Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 
21 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

5 คำถามที่ Mentor ควรถาม ?



หลาย ครั้งเวลาเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรต่าง ๆ ในเรื่องของการทำ Mentoring Program (โครงการพี่เลี้ยง)
มีคำถามหนึ่งที่ผู้ที่จะเป็น mentor ชอบถามมากที่สุด โดยเฉพาะ mentor มือใหม่ คือ
เขาควรจะเริ่มการเป็น mentor อย่างไร ?

โดยปกติจะแนะนำไปว่า ก่อนที่จะเข้าไป mentor อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
สิ่งที่ผู้เป็น mentor ควรทำอย่างแรก คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับ mentee ที่คุณต้องเข้าไปดูแลว่าเขาเป็นใคร ?
ตำแหน่งอะไร ? ทำงานมา กี่ปี และประวัติโดยทั่ว ๆ ไปเป็นอย่างไร ?
เช่น จบที่ไหน ? สาขาอะไร ? อายุเท่าไร ? เป็นต้น

นอก จากประวัติต่าง ๆ แล้ว สิ่งที่ควรทำคือการถามคำถามเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับตัวของ mentee ให้มากขึ้น
โดยแนวคำถาม ที่ควรถาม มีดังนี้

1.คุณต้องการจะเป็นอะไร หรือทำอะไรในอนาคต ?
คำถามนี้เป็นคำถามเพื่อดูถึงเป้าหมายและความทะเยอทะยานของเขา
หาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมบุคคลคนนี้ถึงได้ทำในสิ่งที่ตนเองทำอยู่
นอกจากนี้คำถามนี้ยังทำให้ mentor ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเป้าหมายในหน้าที่การงานของเขา
และเข้าถึงความปรารถนาที่แท้จริงของเขาด้วย


2.อะไรเป็นสิ่งที่คุณทำได้ดี ที่คิดว่าจะช่วยให้คุณไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ใน ข้างต้น ?
คำถามนี้เป็นการหาจุดแข็งและความสามารถที่เขาคิดว่าจะทำให้เขาไปถึง เป้าหมายได้
อะไรเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดี ความละเอียดรอบคอบ การสร้างแรงจูงใจให้กับผู้อื่น หรือตัวเลข

ฉะนั้นจะต้องเข้าใจกันก่อนว่า
จุดแข็งที่เราต้องการรู้นั้น ต้องเป็นจุดแข็งที่เขาสามารถทำได้ดีกว่าคนปกติโดยทั่วไป
นอกจากนี้ยังเป็นการทำให้เรารู้ว่าจุดแข็งที่เขามีนั้น จะสามารถช่วยให้เขาไป ถึงเป้าหมายได้จริงหรือไม่


3.อะไรเป็นสิ่งที่คุณทำได้ไม่ดี และคิดว่าจะทำให้คุณไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ?
คำ ถามนี้เป็นคำถามที่เราในฐานะ mentor จะสามารถช่วยในการพัฒนาปรับปรุงเขาได้
และในบางครั้งสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นจุดอ่อนของเขา อาจจะไม่มีความจำเป็นในการ พัฒนาก็ได้
เพราะอาจจะไม่เกี่ยวกับการไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้


4.คุณคิดว่าในอนาคตคุณจะทำอะไรที่แตกต่างไปจากวันนี้ เพื่อทำให้คุณไปให้ถึงเป้าหมาย ?
คำ ถามในข้อนี้จะช่วยให้คุณเห็นทัศนคติของเขาว่า กล้าพอที่จะซ้อมหรือพัฒนาใน สิ่งที่เป็นจุดอ่อนหรือไม่
พูดจริง ๆ แล้วการเติบโตในหน้าที่ไม่ได้ดูจากความขยันขันแข็งเท่านั้น
คนบางคนอาจจะขยันอย่างมาก แต่ขยันในสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อเป้าหมายในอนาคตของเขา
นั่นหมายความว่างานที่เขาชอบทำ กำลังทำให้เขาหลงทางจากเป้าหมายที่แท้จริง

เพราะคนโดยส่วนมากชอบทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี และจะทำซ้ำไปเรื่อย ๆ เหมือนเป็นการซ้อมอย่างหนึ่ง
เราต้องเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ชอบแสดงออกให้คนอื่นได้เห็นในสิ่งดี ๆ ที่ตนเองมี
และซ่อนสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของตนเองไว้

