Group Blog
All Blog
<<< “ความอยากเป็นปัญหา ถ้าดับความอยากได้แล้วสบาย” >>>










“ความอยากเป็นปัญหา

ถ้าดับความอยากได้แล้วสบาย”

ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราปฏิบัติแล้ว

เจริญก้าวหน้าไปแค่ไหนเจ้าคะ

พระอาจารย์ : ก็ถ้ามันไม่อยากมันก็ก้าวหน้า

 ถ้ามันยังอยากอยู่มันก็ไม่ก้าวหน้า

 เช่นถ้ามีแฟนยังอยากนอนกับแฟนอยู่

มันก็ไม่ก้าวหน้า ถ้าปฏิบัติไปแล้ว

ไม่อยากจะนอนกับแฟนก็ถือว่าก้าวหน้า

ถ้าเคยอยากรวยแล้วเดี๋ยวนี้ไม่อยากรวย

ก็เรียกว่าก้าวหน้า ถ้าตอนนี้ไม่อยากเที่ยว

แล้วก็ก้าวหน้า ถ้าอยากจะซื้อของฟุ่มเฟือย

ซื้อเสื้อผ้า เดี๋ยวนี้ไม่อยากจะซื้อแล้ว

ก็เรียกว่าก้าวหน้า คือตัดความอยาก

ในลาภยศ สรรเสริญ

ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ให้ดูตรงนี้ถ้าตัดได้ต่อไปก็นุ่งขาวห่มขาวได้

อยู่วัดได้ พวกที่เขาบวชกันนี้

เขาก็ตัดไปกันได้เยอะแล้ว

 แต่ยังตัดเพียงแต่ส่วนนอก

คือตัดรูปเสียงกลิ่นรส ตัดลาภยศ สรรเสริญ

 แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าตัดร่างกายได้หรือเปล่า

ตัดความแก่ ตัดความเจ็บ

 ตัดความตายได้หรือเปล่า

 ต้องตัดเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านร่างกายไปแล้ว

ก็ยังมีเรื่องกามารมณ์อีก ถึงแม้ว่าจะถือศีล ๘ ได้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า กามารมณ์มันจะตายไป

