Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 
10 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

จะทำอย่างไร เมื่องานเยอะจนทำไม่ทัน



เรามาดูซิครับว่าเพราะทำไมผู้บริหาร บางท่านจึงดูงานยุ่งทั้งวันจนไม่ได้ลืมหูลืมตา
แต่ทำไมงานที่ออกมาถึงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ผู้บริหารต้องการเท่าใด?

ท่าน ผู้อ่านลองนึกถึงตนเอง แล้วลองดูว่า เคยอยู่ในสถานการณ์ดังต่อไปนี้บ้างไหมครับ?
ท่านเริ่มต้นทำงานตั้งแต่ 07.30 น. กว่าจะได้ออกจากที่ทำงานก็ไม่ต่ำกว่าสองทุ่ม
ถึงแม้ท่านจะทำงานมากกว่าสิบชั่วโมงต่อวัน แต่ท่านก็ยังรู้สึกว่าทำงานไม่เสร็จหรือทำงานไม่ทันอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ท่านเองยังรู้สึกว่า
ท่านไม่ได้มีเวลามานั่งคิดทบทวนถึงกลยุทธ์ หรือทิศทางที่ชัดเจนของบริษัทแต่ อย่างใด
ท่านรู้สึกว่าตนเองมัวแต่ยุ่งกับงานประจำ จนละเลยในงานที่เป็นกลยุทธ์ขององค์กร แต่ท่านก็ไม่มีทางเลือก
เนื่องจากงานประจำที่มีอยู่ก็รุมเร้าจนท่านรู้สึกว่า ถ้าท่านไม่ทำ บริษัทก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้

งานหลายๆ อย่างที่ท่านอยากจะทำและคิดว่ามีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร
ก็จะไม่ได้รับความเอาใจใส่จากท่านเท่าที่ควร
เนื่องจากท่านจะต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดในแต่ละวัน ไปกับงานประจำที่โถมเข้า มาตลอดเวลา

ผมเชื่อว่า ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะตกอยู่ในสถานการณ์ข้างต้น ทำให้ท่านเกิดความรู้สึกว่า
งานที่ทำไม่ได้ส่งผลต่อการขับเคลื่อนหรือผลักดัน องค์กรของท่านให้ก้าวไปข้างหน้า
ทีนี้เรามาดูกันว่า ทำไมผู้บริหารและคนทำงานจำนวนมากถึงได้เจอกับสถานการณ์ข้างต้น

ปัญหาประการหนึ่งก็คือ ความต้องการในตัวท่านที่มีมากจนเกินไป (Overwhelming Demands)
ซึ่งถ้าท่าน ตกเป็นทาสของความต้องการของผู้อื่นที่มีต่อท่านเมื่อใด
ก็จะทำให้ท่านตกเป็นทาสของงานประจำ (Prisoner of Routines) อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ทำให้ท่านไม่มีเวลามานั่งคิด พิจารณาถึงงานที่ท่านคิดว่ามีความสำคัญหรืออยากจะทำ
เนื่องจากท่านจะต้องคอยตอบสนอง ต่อความต้องการของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

เคยอ่านในหนังสือเล่มหนึ่งแล้ว เขาระบุไว้ชัดเจนเลยครับว่า
ปัญหาข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นจากลักษณะงานของท่านหรอกครับ
แต่เกิดขึ้นจากวิธีการที่ท่านจัดการกับงานของท่าน

ทีนี้ท่านจะทราบได้อย่างไรครับว่า ท่านมีปัญหากับวิธีการที่ท่านจัดการกับงานของท่าน
ท่านผู้อ่านลองดูซิครับ ว่าท่านผู้อ่านเคยตกอยู่ในสถานการณ์นี้หรือไม่?

ท่านทราบว่างานบางอย่างของท่านมีความสำคัญ แต่ท่านไม่มีเวลาที่จะจัดการกับงานนั้น?
ถ้าท่านเคยตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ก็แสดงว่าท่านเข้าข่ายเป็นทาสของงานประจำแล้วครับ
สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของปัญหาข้างต้นก็คือ
ท่านผู้อ่านมีความเชื่อว่า งานทุกอย่างจะสำเร็จได้จะต้องอาศัยตัวท่าน
ท่านไม่สามารถหลบเลี่ยงหรือขาดงานใดได้เลย

ความรู้สึกว่างานทุกอย่างจะสำเร็จได้ จะต้องอาศัยตัวท่าน (Indispensable)
เป็นคนละอย่างกับความหลงตัวเองนะครับ
แต่เมื่อใดก็ตามที่ท่านมีความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้น ถือว่าอันตรายมากนะครับ
เนื่องจากจะทำให้ท่านเป็นทาสของความต้องการของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

ท่านจะไม่มีเวลาพักหรือเวลานั่งคิดใน สิ่งที่ท่านคิดว่าสำคัญ เนื่องจากท่านมีความรู้สึกว่า
ถ้าท่านไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานอะไรแล้ว งานนั้นก็จะไม่สำเร็จ
ความรู้สึกดังกล่าวทำให้ท่านจะต้องเข้าไปทำ หรือยุ่งกับงานในหลายๆ เรื่อง
ทั้งๆ ที่ท่านไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปทำเลย แต่บางครั้งเรื่องแบบนี้ ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับบุคลิกของแต่ละคน

บางคนชอบที่จะเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ชอบให้คนเข้ามาขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษา
ชอบที่จะรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ ชอบที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
และชอบที่ตนเองมีความรู้สึกว่างานยุ่งตลอดเวลาไม่มีเวลาว่างเลย

ซึ่งถ้าท่านมีบุคลิกภาพในลักษณะดังกล่าวก็ต้องระวังนะครับว่า
ท่านจะรู้สึกว่างานยุ่งอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่มีงานออกมาเท่าที่ควร

ท่านผู้อ่านเคยถามตนเองบ้างไหมครับว่า ที่ท่านยุ่งอยู่ทุกวันนี้เป็นการยุ่งในสิ่งที่ถูกหรือไม่?

