Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
7 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 

"ล้างมือ" เรื่องน่าเบื่อที่น่าทำ

"ล้างมือ" เรื่องน่าเบื่อที่น่าทำ

พวกเรามาล้างมือ
ปัจจุบันโรคติดต่อหลายชนิดที่เกิดขึ้นใหม่ ทำให้เกิดการตื่นตัวทางการป้องกันโรคมากขึ้น
มีการป้องกันการติดเชื้อทางด้านต่างๆทั้งทางด้านอาหาร น้ำ สิ่งแวดล้อม
การใช้เครื่องมือเพื่อป้องกันโรค เช่น ผ้าปิดจมูก ถุงมือ
หรือความแพร่หลายของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย เช่น สบู่ฆ่าเชื้อ สเปรย์ฆ่าเชื้อ
แต่หากพิจารณาจากความคุ้มค่าคุ้มราคากับวิธีการป้องกันโรคติดต่อ เห็นจะไม่มีวิธีใดที่ดีไปกว่า"การล้างมือ"

ทำไม?
เพราะว่ามือถือ เป็นอวัยวะที่คนเราใช้สัมผัสกับสิ่งต่างๆรอบตัวมากที่สุด
ทั้งยังสามารถเข้าไปได้ในทุกๆซอกของร่างกาย
ถ้านับเป็นพาหะนำโรค ก็นับเป็นพาหะนำโรคที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดอย่างหนึ่ง
และความเหมาะสมต่อการเป็นพาหะนำเชื้อที่ดี คือมีความชื้นตลอดเวลา
ทำให้เชื้อแฮปปี้กระดี๊กระด๊าอยู่ได้เป็นวันๆ

โรคอะไร?
ในทางการแพทย์ โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารทั้งหลายมักถูกเรียกว่า ติดต่อแบบ Feco-oral route
หรือก็คือติดจากก้นสู่ปาก ในความหมายก็คือ เชื้อออกจากก้นคนหนึ่งแล้วไปติดต่อเข้าทางปากอีกคนหนึ่ง
ซึ่งในความเป็นจริง คงไม่มีใครสัปดนไปติดเชื้อโดยตรงอย่างนั้น แต่ต้องติดแบบมีที่มาที่ไปเช่น ติดมากับอาหาร
หรือเอาอะไรก็ตามที่มีเชื้อไปเข้าปาก ตัวอย่างโรค ก็ได้แก่โรคท้องเสียนานาชนิด โรคตับอักเสบเอ
ซึ่งจะเห็นว่าตัวการสำคัญที่จะเป็นผู้ต้องสงสัยก็คงหนีไม่พ้น "มือ"

โรคตัวถัดๆมา ก็ได้แก่โรคติดเชื้อตามช่องบนหัว เช่นตาแดง สิว จมูกอักเสบ ,โรคกลุ่มการติดเชื้อทางเดินหายใจ
ซึ่งแม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นการติดเชื้อจากภายนอกเข้าไป แต่ส่วนหนึ่งก็สามารถเกิดการติดต่อจากเชื้อที่มีในตัว
ซึ่งเชื้อเหล่านี้ ก็มักจะได้มาจากการไปจับบริเวณที่มีเชื้อภายนอกตัว แล้วเอามาล้วงแคะแกะเกา
จนทำให้เชื้อมาอาศัยบนตัว และวันดีคืนดีมันก็เกิดการติดเชื้อและก่อโรคในตัวคนๆนั้น
หรือกรณีที่เป็นที่รู้จักกันในวงการสาธารณสุขก็เป็นตอนโรค SARS ระบาด
และนพ.คาร์โล เออร์บานี ซึ่งเป็นแพทย์ที่ทำงานที่เวียดนามได้มาเมืองไทย เพื่อมารับการรักษาที่รพ.บำราศนราดูร
ตอนที่ท่านลงจากเครื่องบิน และมีคณะต้อนรับของเมืองไทยเดินเข้าไปเพื่อจะจับมือ
ปรากฎว่าท่านไม่ยอมจับมือด้วย เพราะถือว่าโรคที่เป็นเป็นโรคที่ติดต่อได้ทางการสัมผัส

