Group Blog
All Blog
<<< ขอให้ถือว่าการท้อแท้นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฎิบัติ" >>>









ขอให้ถือว่าการท้อแท้นี้

ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฎิบัติ"

ถาม : เวลาปฏิบัติแล้วเกิดความท้อแท้

ควรแก้ไขอย่างไรครับ

พระอาจารย์ : ก็หยุดความคิดนั้นสิ

ถ้าเราใช้คำบริกรรมพุทโธได้ ก็พุทโธไป

อย่าปล่อยให้คิดยิ่งคิดก็ยิ่งท้อแท้ใหญ่

ถ้าจะคิดก็ให้คิดถึงครูบาอาจารย์

คิดถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

 คิดถึงการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า

ว่าท่านก็ต้องท้อแท้ ท่านต้องเจออุปสรรคเหมือนกัน

แต่ท่านไม่ยอมแพ้ ท่านก็ ทำพยายามทำต่อไป

 วันนี้อาจจะทำไม่ได้มากเพราะมีกำลังน้อยก็ทำไป

 แต่อย่าเลิกทำ อย่ายกธงขาว

อาจจะทำมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังของแต่ละวัน

บางวันมีกำลังใจมาก ความท้อแท้น้อย ก็ทำมาก

 วันไหนมีกำลังใจน้อย ท้อแท้มาก ก็ทำน้อยหน่อย

หรือพักชั่วคราวก็ได้ แต่อย่าเลิกเท่านั้นเอง

 ขอให้ถือว่ามันเป็นเหมือนกับการต่อสู้กัน

บางทีก็โดนหมัดเขามันก็เลยมึน

ก็อาจจะไม่มีกำลังใจ

แต่พอบางวันเราได้ต่อยเขาบ้าง

 แล้วมันก็ทำให้เรามีกำลังใจ

เราก็อาจจะปฏิบัติได้มากขึ้น

ก็ขอให้ถือว่าการท้อแท้นี้

ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฎิบัติ

แต่เป็นความไม่เที่ยง คือมาแล้วก็ไป

 เป็นอารมณ์ชั่วคราว ถ้าเราไม่ไปส่งเสริมมัน

 ถ้าเราไม่ไปคิดถึงมัน พอมันท้อแท้เราก็พยายาม

อย่าไปคิดถึงความท้อแท้นั้น

ให้เรากลับมาที่พุทโธพุทโธไป สวดมนต์ไป

เดี๋ยวเราก็จะลืมเรื่องความท้อแท้ไปได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 มิถุนายน 2560
Last Update : 17 มิถุนายน 2560 9:56:10 น.
Counter : 736 Pageviews.

0 comment
<<< "เลือกวิธีที่ชอบ" >>>










"เลือกวิธีที่ชอบ"

ถาม : ระหว่างดูลมหายใจ

หรือบริกรรมว่าพุทโธ หรือบริกรรมว่าตายตาย

 อย่างไหนจะทำให้จิตรวมได้เร็วกว่ากันครับ

พระอาจารย์ : ลองดูสิ

แต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

จริตของคนไม่เหมือนกัน

 เหมือนกับอาหารที่เรากินนี้

กินแล้วอิ่มเหมือนกัน

แต่บางคนกินง่ายกินยาก

ถ้าไปกินของที่เราไม่ชอบนี้

กว่าจะอิ่มมันฝืนมันต้องคอยยัดเข้าไป

แต่ถ้าของที่เราชอบนี้ไม่ต้องยัด มันดูดเข้าไปเลย

 ก็เหมือนกัน วิธีนั่งสมาธิแต่ละคน

ก็มีวิธีที่ชอบหรือไม่ชอบ ฉะนั้นเราเลือกวิธีที่ชอบ

 ถ้าเราชอบตาย ก็ตายตายตายตายตายไป

 คนที่ไม่ชอบตายไปท่องตายมันก็ไม่ไหว

 มันก็เครียดขึ้นมา ฉะนั้นมันแล้วแต่จริต

 บางคนก็พุทโธ บางคนก็ตาย

 แล้วแต่ความเหมาะสม

บางคนก็ดูลมหายใจเข้าออก

คนเรามีจริตไม่เหมือนกัน

การสร้างสติก็เหมือนกับอาหารมีหลายชนิด

 บางคนก็ชอบก๋วยเตี๋ยว บางคนก็ชอบข้าวผัด

 บางคนก็ชอบอะไรเคเอฟซี

บางคนก็ชอบแมคโดนัลด์

 ถึงมีร้านอาหารหลายๆ ชนิดขึ้นมา

 แต่กินแล้วมันเหมือนกันไหม

 มันก็อิ่มเหมือนกันใช่ไหม ก็เท่านั้นแหละ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb.. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 มิถุนายน 2560
Last Update : 16 มิถุนายน 2560 9:42:22 น.
Counter : 595 Pageviews.

