Group Blog
All Blog
<<< "ไม่ต้องไปสนใจ " >>>










"ไม่ต้องไปสนใจ "

ถาม : การที่เรานั่งดูลมหายใจ

เข้าออกทางปลายจมูก

 แล้วเกิดอาการตัวเอนไปด้านหลัง

มีอาการอยากกลืนน้ำลาย

สิ่งที่เกิดกับร่างกายแบบนี้

คือเวทนาใช่หรือไม่คะ

 แล้วแบบนี้คือเราไม่มีสติใช่หรือไม่คะ

พระอาจารย์ : อาการต่างๆ ของร่างกาย

มันเป็นปกติของร่างกาย ถ้าเราไม่ไปสนใจมัน

 ให้ความสำคัญของมัน มันก็จะไม่มารบกวนเรา

แล้วก็กลืนน้ำลาย เราก็เอนไปเอนมา

อยู่ตลอดเวลา

 เวลาเล่นไพ่เราก็เอนไปเอนมา

 ดูหนังเราก็เอนไปเอนมา ไม่เห็นมันมีปัญหา

พอเรามานั่งดูลมหายใจกลายเป็นปัญหาขึ้นมา

 เราก็อย่าไปสนใจมัน มันจะเอนก็เรื่องของมัน

มันจะกลืนน้ำลาย อยากจะกลืนน้ำลาย

ก็ไม่ต้องไปกลืนมัน ตอนนั้นปล่อยมัน

ก็ปล่อยให้มันไหลไป

น้ำลายมันจะไหลออกมาทางปาก

ก็ปล่อยมันไหลไป ให้เราดูลมไปเรื่อยๆ

 แล้วรับรองได้ มันไม่ไหลหรอก

มันหลอกเราเท่านั้นเอง

หลอกให้เราคิดว่ามันจะไหล

หลอกเราว่ามันเอนไปทางโน้นเอนมาทางนี้

 ถ้าเรามัวไปกังวลกับเรื่องของร่างกาย

 เราก็จะไม่สามารถนั่งสมาธิทำใจให้สงบได้

 ฉะนั้นเวลาเรานั่งเราต้องลืมร่างกายไป

 ไม่สนใจร่างกาย

ร่างกายจะเป็นอะไรอย่างไรไม่ต้องไปสนใจ

ปล่อยมันเป็นไปตามเรื่องของมัน

ให้เราสนใจกับ สติ

คือการดูลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ

 เพียงอย่างเดียว

 และเดี๋ยวเรื่องของร่างกาย

มันก็จะไม่มีปัญหา มันจะหายไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 มิถุนายน 2560
Last Update : 26 มิถุนายน 2560 4:53:55 น.
Counter : 750 Pageviews.

0 comment
<<< “วิธี” >>>









“วิธี”

ถาม : จะมีวิธีที่จะสามารถทำให้ดวงจิตผูกพัน

กับพระพุทธศาสนา จะไม่ไปหลงเชื่อ

พระอาจารย์ : ก็ต้องหมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ

หมั่นเข้าหาพระผู้ที่รู้จริงเห็นจริง

 แล้วก็ต้องปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติเป็นพระโสดาบันแล้ว

ก็จะไม่ไปเชื่ออะไรทั้งสิ้นแล้ว จะเชื่อแต่

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพียงอย่างเดียว

 ถึงแม้จะกลับมาเกิดแล้ว

ไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา

ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

 เพราะมีพระพุทธศาสนาอยู่ในใจแล้ว

 รู้คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว

 ก็คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี่เอง

 รู้อริยสัจ ๔ รู้ว่าทุกข์เกิดจากความอยาก

 รู้ว่าการจะดับความทุกข์ก็ต้องหยุดความอยาก

 หยุดความอยากด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ด้วยทาน ศีล ภาวนานี่เอง

ดังนั้นเกิดมาทุกภพทุกชาติ

ก็จะปฏิบัติทาน ศีล ภาวนาไป

จนกว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์

 เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว

ก็จะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 มิถุนายน 2560
Last Update : 25 มิถุนายน 2560 11:26:10 น.
Counter : 536 Pageviews.

0 comment
<<< "แผ่เมตตา" >>>










"แผ่เมตตา"