ทำไมต้องให้ความสำคัญ? ใครๆก็ล้างมือกันอยู่แล้ว
เวลาเอาเรื่องล้างมือไปพูดที่ไหนก็ตาม มักจะมีคนบ่นว่าน่าเบื่อ ไม่รู้จะพูดทำไมซ้ำซาก
แต่ลองถามเจาะลึกกันในรายละเอียดก็จะพบว่าส่วนใหญ่เสี่ยง ว่าแล้วผมคิดว่าจะลองทำแบบสอบถามเล่นๆ
ใน MTHAI ดูว่าคนที่อ่านบทความนี้มีสุขอนามัยในการล้างมือดีแค่ไหน

ถ้าอ่านโจทย์แล้ว
คิดว่าคุณเองปฏิบัติตนตามที่กล่าวไว้ เกินกว่า70% ของสถานการณ์ในแต่ละข้อ ให้คุณตอบ "1"
แต่ถ้าคิดว่าไม่ได้ทำหรือไม่รู้ หรือว่าปฏิบัติตนไม่เป็นไปตามในข้อนั้น ให้ตอบ "0"
เสร็จแล้วเอาคะแนนมาบวกกัน

1. ทุกครั้งที่คุณเข้าห้องน้ำ คุณล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนจะออกจากห้องน้ำ
2. ทุกครั้งก่อนที่คุณจะกินข้าว (ไม่ว่าจะใช้มือหรือช้อน ไม่ว่าที่นั่นจะมีห้องน้ำหรือไม่) คุณล้างมือด้วยสบู่เสมอ

3. ก่อนที่คุณจะไปจับหรือสัมผัสตัวคนอื่น คุณมั่นใจว่าไม่ได้ล้วงแคะแกะเกาหรือแคะขี้มูกมาก่อน
(หรือถ้าแคะและล้างมือฟอกสบู่)

4. คุณเคยรู้จัก "วิธีล้างมือ7ขั้นตอน" และปฏิบัติตามในการล้างมือ
5. เวลาไปเข้าห้องน้ำและล้างมือ คุณไม่เคยใช้ผ้าเช็ดมือที่แขวนไว้แต่จะใช้ผ้าแบบใช้แล้วทิ้ง

6. เวลาเล่น internet ในเครื่องรวมหรือ internet cafe
ไม่เคยเลยที่จะเอามือมาแคะขี้มูกหรือหยิบอาหารเข้าปาก (ถ้าเคย เขียนว่า 0 ซะดีๆ)

7. ก่อนกัดเล็บทุกครั้ง คุณจะล้างมือก่อนเสมอ (ถ้าไม่กัดเล็บ ตอบ 1 )
8. ก่อนขยี้ตาทุกครั้ง ล้างมือมาหมาดๆ
9. ก่อนทำอาหารหรือปอกผลไม้ คุณล้างมือก่อน
10. คำว่าล้างมือของคุณ คือการล้างมือด้วยสบู่ (ถ้าส่วนใหญ่ล้างมือผ่านน้ำเฉยๆ ตอบ 0 ซะ)

ถ้าว่างๆ ลองลงคำตอบไว้นะครับ ตัวอย่างเช่น ของผมเองคะแนนรวมได้ 7
แล้วลองมาดูกันว่าคนในนี้ส่วนใหญ่จะมีคะแนนเกินครึ่งกันหรือเปล่า


ล้างมือยังไงจึงจะถูกต้อง?
มีการศึกษาวิจัยพบว่าการล้างมือด้วยน้ำเปล่าและสบู่ แล้วเอามือไปทาบอาหารเพาะเชื้อ
พบว่าปริมาณเชื้อต่างกันอย่างลิบลับ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับมือที่ล้างน้ำเปล่าเทียบกับมือที่ไม่ได้ล้าง
ปรากฎว่ากลับมีเชื้อไม่ต่างกันมาก
ตรงส่วนนี้จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมต้องเน้นย้ำมากว่าต้องล้างด้วยสบู่ ไม่ใช่ล้างมือผ่านน้ำ