0 comment
<<< "สภาพของจิต" >>>










"สภาพของจิต"

ถาม : กราบพระอาจารย์

ช่วยกรุณาอธิบายเพิ่มเติม

ทำไมทำบาปด้วยความกลัว

 แล้วชาติหน้าจะเกิดเป็นอสุรกายครับ

พระอาจารย์ : ก็ มันก็เป็นผล

เหมือนกับปลูกมะม่วง

 และปลูกมะม่วงแล้วมันจะได้อะไร

มันจะได้กล้วยหรือเปล่า

ปลูกมะม่วงก็ได้มะม่วงนะสิ

ทำบาปมันก็ไปเป็นดวงวิญญาณที่ขี้กลัวไง

 ดวงวิญญาณที่ขี้กลัวเขาก็เรียกว่า

เป็นชื่ออสุรกายนั่นเอง

 ดวงวิญญาณที่ขี้โลภ ก็เรียกว่าเปรต

อย่างพวกที่ทำบาปด้วยความโลภ

 มันก็ติดนิสัยโลภไป

กินเท่าไหร่ได้มาเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มไม่พอ

 เขาถึงเปรียบเทียบเปรต

เหมือนกับตัวใหญ่ท้องใหญ่เท่าตุ่ม

 แต่ปากเท่ารูเข็ม ก็เป็นเพราะมันกินน้อย

มันกินเท่าไหร่มันก็ไม่เต็มเสียที

 แต่ความจริงมันกินเยอะแยะ

ได้มาเยอะแยะแต่ท้องมันใหญ่

 เติมเข้าไปเท่าไหร่มันก็ไม่อิ่มเสียที

 นี่ก็ลักษณะของใจที่เป็นเปรต

คือได้มาเท่าไหร่ก็ไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันพอ

 เพราะโลภยังอยากได้อยู่เรื่อยๆ

 กระเป๋าถึงเต็มบ้านรองเท้าถึงเต็มบ้าน

แต่ถ้าหามาโดยไม่ได้ทำบาปก็ไม่เป็นเปรต

 เป็นมนุษย์ แต่ถ้าไปขโมยเงินเขาไปซื้อ

นี่มันจะเป็นเปรต เพราะมันจะติดนิสัย

เห็นกระเป๋าอยากได้ ก็ไปขโมยเงินมาซื้ออีก

 อันนี้ก็ทำให้เป็นเปรต

 ฉะนั้นคำว่าอสุรกาย มันเป็นเพียงแต่ชื่อ

 ที่แสดงบ่งถึงสภาพจิตของจิตดวงนั้นว่า

 เป็นจิตที่ทำบาปด้วยความกลัว กลัวไปหมด

 เห็นอะไรก็กลัวไปหมด กลัวโน่นกลัวนี่

กลัวมดกลัวแมลง กลัวอะไร กลัวไปหมด

เพราะว่าจิตนั้นไม่มีความสุข

ไอ้โลภก็เหมือนกัน โลภอยู่ตลอดเวลา

มันก็ไม่มีความสุข แล้วไอ้โกรธเกลียดตลอดเวลา

 มันก็ไม่มีความสุข นี่เราโกรธใครเกลียดใคร

 เคียดแค้นอาฆาตพยาบาท จองเวรจองกรรมนี่

 ใจมันร้อนนะ นั่นแหละนรก

เขาถึงเรียกว่านรก คำชื่อเหล่านี้

 มันเพียงแต่เป็นชื่อที่เราปะไว้จะได้พูดถึงว่า

สภาพจิตแบบนี้ชื่ออะไร เรียกว่ายังไง

สภาพจิตที่ร้อนด้วยความโลภโกรธเกลียดหลงนี้

เรียกว่าเป็นนรก สภาพจิตที่ร้อนหรือทุกข์

ด้วยความกลัวเรียกว่าอสุรกาย

สภาพจิตที่ทุกข์ด้วยความหิว

ด้วยความโลภก็เรียกว่าเปรต

 สภาพจิตที่ร้อนเพราะความหลง

ก็เรียกว่าเดรัจฉาน นี่เท่านั้นแหละ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb.. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 มิถุนายน 2560
Last Update : 15 มิถุนายน 2560 5:19:02 น.
Counter : 583 Pageviews.

