สิทธิในการทำงาน ที่ผู้หญิงควรรู้
คุณรู้ไหมว่า ตามกฎหมายไม่มีบริษัทไหนมีสิทธิ์ห้ามไม่ให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ทำงาน หรือต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เหมาะกับช่วงตั้งครรภ์ ยังมีเรื่องที่คุณควรรู้อีกมากมาย ที่กฎหมายกำหนดไว้เกี่ยวกับการทำงานเพื่อ ไม่ให้ผู้หญิงถูกเอาเปรียบ ...
ความ เท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ได้รับการพัฒนาและยอมรับเพิ่มมากขึ้น เป็นลำดับ สำหรับประเทศไทยเห็นได้ชัดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลังจากมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งในมาตรา 30 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน” และที่ทำงานก็เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่ผู้หญิงต้องการการยอมรับในความ สามารถไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย เป็นเรื่องน่าดีใจที่คนไทยค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะปัจจุบันมีผู้หญิงทำงานจำนวนไม่น้อย ที่ได้ดำรงตำแหน่งในระดับสูง เป็นผู้บริหาร เป็นนักการเมือง เป็นนักการทูต ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ในทุกสังคมเมื่อมีคนใจกว้างก็ย่อมมีคนใจแคบด้วย จึงมีผู้หญิงอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการยอมรับ และให้โอกาสในการทำงานเท่า เทียมกับผู้ชาย เพียงเพราะว่าเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้ว และเรื่องที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ มีผู้หญิงทำงานจำนวนมากถูกล่วงเกิน หรือถูกคุกคามทางเพศไม่ว่าจะจากนายจ้าง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่ลูกค้า ซึ่งบางครั้งผู้หญิงที่ถูกละเมิดก็ไม่กล้าโวยวาย เพราะกลัวถูกไล่ออกจากงาน เนื่องจากเมื่อมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้น ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายถูกมองว่าเป็นคนผิดมากกว่าผู้ชาย
ภาครัฐตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงออกกฎหมายเกี่ยวกับการทำงานของผู้หญิง ไว้ เช่น
มาตรา 15 บัญญัติว่า “ให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างชายและหญิงโดยเท่าเทียมกัน เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานไม่อาจปฏิบัติเช่นนั้นได้”
มาตรา 16 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างหรือหัวหน้างาน กระทำการล่วงเกินทางเพศต่อลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงหรือเด็ก”
และมาตรา 43 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างหญิงเพราะเหตุมีครรภ์”
อำนาจไม่อยู่เหนือกฎหมาย
กฎหมายทั้งสามมาตราดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ที่บัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองการทำงานของผู้หญิง โดยเป็นบทบัญญัติพื้นฐานที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียม และความเสมอภาคกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชายในการทำงาน อย่างเช่น คดีหนึ่ง* เป็นเรื่องที่ผู้บริหารซึ่งเป็นผู้ชายของบริษัทแห่งหนึ่ง และเป็นผู้มีอำนาจตัดสินว่า พนักงานเข้าใหม่จะผ่านทดลองงานหรือไม่ และมักจะใช้อำนาจหน้าที่ชักชวนพนักงานหญิงที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ออกไปเที่ยว เตร่ในเวลาค่ำคืนนอกเวลางาน หากพนักงานไม่ไปก็ขู่ว่าจะไม่ยอมให้ผ่านการทดลองงาน ภายหลังเมื่อบริษัทรู้พฤติกรรมของผู้บริหารคนนี้ จึงไล่เขาออกจากบริษัทในที่สุด