เหมือน กับการเล่นกีฬาที่เราจะพยายามซ้อมในสิ่งที่เราทำได้ดี และไม่ซ้อมในสิ่งที่เราทำไม่ได้
อย่างนักกีฬาบางคนที่สามารถยิงลูกบาสเกตบอลในระยะใกล้ได้ดี
เวลาซ้อมก็จะซ้อมแต่สิ่งที่ตนเองถนัด จนลืมที่จะซ้อมสิ่งที่ทำได้ไม่ดีอย่างการยิงลูกในระยะไกล เป็นต้น


5.ในฐานะ mentor คุณอยากได้รับความช่วยเหลืออะไรจากฉันมากที่สุด หรือฉันสามารถช่วยอะไรเธอได้บ้าง ?
คำตอบจาก 4 คำถามแรกจะเป็นการบอกคุณว่า คุณสามารถช่วยเขาได้อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นการนำจุดแข็งของคุณไปช่วยในการพัฒนาเขา หรือใช้ความรู้ของคุณในการช่วยเขาให้เกิดการพัฒนา
ส่วนคำถามสุดท้ายนี้เป็นการยืนยันสิ่งที่คุณเข้าใจ กับสิ่งที่เขาคิดว่ามันตรงกันหรือไม่
และเพื่อเป็นการร่วมกันคิดและทำแผนในการพัฒนาเขาในอนาคต

หาก สิ่งที่คุณคิดว่าคุณน่าจะช่วยเหลือเขาได้ในเรื่องนั้น ๆ เป็นเรื่องเดียวกันกับสิ่งที่เขาคาดหวังอยากให้คุณช่วย
ความสำเร็จคงเห็นอยู่ไม่ไกล แต่หากสิ่งที่คุณคิดว่าคุณช่วยได้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้รับความช่วยเหลือ
หรือในทางกลับกันสิ่งที่เขาอยากให้คุณช่วย เป็นสิ่งที่คุณไม่คิดว่าคุณช่วยได้ ความสำเร็จก็คงดูห่างไกลออกไป

แนว ทางคำถามต่าง ๆ ข้างต้น ผมคิดว่าน่าจะช่วยทำให้คุณสามารถประเมินได้ว่า
คุณจะสามารถช่วยเหลือคนอื่น ๆ ในองค์กรได้อย่างไร
ผมอยากแนะนำให้คุณลองใช้ 5 คำถามนี้ในการพูดคุยกับคนที่จะมาเป็น mentee ของคุณในโอกาสหน้า

เพราะคำตอบจากคำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณ และ mentee ของคุณ สามารถวางแผนพัฒนาศักยภาพได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป !


โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
ที่มา : //www.prachachat.net




 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2553
4 comments
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:52:05 น.
Counter : 1811 Pageviews.

 

สถาบันที่ปรึกษางานวิจัย
รับทำงานวิจัยทุกชนิด วิจัยตลาด การสำรวจตลาด การวิจัยความต้องการของผู้บริโภค การวิจัยผลิตภัณฑ์
การทดสอบตลาดสินค้า การวิจัยเพื่อศีกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค การวิจัยธุรกิจ การพัฒนาปรับปรุงองค์การ การสำรวจความพึงพอใจของสินค้าและบริการ การวิจัยภาคสนาม รับปรึกษาและรับสอนทำวิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์หรือการค้นคว้าวิจัยอิสระ ดุษฎีนิพนธ์ งานวิจัยเชิงปริมาณ งานวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเอกสาร การวิจัยเชิงสำรวจ การออกแบบวิจัย การทำแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ การแจกและเก็บแบบสอบถาม การหาข้อมูลทุกประเภทสำหรับงานวิจัยการประมวลผลด้วยโปรแกรม SPSS การทดสอบ t-test ,Z-test ,Anova , Chi-Square รวมทั้งการใช้สถิติขั้นสูง ช่วยจัดทำ Power Point สำหรับการนำเสนอผลงาน มีประสบการณ์ ความชำนาญ ทำงานได้คุณภาพตามที่ต้องการ รับพิมพ์ จัดเรียงรูปเล่ม เราสอนและให้คำแนะนำในการทำทุกขั้นตอนจนกว่างานจะเสร็จ แต่ละขั้นตอนตามงานเป็นระยะ ท่านจะเป็นนักวิจัยที่มีความชำนาญและมีผลงานที่ดีเมื่อมาใช้บริการทีมงานของเรา โทรศัพย์ 02-7285328,02-7285419,0891418785,081-4931771 (8.00-24.00 น)
ทุกวัน อาจารย์ อนิวัตติ์ //www.doctoraniwatt.com

 

โดย: อาจารย์ อนิวัตติ์ IP: 203.144.144.164 22 กุมภาพันธ์ 2553 12:03:58 น.  