0 comment
<<< "พิจารณาอสุภะ" >>>








"พิจารณาอสุภะ"


ถาม : กระผมอยากทราบวิธีพิจารณาอสุภะครับ

พระอาจารย์ : ก็ให้ดูส่วนที่ไม่สวยงามของร่างกาย

 เช่นดูตอนที่ร่างกายตาย

ร่างกายนี้นอกจากเป็น

 มันก็จะต้องตายด้วยใช่ไหม

 มันไม่ได้เป็นไปตลอดใช่ไหม

ต่อไปมันก็ต้องกลายเป็นผีใช่ไหม

ถ้าเห็นร่างกายว่าเป็นผี

เรายังอยากจะไปได้เขามาเป็นแฟนหรือเปล่า

 แต่เราไม่คิดว่าเขาจะเป็นผีกันใช่ไหม

 เพราะเราไม่เคยไปดูภาพ

ตอนที่เขาเป็นผีว่าเป็นอย่างไร

ท่านจึงสอนให้ไปดูซากศพกัน

 พวกเราทุกคนต่อไปต้องกลายเป็นผีกันหรือเปล่า

 จะอยู่เป็นอย่างนี้ไปตลอดหรือเปล่า

เดี๋ยวก็ต้องไปเป็นผี หรือไม่อย่างนั้น

ถ้ายังไม่เป็นผีก็ต้องแก่

เวลาร่างกายแก่แล้วนี่น่ารักน่าดูไหม

หรือถ้าเราไม่อยากจะรอตอนแก่ตอนตาย

 ก็ต้องดูของที่มีอยู่ ซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนัง

 ตอนนี้ร่างกายเรามีอะไรบ้าง

นอกจากผมขนเล็บฟันหนัง

อย่างที่เราเห็นด้วยตาแล้ว

ถ้ามองทะลุเข้าไปใต้ผิวหนัง

ก็ต้องเห็นเนื้อ เอ็นใช่ไหม เห็นกระดูก เห็นปอด

เห็นไต เห็นตับ ลำไส้ เห็นน้ำต่างๆ น้ำเลือด

 น้ำเหลือง น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น

น้ำมันเหลว น้ำลาย น้ำมูก

ก็พิจารณาตามอาการ ๓๒

นึกถึงอาการ ๓๒ ที่มีอยู่ในร่างกายของคนเรา

 ถ้าเห็นอาการต่างๆ เหล่านี้มันก็จะไม่เห็นว่า

ร่างกายนี้สวยงามเลย ต่อให้เป็นนางงามจักรวาล

หรือเป็นนายแบบ เป็นดาราภาพยนตร์

 แต่พอถ้าเราดูเข้าไปข้างใน

 ดูเข้าไปภายใต้ผิวหนังเขาแล้ว

มันก็เหมือนกันหมดทุกคนแหละ

นี่คือการพิจารณาดูส่วนที่ไม่สวยงาม

คำว่า "อสุภะ" แปลว่าไม่สวยงาม

 สุภะ แปลว่าสวยงาม อสุภะต้องว่าไม่สวยงาม

 ฉะนั้นวิธีดูความไม่สวยงามของร่างกาย

ก็มีดูได้หลากหลายวิธี

 เช่นดูตอนที่ร่างกายกลายเป็นซากศพ

สมัยพุทธกาลนี่เขาไม่เผากัน เขาไม่ฝังกัน

 เขาเอาศพไปทิ้งในป่าช้า พระก็เลยไปเยี่ยมป่าช้ากัน

 ไปดูศพที่ตายใหม่ ตายเก่า

ไปดูศพที่ถูกแร้งกากัดกิน ไปดูศพที่กระจัดกระจาย

 แขนไปทางขาไปทางศรีษะไปทาง

เพราะมีแร้งกามากัดมากิน

มีสุนัข มีจิ้งจอกอะไรเหล่านี้มากัดมากินร่างกาย

นี่ก็คือการดูความไม่สวยงามของร่างกาย

 ดูเพื่อที่เราจะได้ไม่ไปหลงไปรักร่างกายของใคร

 เพราะเราก็ไปหลงรักผีกัน ผีที่ตอนปัจจุบันเป็นคน

 แต่เดี๋ยวไม่นานก็กลายเป็นผี

 เวลาแฟนเราไม่หายใจแล้ว

เรายังจะเก็บเอาไว้ในบ้านเราหรือเปล่า

ยกให้สัปเหร่อเลยใช่ไหม แต่เวลายังหายใจอยู่นี่