การที่ผู้บริหารจะสามารถทำงานที่สมควรจะทำได้สำเร็จนั้น จะต้องเริ่มต้นจากการหยุดหรือ เลิกคิดก่อนว่า
ตัวท่านเป็นศูนย์กลางของงานทุกสิ่ง และทุกคนจะต้องพึ่งท่านตลอดเวลา

นอกจากนี้ท่านเองคงจะต้องตั้งเป้าหมายในการทำงาน ที่ชัดเจนว่าต้องการที่จะทำ งานใดให้สำเร็จเสร็จสิ้น
และมีความมุ่งมั่นในการที่จะทำให้งานให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ไม่ว่าจะมีสิ่งมาดึงดูดให้ท่านหันกลับไปยุ่งกับงานประจำ มากน้อยเพียงใด

ท่านอาจจะลองกำหนดให้ชัดเจนว่างานในแบบใดที่ท่านจะมุ่งเน้น
และงานแบบใดที่ท่านอาจจะมอบหมายให้ผู้อื่นทำ หรือชะลอไว้ก่อน
บางคนเรียกการทำแบบนี้ว่า เป็น Slow Management เนื่องจากเป็นการพยายามที่จะลำดับความสำคัญของงาน
และผ่อนจังหวะในการทำงานของตนเองให้ช้าลงบ้าง
โดยมุ่งเน้นในสิ่งที่สมควรจะทำ มากกว่าการไปมุ่งเน้นหรือทำในทุกเรื่อง (โดยเฉพาะงานประจำ)

ผมเคยเจอผู้บริหารบางท่านเขาจะกำหนด เวลาไว้ชัดเจนเลยว่า
ในแต่ละวันจะมีช่วงเวลาไหนบ้าง ที่เขาจะมุ่งเน้นในงานที่เป็นงานที่สำคัญและ อยากจะทำ ในช่วงนั้น
ผู้บริหารท่านนั้นจะปิดประตูห้องและไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบเลย
เนื่องจากเขาต้องการเวลาและสมาธิในการทำสิ่งที่ควรจะทำ

แต่หลังจากนั้นผู้บริหารท่านนั้นก็ เปิดประตูกว้าง
และพร้อมที่จะรับฟังและให้คำแนะนำให้กับลูกน้องทุกคนที่ก้าวเข้ามา
ท่านผู้บริหารท่านนั้นให้เหตุผลว่า งานประจำ ที่เขาจะต้องเสียเวลาส่วนใหญ่คืองานในเรื่องเกี่ยวกับผู้คน
ซึ่งงานที่เกี่ยวกับผู้คนเป็นงานที่เหนื่อย และเสียเวลาสำหรับผู้บริหารพอสมควร
เพราะฉะนั้นการมีช่วงเวลาหนึ่งในแต่ละวัน ที่จะอยู่อย่างสงบและทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าควรจะทำนั้น
เป็นสิ่งที่ผู้บริหารต้องการมากที่สุด

ผมหวังว่าเนื้อหาในสัปดาห์นี้ คงจะเป็นประโยชน์กับผู้บริหารบ้างนะครับ
แนวทางต่างๆ ที่เสนอไปก็เป็นเพียงแค่แนวทางหนึ่งเท่านั้น


บทความโดย : ผศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์
บทความจาก : กรุงเทพธุรกิจ
ที่มา : //www.pattanakit.net




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2553
2 comments
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2553 21:19:00 น.
Counter : 2548 Pageviews.

 

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคะ









 

โดย: puy_naka63 15 เมษายน 2553 16:34:42 น.  

 

บางทีเราทุกคนก็ต้องเจอกับความเครียด ท้อแท้ สิ้งหวัง
นั้นไม่ใช้อะไรที่แปลกไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แต่การที่คุณยอมรับว่ากลัวสิ่งนั้นต่ะหากละ
ที่เรียกว่าความกล้า กล้าทีจะยอมรับในสิ่งที่คุณกลัว กล้าจะยืนหยัดเเละต่อสู้กับมัน
แต่วันนี้ถ้าสิ่งที่คุณแบบรับไว้นั้นมันเกินกว่าที่คุณจะทนได้ ถ้ายังงั้น
วันนี้คุณลองเปิดใจให้ พระเจ้าเข้ามามีส่วนช่วยคุณคลายปัญหาของคุณได้มั้ย
ลองดูสิเเล้วคุณก็จะผ่านทุกอย่างไปได้อย่างแน่นอน!!
เหมือนที่ฉันได้ผ่านมานมาจนได้!

 

โดย: da IP: 124.120.7.136 14 พฤษภาคม 2553 0:51:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.