Group Blog
All Blog
<<< "นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่" >>>










“นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่”

ถาม : อยากทราบว่านรกสวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่เจ้าคะ

 หรือเป็นเพียงแค่กุศโลบาย

ให้เราเกรงกลัวต่อการทำบาปเฉยๆ

 คนที่เชื่อในศาสนาพุทธก็เชื่อว่ามีจริง

 แล้วคนที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เช่น ศาสนาคริสต์

เขาเชื่อว่าสารภาพบาปแล้วล้างบาปได้

สุดท้ายแล้วทุกคนทุกชนชาติศาสนา

ตายแล้วก็ต้องไปที่ใดที่หนึ่ง

คือสวรรค์และนรกใช่ไหมเจ้าคะ

ไม่แยกชาติ ไม่แยกสีผิว ไม่อยากศาสนา

 ไม่แยกประเทศใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ : สวรรค์หรือนรกนี้ไม่แยกศาสนา

มันเป็นเรื่องของจิตใจของทุกๆ คน

 ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนก็ตาม

เป็นชาติไหนก็ตามก็มีจิตใจเหมือนกันทุกคน

 และถ้าทำบุญจิตใจก็จะเป็นสวรรค์ขึ้นมา

เพราะคำว่าสวรรค์คือความสุขใจนี่เอง

 ส่วนเวลาทำบาปก็จะเป็นนรกขึ้นมา

เพราะเป็นความทุกข์ใจ เวลาใจไม่มีร่างกาย

มันก็สุขใจไปกับบุญที่ทำไว้

หรือมันก็จะทุกข์ใจไปกับบาปที่ทำไว้

เวลาทุกข์ใจเราก็เรียกว่านรกหรืออะบาย

 เวลาสุขใจเราก็เรียกว่าสวรรค์

เราสามารถดูตัวอย่างของสวรรค์นรกได้

ในขณะที่เรายังไม่ตาย ดูตอนไหน

ก็ดูตอนที่เราตายชั่วคราวไง ตอนที่เรานอนหลับ

เวลาเรานอนหลับนี้ก็เหมือนตายชั่วคราว

 เพราะตอนนั้นเราก็ไม่ได้ใช้ร่างกาย

 แต่เราไม่ได้ใช้ร่างกายแต่ใจเราก็ยังไปต่อใช่ไหม

 ใจของเราก็ไปฝัน ถ้าฝันดี

เราก็เรียกว่าเรากำลังอยู่ในสวรรค์ฝันแล้ว

 ฝันแล้วมีความสุข แต่ถ้าเราฝันร้าย

ก็แสดงว่าเราอยู่ในอบายแล้ว เราอยู่ในนรกแล้ว

 อันนี้เป็นหนังตัวอย่าง เพราะว่าเวลาตายจริง

มันก็จะเป็นอย่างที่เราฝันจริงๆ

ถ้าเราฝันดีอยู่เรื่อยๆ ตายไปเราก็จะฝันดี

ก็เรียกว่าเราได้อยู่ในสวรรค์

 ถ้าเราฝันร้ายเวลาตายไปเราก็ฝันร้าย

เราก็จะไปอยู่อบาย

 ฝันร้ายแบบหิวโหยก็ไปเป็นเปรต

 ฝันร้ายด้วยความหวาดกลัวก็เป็นอสุรกาย

 ฝันร้ายด้วยความอาฆาตพยาบาท

เครียดแค้นก็จะเป็นนรกไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 กรกฎาคม 2561
Last Update : 18 กรกฎาคม 2561 9:03:27 น.
Counter : 347 Pageviews.

0 comment
<<< "ผู้รู้ ผู้คิด" >>>










“ผู้รู้ ผู้คิด”

ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะ

 หนูขอความเมตตาจากหลวงพ่อช่วยอธิบาย

เรื่องการทำงานของผู้รู้กับผู้คิด

ให้หนูได้เข้าใจด้วยเถิดเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ : ผู้รู้ก็รู้เท่านั้นเอง

 คำว่ารู้ก็ให้รู้ก็รู้ ถ้าไม่มีผู้รู้ก็ไม่รู้อะไร

 เหมือนคนตายนี่ ไม่มีผู้รู้ไม่มีผู้คิด

ไปพูดกับคนตายพูดยังไงเขาก็ไม่รู้ว่าเราพูดอะไร

 แล้วเขาก็ไม่สามารถตอบเรา ตอบก็คือผู้คิด

 ผู้คิดเป็นผู้ตอบ ผู้รู้เป็นผู้รับ เข้าใจไหม

 เราพูดอะไร ผู้ที่รับก็คือผู้รู้ รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่