 

พระพุทธองค์ตรัสความสุข ไว้สองประการคือ สามิสสุข ความสุขที่อิงอาศัยวัตถุภายนอก อย่างหนึ่ง นิรามิสสุข ความสุขที่ไม่อิงอาศัยวัตถุภายนอก อย่างหนี่ง ความสุขอย่างแรกนั้น ก็ประกอบด้วยลักษณะสองอย่างคือ มีความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น มีโทรศัพท์เครื่องละเป็นหมื่น ลูกเล่นก็หลายอย่างแล้ว พอเขาออกรุ่นใหม่มาเพิ่มลูกเล่นอีกนิด ก็อยากได้รุ่นใหม่อีก ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด ประการที่สองวัตถุสิ่งของที่ก่อให้เกิดความสุขนั้น ก็ยังหนีไม่พ้นความเสื่อม ความสูญสลายอยู่ดี ส่วน นิรามิสสุขนั้นเป็นสุขที่เกิดจากจิตใจภายในที่มีความอิ่มความรู้จักพอ ความฉลาดของจิตใจที่รู้จักการมีท่าทีต่อสิ่งต่างๆรอบข้างโดยไม่ทำให้ตนเองต้องทุกข์ และรู้จักหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็ควรจะรู้จักหลักของการเป็นคนเรียบง่ายอย่างชาญฉลาด โดยการอยู่กับสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเพียงเพื่อประโยชน์ใช้สอยในการดำรงชีวิตเท่านั้น แต่จะไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาครอบงำจิตใจของเราได้

เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะไม่มาติดอยู่ที่ใจ และใจเราก็จะไม่มีความอยาก ทั้งนี้ถ้ามีนักวิทยาศาสตร์สักคนมาบอกว่า สามารถค้นพบการดับความกระหายทางใจได้
ถามว่าทุกคนจะเอาไหม ทุกคนคงตอบว่า เอาสิถ้าทำได้จริง นักวิทยาศาสตร์ทางกายภาพยังคิดค้นวิธีดับความกระหายน้ำไม่ได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ทางใจคือ องค์สมเด็จพระสมมาสัมพุทธจ้า ทรงค้นพบวิธีการที่จะทำให้เราเลิกกระหายทางใจไปตลอดชีวิต โดยหลักของ ทาน ศีล ภาวนา
เราจะพบกับความสุขที่จริงแท้ สุขอย่างยิ่ง สุขนิรันดร์

 

โดย: เร IP: 180.183.21.180 22 กุมภาพันธ์ 2553 19:34:00 น.  

 

อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต คุณอาจไม่ต้องขายบ้าน เปลี่ยนงาน เลิกกับแฟน
หรือทำบางสิ่งบางอย่างแบบสุดจะทุ่มเท หรือสุดโต่งให้เสียพลัง
เพียงแค่ปรับเปลี่ยนจากความยุ่งยาก
จากความลำบากแสนสาหัสในการตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับโลกใบเดิม
มาทำเรื่องสบายๆเรียบง่ายยึดหลัก "น้อยคือมาก" ในชีวิตประจำวัน
ความสุขก็แค่เอื้อมมือคว้า
ไม่ต้องถึงกับปีนป่ายหน้าผาก็หาไว้เป็นของตัวเองได้
ลองวิธีต่อไปนี้เป็นแนวทางให้ชีวิตเรียบง่าย สร้างสรรค์และพอเพียง



1. รับไว้....เท่าที่รับได้
ต่อให้คุณยิ่งใหญ่มาจากโลกไหน แบกความรับผิดชอบมากมายเท่าไหร่
ทว่าคุณก็ยังไม่ใช่ศูนย์กลางของโลกอยู่ดีจงจำไว้ว่าทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่ที่
คุณคนเดียว
ปล่อยให้มันเป็นไปและให้คนอื่นตัดสินใจด้วยตัวเขาบ้าง

2. ลุย ๆ ๆ ฮุย เล ฮุย
เมื่ออายุมากขึ้น สิ่งที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่ตัวเลข
แต่หมายถึงความรับผิดชอบทั้งหลายที่ต้องตามมาเป็นหางว่าว
ไหนจะตามหาในสิ่งที่ชอบ ตัวตน จุดยืนและความคิดของคุณเอง
จัด-คิด-คัด-สรร
ให้ชีวิตสมดุล ลองแบ่งหน้าที่ในชีวิตออกเป็นสองเรื่องใหญ่ได้แก่ -
ความรับผิดชอบในการงาน - ความรับผิดชอบที่บ้าน
จัดลำดับความสำคัญที่ใหญ่ที่สุด
วาดแผนผัง หรือโยงข้อย่อย ๆ ออกมา เลือกทำแค่สิ่งที่ "ต้อง"
ทำและจำเป็นในชีวิตก่อน ตัดโปรแกรมมัลดีฟส์ เที่ยวรอบโลก
ช้อปปิ้งที่ฝรั่งเศสออกไปก่อน
แล้วปฏิบัติภารกิจที่อยู่ตรงหน้าตามความสำคัญ