กามารมณ์มันก็ยังมีอยู่เพียงแต่ว่า

 เราใช้ศีลเป็นตัวคอยคุมมันไว้

มันเหมือนตัวคุมกำเนิด ถ้าอยากจะให้มันตายจริงๆ

ก็ต้องปฏิบัติเข้าไปถึงรากของมัน

รากของมันก็คือความชอบของสวยของงาม

 ต้องเอาของไม่สวยไม่งามมาให้มันดูบ่อยๆ

เอามาป้อนให้มันกินบ่อยๆ

 พอมันเห็นของไม่สวยไม่งามบ่อยๆ

 เช่นเห็นซากศพเห็นคนตาย

แทนที่จะเห็นคนเป็นทุกครั้งที่เห็นคนเป็น

ก็นึกถึงเวลาที่เขาตาย

 หรือเวลาเห็นข้างนอกสวย

ก็ดูข้างในสวยไหม

ดูแต่ข้างหน้าหัดดูข้างหลังบ้าง

 ดูส่วนที่ไม่สวยไม่งามบ้างแล้ว

ต่อไปมันก็จะดับกามารมณ์ได้อย่างถาวร

จะไม่มีกามารมณ์เกิดขึ้น

 แล้วจะรักษาศีลไม่รักษาศีลก็ไม่เป็นปัญหา

 เพราะว่ามันจะไม่มีเหตุที่จะไปทำผิดศีล

ศีลนี้เป็นเพียงแต่เหมือนรั้ว เหมือนกับคุก

ที่ไว้ขังนักโทษ แต่ถ้านักโทษไม่อยากจะแหกคุก

และไม่อยาก จะออกจากคุกแล้ว

ชอบอยู่ในคุกแล้วก็ไม่ต้องมีคุกก็ได้

จิตเราก็เหมือนกัน ตอนนี้จิตของพวกเรา

ชอบแหกคุกกัน แหกกรงกัน ชอบทำบาปกัน

แต่ถ้ามันไม่อยากจะได้อะไรแล้ว

ต่อไปมันก็จะไม่อยากจะทำบาปเอง

พอไม่อยากจะทำบาปก็เอาศีลออกไปได้

เอารั้วออกไปได้ คุกไม่ต้องมีกำแพงก็ได้

เพราะนักโทษมันเชื่องแล้ว

 นักโทษมันเห็นโทษของการทำบาป

 เห็นโทษของความอยากแล้ว

 พอมันไม่อยากแล้วมันก็ไม่ต้องไปทำบาป

ไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น

 ดังนั้นความอยากตัวนี้เป็นปัญหา

ถ้าดับความอยากได้แล้วสบาย

 ถ้าไม่มีความอยากก็จะมีแต่ความพอ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๗

“หัวใจของพระพุทธศาสนา”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 30 กรกฎาคม 2560
Last Update : 30 กรกฎาคม 2560 17:42:51 น.
Counter : 641 Pageviews.

0 comment
<<< "ปัญหาของเราคือใจเราไม่นิ่งใจไม่เฉยไม่มีอุเบกขา" >>>









"ปัญหาของเราคือใจเราไม่นิ่ง

ใจไม่เฉยไม่มีอุเบกขา"