 แล้วผู้คิดก็เป็นผู้ตอบ

 พอผู้คิดอยากจะถามอะไรก็คิดขึ้นมา

 แล้วก็สั่งให้พูดมาทางร่างกาย ทางปากก็เป็นผู้คิด

 ผู้รู้ผู้คิดตัวเดียวกันแต่เป็นเหมือนมือซ้ายมือขวา

 อยู่ไปด้วยกันเป็นฝาแฝด เป็นตัวเดียวกัน

แต่ทำ ๒ หน้าที่ ทำรู้กับทำคิด ตัวรู้ก็รู้

ถ้าไม่มีตัวรู้เราก็จะไม่รู้อะไร

 ตัวคิดก็คิดไปตามความเห็น เห็นผิดก็คิดผิด

 เห็นถูกก็คิดถูก ตอนนี้ส่วนใหญ่ความคิดเป็นคิดผิด

 เพราะความเห็นมันผิด เราจึงต้องมาศึกษา

จากพระพุทธเจ้าผู้มีความเห็นถูก

 เห็นว่าตายไม่สูญอย่างนี้

 เห็นว่าทำบาปแล้วเกิดความทุกข์

 ทำบุญแล้วเกิดความสุข อันนี้เป็นความเห็นที่ถูกต้อง

ที่เราต้องมาศึกษากัน เพื่อจะได้เปลี่ยนความคิด

 เปลี่ยนความเห็นใหม่ พอเปลี่ยนความเห็นใหม่

 ความคิดก็จะคิดใหม่ คิดไปในทางทำบุญ

 คิดในการไม่ทำบาป แต่ตัวรู้ก็รู้ว่ากำลังคิดอะไร

หรือไม่คิดอะไร จะรู้ว่าคิดอะไรหรือไม่คิดอะไร

ก็อยู่ที่ตัวสติ ถ้าไม่มีสติ บางทีคิดก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร

เพราะใจมันไม่จดจ่อ ไม่ตั้งใจฟังความคิดของตนเอง

 ปล่อยให้คิดไปแล้วก็เพลินไปกับความคิด

 เลยไม่รู้ว่าบางทีคิดอะไรอยู่

อันนี้ก็คือเรื่องของตัวรู้ตัวคิด.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๑








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 07 กรกฎาคม 2561
Last Update : 7 กรกฎาคม 2561 19:24:06 น.
Counter : 269 Pageviews.

0 comment
<<< "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" >>>










“จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว”

ถาม : รู้สึกว่าจิตยึดติดกับกายมาก

 ยังแยกไม่ได้ ควรทำอย่างไรครับ

พระอาจารย์ : ก็หมั่นนึกบ่อยๆ

ว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว เป็นคนละคนกัน เป็นสองคน

จิตเป็นเจ้านายเป็นคนสั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ

จิตเที่ยงแท้แน่นอนถาวรไม่ตาย

 ร่างกายไม่เที่ยงแท้แน่นอน

ร่างกายไม่ช้าก็เร็วก็ต้องแก่เจ็บตาย

 สักวันหนึ่งจิตกับร่างกายก็ต้องแยกทางกัน

 จิตไม่ต้องไปวุ่นวายกับร่างกาย

 เพราะร่างกายไม่ใช่ของเรา

 ร่างกายเป็นของดินน้ำลมไฟ ทำมาจากดินน้ำลมไฟ

 แล้วก็จะต้องกลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟไป

นี่ขณะที่เราคิด ให้เราคิดอย่างนี้

แล้วก็ควรที่จะหาเวลาหยุดคิด

ฝึกหัดนั่งสมาธิเพื่อจะแยกกายจากร่างกายอย่างจริงๆ

 เวลาเราทำใจให้สงบได้

ใจจะถอนออกจากร่างกายชั่วคราว

 แล้วเราจะเห็นว่าเราคือผู้รู้ผู้คิดนี้ไม่ได้เป็นร่างกาย

 แล้วร่างกายเป็นอะไรผู้รู้ผู้คิดก็ไม่เดือดร้อน

ถ้าแยกออกจากกันได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 02 กรกฎาคม 2561
Last Update : 2 กรกฎาคม 2561 9:46:19 น.
Counter : 470 Pageviews.

0 comment
<<< "ใจที่สะอาดบริสุทธิ์" >>>










“ใจที่สะอาดบริสุทธิ์”