3. หยุดทุกสิ่งรอบตัว...แล้วอยู่คนเดียวบ้าง
หาเวลาอยู่คนเดียวบ้าง
อาจจะเป็นวันหยุดไม่ต้องมีแผนอะไรไม่มีตารางไม่แชท
ไม่คุยโทรศัพท์ ไม่สื่อสารกับโลกภายนอกสักวัน
หาอะไรทำอย่างที่อยากจะทำ
จริงๆไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำไม่ต้องฝืนจะนอนมองหน้าต่างแล้วเคลิ้มหลับไป
หรือเปิดเพลงที่อยากจะฟังจะทาเล็บหรือานจดหมายรักเก่าๆใช้เวลาว่างให้เปล่า
ประโยชน์ซะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องปราศจากสาระ

4. อยู่กับครอบครัว
แม้ที่บ้านคุณจะโหวกเหวก ทั้งลูกทั้งหลานจะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตลอดเวลา
แต่นั่นล่ะคือการเติมพลังให้ชีวิตอีกด้านหนึ่ง
เพราะครอบครัวคือความอบอุ่นที่ไม่ต้องมีจริตไม่ต้องยึดติดภาพลักษณ์
อยู่บ้านจะหัวเป็นเพิ้ง กินแล้วนอน คนในครอบครัวก็รับคุณได้
อยู่บ้านแล้วลองนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งเล็กๆน้อยๆที่คุณเคยทำในวัยเด็ก
ซึ่งเนิ่นนานแล้วที่คุณร้างรากลิ่นและรสเดิมๆนั้นจำได้ไหม
ที่กินน้ำอัดลมแล้วชอบเอาบ๊วยหรือลูกอมใส่ลงไป
เพราะเชื่อว่าทำให้มีหลายรสชาติ
หรือไม่ก็ลองเปิดหนังผี แล้วเรียกเด็กๆมานั่งหน้าทีวี
ชวนกันคลุมโปงเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ ต้องกินบะหมี่ป๊อก
หรือส้มตำไก่ย่างที่เข็นมาขายหน้าบ้าน
แล้วอย่าลืมเปิดละครจักรๆวงศ์ๆหรือไม่ก็การ์ตูนช่องโปรด

5. เงินเดือนน้อยลง....สุขมากขึ้น
สุดท้ายแล้วชีวิตที่สุขมากขึ้น กลับไม่ต้องการ อะไรเลย
เพียงแค่มีเวลาให้ชีวิตและได้ทำในสิ่งที่รัก
วัตถุไม่ใช่คำตอบของชีวิตเสมอไป
เท่าที่ผ่านมาหากคุณมีเงินเดือนมากมาย แต่กลับไม่มีเงินเก็บในธนาคาร
ด้วยค่าใช้จ่ายมากมายบนบ่า ค่าบัตรเครดิต ค่ารถ ค่าบ้าน
ค่าสาธารณูปโภคภาษีสังคม ค่าของแบรนด์เนม
ค่าอุปกรณ์นวัตกรรมแห่งยุคอีกมากมายและอื่นๆ อีกจิปาถะ ลด ละ เลิก
ในสิ่งที่ไม่จำเป็น ชีวิตจะเบาสบาย และเหนื่อยน้อยลง
ด้วยความที่ไม่ต้องวิ่งตามกระแสสังคมที่เชี่ยวกราก
ชนิดที่วิ่งตามไม่ทันแต่ต้องขึ้นเครื่องบินโลว์คอสต์ตามกันแล้ว
ค้นหาตัวเอง
หาสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข แม้ไม่รวย ไม่มีตำแหน่ง เบรกกระแสรอบข้างไว้
แล้วฟังเสียงหัวใจของคุณบ้าง

6. เหลียวมองข้างทางบ้าง
ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรเร่งด่วน ถึงขั้นถ้าไปเลทนิดๆแล้วดวงดาวจะสะเทือน
เจอดอกไม้งามๆลองชะลอรถให้ได้เห็นความงามของดอกไม้ได้ชัดๆเป็นบุญตาบ้างก็ดี