ถาม : เราโดนใส่ร้ายเข้าใจเราผิด

จนเราตกเป็นผู้ร้ายในสายตาคนอื่น

 ข้อหนึ่งเราจะทำยังไงคะ

พระอาจารย์ : ก็เราไม่ได้เป็น

เราจะไปกลัวทำไมล่ะ

ในสายตาเราดีหรือเปล่าล่ะ

 ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด

แล้วจะวิตกทำไม

 คนอื่นถ้าเขาอยากจะเชื่อก็ช่วยไม่ได้

แล้วเราจะไปรู้เหรอว่า

คนที่เขาฟังเขาจะเชื่อหรือเปล่า

 บางคน คนบางคนฟังเขาอาจจะไม่เชื่อก็ได้

 เพราะรู้น้ำยาไอ้ของคนพูดว่า

มันชอบโกหกหลอกลวงนี้เขาไม่เชื่อ

ฉะนั้นเราอย่าไปกังวลกับคำพูด

ความรู้สึกของคนอื่นมันไม่เกี่ยวกับเรา

ขอให้เรารักษาใจของเราไม่ให้วุ่นวาย

ไปกับการที่เขาใส่ร้ายเราได้ก็พอ

 แต่เราไปห้ามเขาไม่ได้

ห้ามเขาใส่ร้ายเราไม่ได้

 ห้ามให้คนอื่นไม่ไปเชื่อเขาไม่ได้

ถ้าคนอื่นอยากจะเชื่อมันก็เชื่อแหละ

 คนที่เกลียดเราอยู่แล้ว

พอใครไปใส่ความหน่อยมันก็เชื่ออยู่แล้วแหละ

 แต่คนที่ไม่เกลียดเรารักเรานี้

ใส่ความยังไงมันก็ไม่เชื่อ

 เพราะเขารู้จักเราว่าเราเป็นยังไง ใช่ไหม

ฉะนั้นเราอย่าไปกังวลเลย เราห้ามไม่ได้

 ขอให้มองข้อครหานินทา

เหมือนกับเสียงลมพัดก็แล้วกัน

 เราไปห้ามลมไม่ให้พัดได้ไหม

 เนี่ยตอนนี้ลมพัดมีเสียงอย่างโน้น

เสียงลมพัดมาเราไปหยุดมันไม่ได้

 เราก็ปล่อยมันพัดไป ปัญหาของเราคือ

ใจเราไม่นิ่งใจไม่เฉยไม่มีอุเบกขา

มีความอยากให้เขาอย่าพูดอย่างนี้ ใช่ไหม

นี่ก็ความอยากอีกแล้ว แต่ถ้ามีสมาธิก็เฉย

เพราะอยากให้เขาไม่พูดก็ทุกข์ใช่ไหม

และเรามองไม่เห็นว่าเราห้ามเขาไม่ได้

 เขาจะพูดเราห้ามเขาไม่ได้

ฉะนั้นเราอย่าไปอยากให้เขาไม่พูด

 ปล่อยเขาพูดไป

เขาอยากจะพูดอะไรก็พูดไป

 เขามีสิทธิ์ที่จะพูด คำพูดของคนนั้น

เปลี่ยนคนอื่นได้ก็ดีสิ ใช่ไหม

 งั้นเราก็เปลี่ยนตัวเราเองเลย

 พูดว่าต่อไปนี้จะรวยไม่เห็นมันรวยสักที

ต่อไปนี้จะหล่อไม่เห็นมันหล่อสักที

 ต่อไปนี้จะดีไม่เห็นมันดีสักที

มันไม่ได้อยู่ที่คำพูดของคน

คนเราจะดีจะชั่วจะรวยจะจน

มันไม่ได้อยู่ที่คำพูด

 ไม่ได้อยู่ที่คำสาปแช่งหรือคำสรรเสริญ

ญาติโยมเนี่ยชอบคำสรรเสริญของพระ

 ขอให้ร่ำให้รวย สาธุ สาธุ กันใหญ่ (ยิ้ม)

 แล้วรวยหรือเปล่า เนี่ยพูดมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

ปากเปียกปากฉีกให้พรทุกวัน

อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สาธุ สาธุ

แล้วเป็นยังไง ก็เหมือนเดิม

เพราะมันไม่ได้เจริญ

จากการที่เราพูดเข้าใจไหม

มันจะเจริญหรือเสื่อม

จากการกระทำของเราเอง

 เราทำตัวเราให้เจริญได้

เราทำตัวของเราให้เสื่อมได้

 แต่คำพูดของคนอื่นทำไม่ได้

ฉะนั้นอย่าไปวิตกกังวลกับคำพูดของคนอื่น

 ปัญหาของเราคืออยากจะให้เขาพูดดี

 แล้วอยากให้คนอื่นที่ฟังเชื่อ

เชื่อในความดีของเรา

ไม่ให้เชื่อในความไม่ดีของเรา

มันก็เลยทำให้เราทุกข์

ทุกข์เพราะความอยาก

 ฉะนั้นเราต้องมาหยุดที่ความอยาก

 อย่าไปอยากให้เขาไม่พูดอะไร

 เขาจะพูดอะไรก็ปล่อยเขาพูดไป

 อย่าไปอยากให้เขาเชื่อหรือไม่เชื่อ

ก็ปล่อยเขาเชื่อไป

 เขาอยากจะเชื่อก็ปล่อยเขาเชื่อไป

 เขาไม่เชื่อก็ปล่อยเขาไม่เชื่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 28 กรกฎาคม 2560
Last Update : 28 กรกฎาคม 2560 5:11:08 น.
Counter : 751 Pageviews.

0 comment
<<< "ปล่อยให้เขาไปตามบุญตามกรรมของเขา" >>>










"ปล่อยให้เขาไป

ตามบุญตามกรรมของเขา"

ศิษย์ : เพื่อนกำลังจะไม่อยู่ในโลกนี้

 พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเขา เขาไม่เคยปฏิบัติมาก่อน

ควรบอกเขาก่อนจะไปอย่างไรดีคะ

 เพื่อให้เขาไปในที่ที่ดี

พระอาจารย์ : ก็อย่างนี้แหละ

มันจะเอากันง่ายๆ บอกปั๊บไปได้ปุ๊บเลย

 แล้วคนที่มานั่งหลังคดหลังแข็ง

มานั่งรักษาศีลนี้

มันก็ไม่มีกำลังจิตกำลังใจที่จะปฏิบัติซิ

รอให้เวลาใกล้ตายแล้วให้เพื่อนมาบอกว่า

ไปที่ดีนะจ๊ะ พุทโธไปนะจ๊ะ

 ทั้งปีทั้งชาติไม่ยอมพุทโธ เวลาจะตาย

มันจะมีกระจิตกระใจจะพุทโธหรือ

อย่าไปทำอะไรเลยปล่อยให้เขาไป

ตามบุญตามกรรมของเขาเถอะ

สายไปเสียแล้ว

 เหมือนคนขึ้นเครื่องไปแล้ว

ไปทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว

 ปล่อยเขาไป เครื่องจะออกแล้ว.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 27 กรกฎาคม 2560
Last Update : 27 กรกฎาคม 2560 5:16:07 น.
Counter : 629 Pageviews.