ต่อให้ใครมาขอซื้อก็ไม่ขาย ไม่ให้ใช่ไหม

 นี่ต้องนึกถึงตอนที่เขาเป็นผี

พอเขาเป็นผีแล้วก็ไม่อยากได้แล้ว

 พอเป็นซากศพเราก็ไม่อยากได้

กามารมณ์ก็จะดับไป ความรักเขาก็จะหายไป

ความหวงเขาก็หายไป ความห่วงก็หายไป

 และนี่ก็คือการพิจารณาอสุภะมีหลากหลายวิธี

แล้วแต่จะชอบแบบไหน ดูตอนตายแล้วก็ได้

ถ้าดูตอนอยู่ก็ดูตอนที่ตอนแก่ก็ได้

ตอนที่ไม่สบายก็ได้ เวลาไม่สบายนี้

มีใครหน้าตาน่าดูกันบ้าง หน้าตาเหี่ยวแห้ง

ผมเผ้าไม่หวี หรือมองเข้าไปภายในใต้ผิวหนังกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 มิถุนายน 2560
Last Update : 13 มิถุนายน 2560 8:41:41 น.
Counter : 3767 Pageviews.

0 comment
<<< "อยู่ที่บุญกับบาป " >>>










"อยู่ที่บุญกับบาป "

ถาม : ถ้าเรารักษาศีลห้าได้อย่างดี

ทำกรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว

แต่การเจริญสติของเรายังไม่ดี

ในขณะที่เราต้องตายหมดลมหายใจ

ใจกลัวตาย ยังปล่อยวางร่างกายไม่ได้ ฟุ้งซ่าน

 ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ เมื่อตายแล้ว

ใจจะไปสู่ภพที่ไม่ดีไหมครับ

พระอาจารย์ : อ๋ออยู่ที่บุญกับบาปไง

 ถ้าเราบุญมากกว่าบาปมันก็จะไปสู่สุคติ

ถ้าบาปมากกว่ามันก็จะไปอบาย

 เหมือนเกวียนที่มีวัวสองตัวคอยลาก

ตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้าตัวหนึ่งอยู่ข้างหลัง

 ก็แล้วแต่ว่าตัวไหนมีกำลังมากกว่า

ถ้าเลี้ยงตัวที่อยู่ข้างหลังให้มันกินข้าวเยอะๆแล้ว

 ตัวข้างหน้าไม่ให้มันกินข้าวเลย

 ไอ้ตัวข้างหลังมันก็มีแรงมากกว่า

 มันก็จะลากไปข้างหลัง ในทางตรงกันข้าม

ถ้าเลี้ยงวัวตัวที่อยู่ข้างหน้าให้มันมีกินเยอะๆ

ให้วัวที่อยู่ข้างหลังให้มันกินน้อยๆ

ไอ้วัวที่อยู่ข้างหน้ามันก็มีกำลังมากกว่า

มันก็จะดึงไปข้างหน้า

 เวลาเราทำบุญก็เหมือนกัน

เราทำให้บุญมีกำลังมากขึ้น

เวลาทำบาปก็จะทำให้บาปมีกำลังมากขึ้น

 มันก็สะสมไปเรื่อยๆ พอถึงเวลาที่เราตายไป

ไอ้วัวสองตัวนี้บุญกับบาปมันก็จะมาชักเย่อกัน

 มาดึงเกวียน ดึงใจเรา ว่าจะให้ไปทางไหนกัน

 ถ้าบอกว่าเราทำบุญมากกว่าทำบาป

 เราก็ จะไปทางสุขติ ไปเป็นมนุษย์

หรือไปเป็นเทวดา ขั้นนี้แหละ

ถ้าทำบุญถ้านั่งสมาธิได้ก็จะไปขั้นพรหมกัน

 ถ้ามีปัญญาได้ก็ไปขั้นพระอริยะกัน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 มิถุนายน 2560
Last Update : 9 มิถุนายน 2560 5:28:32 น.
Counter : 532 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