7. ซื้อของส่วนรวม
ซื้อเสื้อขาว ถุงเท้าขาว กางเกงกีฬา หรือหมวกแก๊ป
ที่สามารถแชร์กับคนอื่นในครอบครัวได้
หรือคุณอาจจะไม่ซื้อแค่สบู่ที่คุณชอบคนเดียว
แต่เป็นกลิ่นยอดนิยมที่ทุกคนในบ้านใช้ได้ เป็นเหมือนการแบ่งปันทางอ้อม
น่ารักดีออก
ถ้าคุณบอกกับเพื่อนสาวเมื่อถึงคราวที่หล่อนต้องใช้อะไรสักอย่าง
แล้วคุณบอกเธอว่าไม่ต้องซื้อ "ใช้ของฉันก็ได้แก" ได้ใจเพื่อนสาวอีกโข

8. ทำอาหารจากของเหลือในตู้เย็น
อันนี้ตำราเซนว่าไว้เชียวว่า อาหารมื้อที่หรูเลิศที่สุด
คืออาหารที่ใช้วัตถุดิบเท่าที่มีอยู่มาประกอบเป็นอาหารที่อร่อยลิ้น
ประหยัด
สร้างสรรค์ มื้อเย็นนี้ลองคิดว่าจะทำอะไรจากของในตู้เย็นได้บ้าง
แทนที่จะคิดว่าจะกินอะไร
แล้วก็แล่นเข้าซูเปอร์มาร์เกตเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

9. เอ่ยคำขอบคุณจากหัวใจ
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่คนอื่นทำให้ แต่ถ้าคุณพิจารณาดีๆแล้ว
นี่คือสิ่งยิ่งใหญ่ที่มนุษย์พึงหยิบยื่นให้แก่กัน
คราวหน้าลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างลองขอบคุณคนขับจากหัวใจ
หรือซื้อของจากแม่ค้าแล้วยิ้มให้จากใจสักทีคุณจะมีความสุขขึ้นอีกหนึ่งอึดใจ

10. ลองปลูกต้นไม้ด้วยมือของคุณบ้าง
การปลูกต้นไม้จะทำให้จิตใจคุณละเอียดลออขึ้น อดทนขึ้น
เป็นการใส่ใจกับสรรพสิ่งเล็กๆใส่ใจให้เขาได้เติบโต ค่อยๆทะนุถนอมดูแล
เพื่อรอวันเก็บเกี่ยว

11. อยู่กับสิ่งสวยงาม
อยู่กับบ้านแทนที่จะดูแต่ทีวี เล่นอินเทอร์เน็ต
มีสิ่งรื่นรมย์อื่นๆอีกมากที่รอให้คุณทำคุยกับนกกับปลาฟังเพลง
เย็บปักถักร้อย
ดูพระอาทิตย์ตก จิบชา ชิลล์ๆ มาสค์หน้า วาดรูป ฯลฯ
เป็นการชาร์จแบตให้ชีวิตแล้วความสุขของคุณก็จะแผ่กระจายสู่คนอื่นด้วยตัวมันเอง

12. มีเพื่อนน้อยคนแต่มากความจริงใจ
บางคนอาจมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง มีเพื่อนรายล้อม
ทว่าจะมีสักกี่คนที่เป็นเพื่อนแท้ ร้องไห้กับปัญหาของคุณ
หัวเราะกับความสุขของคุณ และช่วยกันคิดหัวแตกยามคุณวิตกจริต
คุณอาจจะคิดว่าการมีเพื่อนเยอะ คือการเข้าสังคม
เป็นดัชนีชี้วัดความเหงาและโดดเดี่ยว

 

โดย: บอย IP: 180.183.21.180 22 กุมภาพันธ์ 2553 19:39:47 น.  

 

บางทีเราทุกคนก็ต้องเจอกับความเครียด ท้อแท้ สิ้งหวัง
นั้นไม่ใช้อะไรที่แปลกไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แต่การที่คุณยอมรับว่ากลัวสิ่งนั้นต่ะหากละ
ที่เรียกว่าความกล้า กล้าทีจะยอมรับในสิ่งที่คุณกลัว กล้าจะยืนหยัดเเละต่อสู้กับมัน
แต่วันนี้ถ้าสิ่งที่คุณแบบรับไว้นั้นมันเกินกว่าที่คุณจะทนได้ ถ้ายังงั้น
วันนี้คุณลองเปิดใจให้ พระเจ้าเข้ามามีส่วนช่วยคุณคลายปัญหาของคุณได้มั้ย
ลองดูสิเเล้วคุณก็จะผ่านทุกอย่างไปได้อย่างแน่นอน!!
เหมือนที่ฉันได้ผ่านมานมาจนได้!

 

โดย: da IP: 124.120.7.136 14 พฤษภาคม 2553 0:46:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.