0 comment
<<< "ดับอารมณ์โกรธ" >>>










"ดับอารมณ์โกรธ"

ถาม : เวลาที่เรามีอารมณ์โกรธ

ไม่พอใจกับการที่ถูกล้ำเส้นความเป็นส่วนตัว

 เราจะระงับอาการนี้ได้อย่างไร

 หรือมีวิธีป้องกันไม่ให้มันเกิด

 อยากเป็นแบบปฐพีที่หลวงพ่อสอนว่า

ใครทำอะไรก็ได้ จะเหยียบย่ำจะอะไร

ก็ไม่มีอารมณ์ แต่หนูเป็นเหมือนแผ่นดิน

ที่จะคอยไหวและสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

พระอาจารย์ : ก็ต้องพยายามแก้มันไป

เพราะเราห้ามเขาไม่ได้ แต่เราห้ามเราได้

 วิธีเวลาเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็ให้ภาวนาไป

บริกรรมพุทโธๆ ไป นับ ๑ ๒ ๓ ไปก็ได้

นับไปจนกว่าใจจะสงบอย่าส่งใจเรา

ไปคิดถึงเหตุการณ์

หรือบุคคลที่ทำให้ใจเราวุ่นวาย

 เราต้องถือหลักว่าเราห้ามเขาไม่ได้

แต่เราห้ามใจของเราได้

ดังนั้นอย่าไปพยายามห้ามเขา

อย่าไปตอบโต้เขา อย่าไปพูดอะไรกับเขา

ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อย่าไปพูด

เรากลับมาทำใจของเราดีกว่าว่า

 เราอยู่ในโลกนี้เราก็จะต้องเจอสิ่งต่างๆ

สิ่งที่เราชอบและสิ่งที่เราไม่ชอบ

เราไม่สามารถที่จะเลือกได้เสมอ

 เมื่อเราเจอสิ่งที่ไม่ชอบเราก็ต้องหัดทำใจ

 ถ้าเราทำใจได้สิ่งที่เราไม่ชอบ

จะไม่ทำให้เราเดือดร้อนใจ

ถาม : หนูอยากเป็นคนเมตตากับทุกคนได้เท่าๆ กัน

 แต่ทำไมกับบางคนหนูรู้สึกไม่ชอบไม่พอใจเขาเลย

 ทั้งที่ในใจก็อยากเมตตา อยากไม่ถือสากับคำพูด

หรือการกระทำของเขา แต่พอได้เข้าใกล้

ด้เจอเขาได้พูดคุย ก็มีอารมณ์ทุกครั้ง

 หนูจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดีคะ

ถึงได้ชื่อว่าเป็นคนมีเมตตา

พระอาจารย์ : ก็เราต้องมอง

ในส่วนที่เหมือนกันทุกคน

 ทุกคนนี้มีส่วนเหมือนกันตรงไหน

ก็มีส่วนเหมือนกันตรงที่เกิดมาแล้วต้องแก่

 ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องเจอความทุกข์ด้วยกันทุกคน

 ถ้าเรามองตรงส่วนนี้

เราก็จะมีความเมตตากับเขาได้

 แต่ถ้าเราไปมองเห็นส่วนต่างๆ

ที่บางคนก็มีความสุขมากกว่า

 มีความทุกข์น้อยกว่า มีสิ่งนั้นมากกว่า

มีสิ่งนี้มากกว่าอะไรอย่างนี้

ถ้าเราไปเห็นส่วนต่างก็อาจจะทำให้เรา

ไม่สามารถที่จะให้ความเมตตาเท่าเทียมกันได้

ดังนั้นเราต้องมองส่วนที่เหมือนกัน

และส่วนที่เป็นความมีน้ำหนักมากที่สุด

ก็คือทุกคนเกิดมาแล้ว

จะต้องเจอกับความทุกข์ด้วยกันทุกคน

 ทุกข์กับความแก่ ทุกข์กับความเจ็บ

ทุกข์กับความตาย เราไม่จำเป็น

จะต้องไปเพิ่มความทุกข์ให้กับเขา