ตามกฎหมายแรงงาน หากลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรง การไล่ลูกจ้างออกนั้น นายจ้างหรือบริษัทต้องจ่ายค่าชดเชยให้ด้วย แต่กรณีนี้ทางบริษัทไม่จ่าย ผู้บริหารคนนี้จึงนำคดีมาฟ้องที่ศาลแรงงาน แต่ศาลฎีกาตัดสินว่า การกระทำของเขาเข้าข่าย ที่จะมุ่งกระทำการล่วงเกินทางเพศต่อพนักงานหญิง หรือ ผู้สมัครงานหญิง ซึ่งนอกจากจะเป็นการประพฤติผิดศีลธรรม และจารีตประเพณีอันดีงามของสังคมแล้ว ยังมีผลกระทบต่อการบริหารงานบุคคลของบริษัท และความเจริญก้าวหน้าของกิจการ ด้วย เพราะถ้าบริษัทมีผู้บริหารแบบนี้ พนักงานก็จะถูกกลั่นแกล้งจนขาดขวัญและกำลังใจในการทำงาน ซึ่งมีผลกระทบต่อ บริษัทโดยตรง บริษัทจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่ไล่ผู้บริหารคนนี้ออก
นอกจากนี้ภาครัฐยังคำนึงปัญหาที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ ถูกกีดกันในการทำงาน เพราะเหตุตั้งครรภ์ด้วย จึงบัญญัติในกฎหมายไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างผู้หญิงเพราะเหตุตั้งครรภ์ เพราะถ้าหากไม่ป้องกันไว้ก่อน การทำงานของผู้หญิงอาจจะต้องสวนทางกับการมีครอบครัว ซึ่งจะเป็นเหตุให้ผู้หญิงไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติสุข
ศาลฎีกาเคยตัดสินคดีหนึ่ง* ที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นนักแสดงที่ตั้งครรภ์ เพราะได้ทำข้อตกลงกันไว้ก่อนทำงานแล้วว่า นักแสดงหญิงจะตั้งครรภ์ไม่ได้ หากตั้งครรภ์จะต้องถูกเลิกจ้าง แม้จะมีข้อตกลงไว้แบบนั้น แต่การเลิกจ้างที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ต้องเป็น กรณีที่ลูกจ้างกระทำความผิดอาญาแก่นายจ้างได้รับความเสียหาย ส่วนการตั้งครรภ์นั้น นายจ้างไม่สามารถเลิกจ้างได้ เพราะถือว่าไม่เป็นธรรม นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชย
บทลงโทษนายจ้าง
กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กำหนดโทษของผู้ที่กระทำฝ่าฝืนกฎหมายไว้ด้วย กรณีที่นายจ้างเลิกจ้างผู้หญิงเพราะตั้งครรภ์ จะต้องมีโทษจำคุก 6 เดือน และปรับไม่เกิน 100,000 บาท
ส่วนกรณีนายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างชายหญิงไม่เท่าเทียมกัน หรือกระทำล่วงละเมิดทางเพศ ต้องมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่ถ้าหากการล่วงละเมิดทางเพศนั้นรุนแรงจนถึงขั้นเป็นการทำอนาจาร หรือข่มขืน กระทำชำเรา ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาด้วยอีกส่วนหนึ่ง นายจ้างหรือผู้ที่ กระทำก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมายอาญา
นอกจากนี้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ยังมีบทบัญญัติเฉพาะเกี่ยวกับการคุ้มครอง แรงงานหญิงไว้ในมาตรา 38 ถึง 42 ด้วย โดยได้กำหนดงานบางประเภท ซึ่งห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างผู้หญิงทำงานที่กฎหมาย กำหนดไว้นั้น ก็เป็นงานใช้แรงงานหนักและงานเสี่ยงอันตรายต่างๆ และห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานในระหว่างเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 06.00 น. ทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุดหรือทำงานหนักและอันตราย
กฎหมายยังกำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิ์ลา เพื่อคลอดบุตรได้ไม่ เกินเก้าสิบวันด้วย และถ้าหากลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีใบรับรองของแพทย์มาแสดงว่า ไม่อาจทำงานในหน้าที่เดิมต่อไปได้ ลูกจ้างก็มีสิทธิ์ขอให้นายจ้างเปลี่ยนงานในหน้าที่เดิม เป็นการชั่วคราวก่อน หรือหลังคลอดได้ด้วย
เป็นเรื่องน่ายินดีที่กฎหมายได้ให้ความสำคัญ และคุ้มครองผู้หญิงในการทำงานเป็นอย่างดี จึงหวังว่าปัญหาความไม่เท่าเทียมกัน ในการทำงานระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงก็น่าจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
หมายเหตุ : *คดีแรงงานตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 1372/2545 และ 3843/2541 ที่มา : //www.jobjob.co.th ภาพจาก : //www.saveforhouse.com
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2553 |
|
2 comments |
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2553 20:41:16 น. |
Counter : 1602 Pageviews. |
|
|
|
ทารก