะไม่มีน้ำตาจะร้อง แต่ก็สู้ ถ้าไม่นับ 1 ก็ไม่มีวันไปถึง 10 ได้ แล้วการทำธุรกิจก็คือ
อย่าหวังกำไรเกินควร คิดว่าลูกค้าอยู่ได้เราก็อยู่ได้ แต่ถ้าลูกค้าอยู่ไม่ได้เราก็ลำบากไปด้วย
พี่ขายของชิ้นละ 40-50 บาท แพงสุดไม่เกิน 350 บาท เช่าพื้นที่ในห้างขนาด 150 ตารางเมตร
ทำธุรกิจแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า มีกำไรบ้างพออยู่ได้ไม่เอามากแบบรวยเร็วๆ
และพยายามทำธุรกิจด้วยเงินทุนของเราเองให้มากที่สุด”

วาสนาให้กำลังใจว่า ในวิกฤตมักจะซ่อนโอกาสอยู่เสมอ พยายามหาให้เจอ และพยายามมองโลกในแง่ดี
ชีวิตต้องมีความหวัง สุขทุกข์มักเป็นของคู่กัน เพียงแต่จะเจอแบบไหนก่อน แก้ปัญหาไปที่ละเรื่อง
ขยันอดทนตั้งใจทำงานโอกาสดีๆ ต้องเป็นของเราสักวัน
และเชื่อว่าคนขยันไม่มีวันอดตาย นี่เป็นสิ่งที่เธอพิสูจน์มาแล้วด้วยตนเอง

เห็นหรือยังว่ากำแพงหนาที่ตั้งขวางอยู่ข้างหน้า จริงๆ แล้ว หากเราได้เดินเข้าไปหา
อาจจะมีช่องให้เราเดินไปสู่อีกฟากหนึ่งได้
การสูญเสียโอกาสในยามวิกฤต อาจอยู่เพียงแค่...การไม่กล้าที่จะก้าวออกไป


ที่มา : //www.jobjob.co.th




 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2553
1 comments
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2553 20:28:52 น.
Counter : 1479 Pageviews.

 

เพราะบุญกรรมที่ทำมาดีด้วยค่ะ

ตัวอย่างใกล้บ้านจุฬาภินันท์นะคะ เจ้าของเดิมของเซเว่นฯปากซอยทำไม่ขึ้นลูกค้าน้อย พอเปลี่ยนเจ้าของ(สามีของจุฬาภินันท์)ลูกค้าก็เพียบเลยค่ะ

เรารู้ว่าทำบุญมาเยอะเพราะเราเข้าถึงธรรมทั้งคู่ค่ะ ถือศีลและทำสมถสมาธิ ใครๆก็เข้าถึงได่ค่ะ

 

โดย: Chulapinan 25 กุมภาพันธ์ 2553 21:58:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.