ถาม : สวดมนต์อย่างเดียวแต่ไม่ได้นั่งสมาธิ

 แล้วสวดแผ่เมตตาให้คนที่ล่วงลับไปแล้ว

เขาจะได้รับบุญไหมคะ

พระอาจารย์ : ไม่ได้หรอก

เพราะบุญยังไม่เกิด มันยังไม่ได้ผล

จากการสวดมนต์นั่งสมาธิ จิตยังไม่เป็นสมาธิ

 สองพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้อุทิศบุญ

ด้วยการนั่งสมาธิ ท่านสอนให้เราอุทิศบุญ

ด้วยการทำทาน ถ้าอยากจะทำทาน

ก็อย่างที่ญาติโยมนี้ ซื้อข้าวซื้อของมาถวายพระ

แล้วก็อุทิศบุญได้เลย ง่ายกว่า

 ง่ายกว่ามานั่งสมาธิ แล้วนั่งก็ยังไม่สงบอยู่ดี

 จิตยังไม่รวม รวมแล้วก็ไม่รู้ว่าอุทิศได้หรือเปล่า

 เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้อุทิศแบบนี้

ท่านสอนให้เราอุทิศด้วยการทำทาน

 ฉะนั้นถ้าอยากอุทิศบุญก็ต้องทำทาน

ถ้าต้องการจะแผ่เมตตา

ก็ต้องไปแผ่ตอนที่เราพบปะกัน

ไม่ใช่นั่งคนเดียวแล้วไปแผ่

นั่งคนเดียวแล้วไปแผ่ ขอให้ท่านมีความสุขนะ

 แล้วพอมาเจอหน้ากันก็ด่ากันทะเลาะกัน

จะแผ่เมตตาต้องแผ่ตอนที่เราพบกัน

ที่เราสวดนั้นไม่ได้เป็นการแผ่

เป็นการสวดสอนใจ สอนให้เรารู้จักวิธีแผ่ว่า

เราก็ต้องมีความเมตตาต่อกัน

 แล้วเวลาเราเจอกันเราจะได้แผ่เมตตาเป็น

 แต่ตอนที่เราอยู่คนเดียวไม่ได้แผ่

เพราะไม่มีใครมารับความเมตตาจากเรา

 เราต้องแผ่ตอนที่เราเจอกัน เนี่ย อย่างตอนนี้

ญาติโยมมาหาที่นี่ก็มาแผ่เมตตา

 เอาข้าวของมาให้พระสงฆ์องค์เจ้า

ก็มีความปรารถนาให้พระสงฆ์องค์เจ้า

อยู่อย่างสุขอย่างสบาย

ก็เป็นความเมตตาอย่างหนึ่ง

หรือถ้าทะเลาะกันก็ให้อภัยกัน

อย่าทะเลาะวิวาทกัน อย่าอาฆาตพยาบาท

จองเวรจองกรรม นี่ก็เป็นการแผ่เมตตา

 หรือทำอะไรก็อย่าไปทำร้ายกัน

 ทำงานแข่งขันกันก็แข่งกันด้วยกฎกติกา

ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษสุภาพสตรี

ทำไปตามกฎกติกา

 แพ้ชนะก็แพ้ชนะตามกฎกติกาไป

ไม่ใช่เล่นกันแบบทำร้ายกัน

ตัดแข้งตัดขากันอะไรอย่างนี้

ขัดแข้งขัดขากัน อันนี้ก็ไม่ใช่เป็นความเมตตา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...............................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 มิถุนายน 2560
Last Update : 21 มิถุนายน 2560 4:29:11 น.
Counter : 813 Pageviews.

0 comment
<<< "อยากฟังเทศน์ฟังธรรมนี้เป็นมรรค" >>>










"อยากฟังเทศน์ฟังธรรมนี้เป็นมรรค"

ถาม : การที่เราอยากไปฟังธรรมพระอาจารย์มาก

 แต่ติดที่ว่าไกล ถือว่าเรามีตัณหาหรือเปล่าคะ

พระอาจารย์ : คือการอยากที่จะไปทำ

สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา ทางจิตใจนี้

ไม่เรียกว่าตัณหา เรียกว่า มรรค

เป็นทางดำเนินสู่การดับความทุกข์

 เช่นความอยากฟังเทศน์ฟังธรรมนี้เป็นมรรค

 เป็นเหตุที่จะทำให้เราดับความทุกข์ต่างๆ ได้

 เพราะถ้าเราไม่ฟังธรรมเราก็จะไม่รู้จักวิธี

ที่จะดับความทุกข์ เราก็ต้องไปฟังธรรม

 เพียงแต่ว่าถ้าเราอยากแล้วเราไปไม่ได้

เราก็ต้องหยุดความอยากไว้

 ถ้าปล่อยให้ความอยากนั้นเกิดอยู่

มันก็จะเป็นกิเลสขึ้นมาได้

เพราะว่าเมื่อมันอยากแล้วมันไม่ได้ไป

ตามความอยากมันก็จะทุกข์ได้

ในเมื่อเรารู้ว่าเราจะทุกข์กับความอยากอันนี้

เราก็ต้องหยุด เราต้องใช้เหตุผล

ว่าตอนนี้เราอยากไปแต่เราไปไม่ได้

แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปก็ได้ เดี๋ยวนี้เรามีธรรมะมาหา