ถาม : ความว่าง เนื่องจากความว่างไม่มีขอบเขต

 แล้วก็จุดพิกัด แล้วก็ปริมาตรที่แน่นอนนะครับ

 แล้วธรรมชาติของความนึกคิด

มันก็จะเคลื่อนตัวตลอดเวลา

เราจะดูมันยังไงครับความว่าง อาจารย์

พระอาจารย์ : อ๋อ ต้องหยุดความคิดไง

 พอหยุดความคิดมันก็ว่าง

 ดังนั้น ถ้าอยากจะให้ห้องนี้ว่าง

ก็เอาคนออกไปให้หมด พอไม่มีคนห้องนี้มันก็ว่าง

 เราไม่ได้ไปดูความกว้างของความว่าง

 เราดูว่ามันมีอะไรอยู่รึเปล่า

ในตรงนั้นในห้องนั้นในที่นั้น

 ถ้ายังมีอยู่มันก็ไม่ว่าง เราต้องการให้ใจว่าง

จากความคิดปรุงแต่ง จากความโลภโกรธหลง

 ความรักชังกลัวหลง

 ที่มันเกิดจากความคิดปรุงแต่งทั้งนั้น เท่านั้นเอง

 พอหยุดความคิดปรุงแต่งได้

 อารมณ์ต่างๆ รักชังกลัวหลงก็จะหายไป

 ก็เหลือแต่ตัวรู้ผู้รู้อยู่ตามลำพัง

ถาม : ก็เปรียบเสมือนแก้วน้ำที่มีตะกอนนี่

 คือเราก็ดูความบริสุทธิ์ของน้ำนั้น

ที่ไร้ซึ่งตะกอนเลย ใช่ไหมครับอาจารย์

พระอาจารย์ : เออ เวลาถ้าตะกอนมัน ถ้าน้ำมันไม่นิ่ง

ตะกอนมันก็จะคลุกเคล้ากับน้ำทำให้น้ำขุ่น

 ดังนั้น เวลาถ้าเราแกว่งสารส้ม

 สมัยก่อนนี้เราต้องใช้น้ำจากแม่น้ำ

 เราเคยอยู่ต่างจังหวัดไง ต้องเอาน้ำจากแม่น้ำ

 น้ำมันก็มีขุ่นด้วยดินอะไรต่างๆ

เขาก็เอาสารส้มมาแกว่ง พอแกว่งปั๊บ

 ตะกอนคือฝุ่นต่างๆ ที่อยู่ในน้ำ

มันก็จะแยกตัวเป็นตะกอน ตกตะกอนไป

 มันแยกออกจากกัน

 ความคิดกับใจก็เป็นเหมือนกับ

ความคิดกับผู้รู้มันปนกันอยู่

 ถ้าต้องการให้ผู้รู้อยู่ตามลำพัง

 ก็ต้องหยุดความคิด แยกตะกอนออก

 แยกสิ่งที่มาคลุกเคล้ากับน้ำ

 ให้มันแยกออกจากกัน ด้วยการแกว่งสารส้ม

 สารส้มมันจะเป็นตัวที่เร่งปฏิกิริยา

ของการรวมตัวของสารต่างๆ เพื่อให้มันตกตะกอน

 เพื่อมันจะได้แยกออกจากน้ำ

สติก็เป็นการหยุดความคิดปรุงแต่ง

 พอหยุดความคิดปรุงแต่งแล้ว

 ใจก็จะปราศจากตะกอนต่างๆ มันจะแยกออกจากใจ

 ออกจากผู้รู้ไปสู่ มันไปตกตะกอน

มันยังไม่ตายจากการแยกด้วยสติ

ขั้นต่อไปจึงต้องใช้ปัญญามาตักตะกอน

 หรือแยกน้ำออกจากตะกอน

ตักน้ำออกไปไว้อีกภาชนะหนึ่ง

 แล้วที่เหลือที่เป็นตะกอนก็โยนทิ้งไปให้หมด

ต่อไปใจที่สะอาดบริสุทธิ์จะไปคิดปรุงแต่งอย่างไร

ก็ไม่มีตะกอนแล้ว ไม่มีอารมณ์

ไม่มีความรักชังกลัวหลงจากความคิดปรุงแต่งต่างๆ

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 มิถุนายน 2561
Last Update : 17 มิถุนายน 2561 8:17:05 น.
Counter : 356 Pageviews.

0 comment
<<< "การจบขออธิษฐาน" >>>











“การจบขออธิษฐาน”

ถาม : ก่อนทำบุญให้ทาน

การจบขออธิษฐานถวายพระ กับไม่ต้องอธิษฐาน

 ได้บุญต่างกันไหมครับ

พระอาจารย์ : อ๋อ บุญเท่ากัน แต่ที่ให้จบนี้คือ

ให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้เราได้ทำบุญไปเรื่อยๆ

 อย่าไปขอที่ผล คือ เป็นการย้ำตอกใจว่า

เราต้องทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 เพราะการกระทำอย่างนี้มีคุณมีประโยชน์กับเรา

ให้คิดอย่างนี้ ไม่ใช่ขอจบให้ร่ำให้รวย

 ให้สามีภรรยาซื่อสัตย์ต่อเรา

ให้ลูกเรียนเก่งๆ มีงานทำดีๆ

แบบนี้อย่าไปจบให้เสียเวลา มันไม่เกิดหรอก

 มันไม่ได้เป็นผลที่เกิดจากการใส่บาตรของเรา

 การใส่บาตรของเราเป็นการสร้างทานบารมีเท่านั้นเอง

 ซึ่งเป็นบารมีหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องมี

ต่อการที่เราจะไปถึงพระนิพพานได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 มิถุนายน 2561
Last Update : 13 มิถุนายน 2561 8:58:10 น.
Counter : 251 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