นอกจากนี้ยังมีการวิจัยเรื่องการล้างมือที่ชี้ให้เห็นว่า การล้างมือของคนทั่วไปมักจะล้างไม่สะอาดและไม่ทั่วถึง
(ส่วนใหญ่มักสะอาดแค่ฝ่ามือ ส่วนปลายนิ้วที่เป็นส่วนที่นำโรคได้ดีมักจะยังสกปรกอยู่)
ดังนั้นจึงจะเห็นได้ตามรพ.หลายๆแห่งที่จะมีป้ายแสดงการล้างมือที่ดีไว้ 7 ขั้นตอน
เพื่อให้การล้างมือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ (ดังรูป)

รูปวิธีการล้างมือ
รูปวิธีการล้างมือ รูปเข้าใจง่าย แต่อ่านคำบรรยายไม่ออก

ล้างด้วยอะไร?
การล้างด้วยสบู่อย่างเดียวก็จัดว่าพอเพียงแล้วในชีวิตประจำวัน
ไม่จำเป็นต้องไปสรรหาสบู่ยาหรือสบู่ฆ่าเชื้อมาใช้
เพราะปัจจุบันทางการแพทย์ยังเชื่อกันว่าการใช้สบู่ฆ่าเชื้อบ่อยๆ จนเกิดการทำลายเชื้อประจำร่างกาย
จะทำให้เกิดโรคบางโรคขึ้นได้

ที่ตั้งล้างมือก็ควรระบายน้ำไม่ให้ไปขังในจุดวางสบู่ ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดมือชนิดใช้ผืนเดียวแขวนไว้ทั้งวัน

ในทางการแพทย์เองที่ได้รับการสั่งสอนมาเสมอ ก็มีการย้ำว่า
การล้างมือถือเป็นการป้องกันการติดเชื้อที่ดีและถูกที่สุด ในกรณีที่ไม่มีเวลาอาจอนุโลมให้ใช้แอลกอฮอล์ได้
แต่ข้อจำกัดของแอลกอฮอล์ก็มี คือไม่ได้ฆ่าเชื้อโรคทุกชนิด
ดังนั้นการใช้แอลกอฮอล์หรือผลิตภัณฑ์ล้างมือแห้ง ไม่ได้ดีไปกว่าการล้างมือด้วยสบู่เท่าไหร่เลย

อาจารย์ด้านโรคติดเชื้อท่านหนึ่งที่ผมเคยมีโอกาสเรียนด้วย เวลาท่านเดินนำราวน์หรือตรวจคนไข้ใน
ก็จะมีแอลกอฮอล์เจลตามไปด้วย เมื่อจะตรวจคนใดก็จะล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ 1 ครั้ง
และเมื่อตรวจเสร็จก็จะล้างอีกครั้ง เวลาตรวจจะไม่มีการเอามือไปวางหรือสัมผัสอะไรโดยไม่จำเป็น
และเมื่อจะออกจากตึกนั้นๆ ก็จะล้างมืออีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าอนามัยจัดแต่ประการใด
แต่ด้วยความที่ท่านเป็นแพทย์ที่ต้องดูคนไข้โรคติดเชื้อจำนวนมาก
ก็ย่อมต้องป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นพาหะนำโรค

ปัจจุบันมีโรคติดเชื้อหลายๆชนิดโผล่ขึ้นมาให้เรากลัวกัน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนก SARS วัณโรค หวัดแปลกๆ
เราๆท่านๆ คงไม่สามารถจะไปกำหนดทิศทางสังคม หรือนโยบายว่าใครจะต้องทำอย่างไรเพื่อป้องกันโรค

ดังนั้นการป้องกันโรคที่ง่ายที่สุด ดีที่สุด ประหยัดที่สุดและทำได้ทุกคน
อยู่ตรงหน้าแล้วจะไม่ลองเอาไปทำหน่อยหรือครับ


ที่มา :
//www.ee43.com
//webboard.mthai.com

ภาพจาก :
//hica.jp
//www.ee43.com


เรื่องที่เกี่ยวข้อง :
การป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล


สารบัญสุขภาพ




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2551
0 comments
Last Update : 25 เมษายน 2553 22:54:23 น.
Counter : 3841 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.