ถึงในมือถือเราเลย เปิดมือถือขึ้นมา

ก็สามารถที่จะฟังธรรมได้ตลอดเวลา

 ทั้งสดทั้งของที่อัดไว้บันทึกไว้ได้ตลอดเวลา

 เพราะฉะนั้นความอยากทำความดีนี้ไม่ได้เป็นกิเลส

แต่ถ้าอยากทำแล้วไม่ได้ทำ แล้วยังอยากอยู่ นั้น

ถึงจะเรียกว่ากิเลส คือถ้าอยากแล้ว

มันทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นมามันก็เป็นกิเลส

แต่ถ้าอยากแล้วมันไม่ได้ทำให้เราเกิดความทุกข์

อยากแล้วเราก็ไปทำตามที่เราอยากทำ

 อยากไปฟังธรรมแล้วเราได้ไปฟังธรรม

 เราก็ทำไป อยากจะนั่งสมาธิเราก็ไปนั่งสมาธิ

ได้นั่งมันก็เป็นประโยชน์

 แต่ถ้าอยากนั่งสมาธิแล้วไม่ได้นั่ง

แล้วยังอยากอยู่ แล้วทุกข์

 อันนี้เราก็ต้องหยุดไว้ชั่วคราวก่อน

 หยุดความอยากที่จะนั่งสมาธิไว้ชั่วคราว

 เช่นต้องไปทำงานแต่อยากจะนั่งสมาธิ

อย่างนี้ก็ต้องหยุดความอยากนั่งสมาธิไว้ชั่วคราว

ไม่ใช่ว่าความอยากนั่งสมาธิไม่ดี

ดี แต่ต้องมีกาลเทศะ ต้องมีเวล่ำเวลาของมัน

ถ้าตอนนี้อยากนั่งสมาธิยังนั่งไม่ได้

ก็หยุดไว้ก่อนแขวนไว้ก่อน

ไปทำสิ่งที่เราต้องทำก่อน

เมื่อเราว่างแล้วทีนี้เรานั่งสมาธิได้เราก็มานั่งต่อ.

อาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๐





ขอบคุณที่มา fb.. พระอาจารย์สุชาตื อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 มิถุนายน 2560
Last Update : 20 มิถุนายน 2560 19:47:58 น.
Counter : 790 Pageviews.

0 comment
<<< "ทำในสิ่งที่เราเอาติดตัวไปได้หลังจากที่เราตายดีกว่า" >>>











"ทำในสิ่งที่เราเอาติดตัวไปได้

หลังจากที่เราตายดีกว่า"

ถาม : มรณานุสติ เป็นการฝึกให้

ไม่ให้ประมาทในชีวิต แต่ส่วนใหญ่ทุกคนจะรู้ว่า

ตนต้องตาย แต่พยายามเลี่ยงไม่คิดถึงมัน

มีวิธีดึงใจอย่างไรให้กลับมาคิดเรื่องนี้ให้ได้

โดยไม่รู้สึกกลัวหรือหดหู่ใจคะ

พระอาจารย์ : ก็ต้องฝึกทำใจให้สงบก่อน

 เพราะถ้าใจยังไม่สงบนี้

กิเลสตัณหาจะต่อต้านความตาย

 จะสร้างความรู้สึกหดหู่

จะสร้างความหวาดกลัวขึ้นมา

 แต่ถ้าเราทำใจให้สงบได้ หรือเป็นสมาธิได้

 ความรักความชังความกลัวความหลงจะสงบตัวลง

 แล้วพอเราพิจารณาความจริงคือความตาย

 เราก็จะไม่รู้สึกหดหู่ใจหรือเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา

 แล้วพอเราไม่กลัวเราก็จะกล้าพิจารณาอยู่บ่อยๆ

 พอเราพิจารณาอยู่บ่อยๆ เราก็จะไม่ลืม

 พอไม่ลืมเราทำอะไรนี้ความตายจะมาคอยระงับ

 ถ้าเราโลภอยากได้อะไร ความตายก็จะมาเตือนเรา

 เอาไปทำไมเดี๋ยวก็ตายแล้ว

ตายไปแล้วเอาไปได้หรือเปล่า

ถ้าอยากจะทำอะไร

ก็ต้องทำในสิ่งที่เราตายแล้วเอาไปได้

ถ้าตายแล้วเอาไปไม่ได้ก็อย่าทำ

ถ้าสิ่งที่เอาไปได้เป็นทุกข์กับเราก็อย่าทำ

 สิ่งที่เราเอาไปได้ แต่เราไม่ควรจะเอาไปก็มี

 ก็คือบาปนี่เอง ถ้าเราทำบาปแล้ว

บาปก็จะติดตัวกับเราไปด้วย

 บุญก็จะติดตัวไปกับเราด้วย

บุญนี้มันเป็นประโยชน์กับเรา

บาปมันเป็นโทษกับเรา

 ยิ่งชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ได้

ยิ่งเป็นประโยชน์กับเราใหญ่

 ฉะนั้นทำในสิ่งที่เราเอาติดตัวไปได้

หลังจากที่เราตายดีกว่า

 อย่ามาโลภกับสิ่งที่เราเอาไปไม่ได้

เสียเวลาไปเปล่าๆ ถ้าเรามีมรณานุสติ

 เราก็จะเลิกโลภกับลาภยศสรรเสริญ

กับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

เราก็จะมาโลภกับการทำบุญทำทาน

 โลภกับการรักษาศีล โลภกับการภาวนา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 มิถุนายน 2560
Last Update : 19 มิถุนายน 2560 9:24:11 น.
Counter : 715 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