 เพราะความทุกข์ที่เขาจะต้องแบกนี้

มันมากอยู่แล้ว ไปให้ความทุกข์กับเขา

มันก็ไม่เพิ่มมากขึ้นก่ายกอง

แต่กลับจะทำให้เขากลับมาให้

ความทุกข์กับเราอีก ถ้าเราให้ทุกข์กับเขา

เดี๋ยวเขาก็ต้องกลับมาให้ทุกข์กับเรา

 ถ้าเรายังไม่สามารถให้ความเมตตาได้

ก็ให้ใช้อุเบกขาไปก่อน

คือปล่อยเขาไปตามเรื่องของเขา

เขาจะดีจะชั่วก็เรื่องของเขา

ตอนนี้เรายังให้ความเมตตาไม่ได้

ก็อย่าไปทำร้ายเขาก็แล้วกัน ทำใจเฉยๆ

 ปล่อยเขาไป เขาจะร้ายก็เรื่องของเขา

เขาจะดีก็เรื่องของเขา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 กรกฎาคม 2560
Last Update : 26 กรกฎาคม 2560 16:39:26 น.
Counter : 691 Pageviews.

0 comment
<<< "จะนั่งสมาธิได้ผลนี้ต้องเจริญสติให้ได้ก่อน" >>>










"จะนั่งสมาธิได้ผลนี้

ต้องเจริญสติให้ได้ก่อน"

ถาม : การพยายามภาวนาพุทโธ

อยู่ตลอดในทุกๆ กิจกรรมที่ทำ

ตลอดทั้งวันในชีวิตประจำวัน

แบบนี้เป็นการปฏิบัติที่ถูกทางแล้วหรือไม่คะ

 หรือต้องเอาสติจดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่ทำคะ

 และในกรณีที่เราภาวนาพุทโธตลอดทั้งวัน

ในกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

แบบนี้ยังจำเป็นไหมสำหรับการนั่งสมาธิ

ที่เป็นรูปแบบเหมือนที่นั่งปฎิบัติธรรมในวัดคะ

พระอาจารย์ : อ๋อ จำเป็นการนั่งสมาธินี้เป็นกิจที่จำเป็น

แต่ก่อนที่จะนั่งสมาธิได้ผลนี้ต้องเจริญสติให้ได้ก่อน

 ต้องมีสติกำกับควบคุมใจ

ไม่ปล่อยให้ใจคิดเรื่อยเปื่อย

ให้ใจอยู่กับคำบริกรรมพุทโธพุทโธไปตลอดเวลา

 พอมีเวลาว่างก็ให้นั่งเฉยๆ นั่งหลับตา

 แล้วก็บริกรรมพุทโธต่อไป

 แล้วใจก็จะเข้าสู่ความสงบเข้าสู่สมาธิได้

ถ้าไม่นั่งสมาธิก็จะไม่ได้สมาธิ จะได้แค่สติ

 ซึ่งก็ไม่พอเพียงสำหรับการที่จะใช้

ในการเจริญปัญญาเพื่อฆ่ากิเลสให้หมดไปจากใจ

 ฉะนั้นสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ถูกแล้ว เป็นขั้นเริ่มต้น

คือฝึกสติคอยกำกับควบคุมใจ

ไม่ให้ลอยไปกับความคิดต่างๆ

ให้หยุดความคิดต่างๆ

จะเฝ้าดูการงานที่เรากำลังทำอยู่ก็ได้

หรือให้บริกรรมพุทโธพุทโธไปก็ได้

 แล้วใจเราจะไม่สามารถไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้

 ใจก็จะว่าง แต่ยังไม่สงบ ว่างจากความคิด

หรือความคิดเบาบางลงไป ยังไม่หมด

ยังมีความคิดแทรกเข้ามาได้อยู่เรื่อยๆ อยู่

แต่ไม่เหมือนกับตอนที่ไม่มีพุทโธ

 มันจะมีแต่ความคิดตลอดเวลา

ถ้ามีพุทโธก็จะหยุดความคิดในช่วงที่มีพุทโธ

 พอเผลอไม่ได้พุทโธความคิดก็จะกลับเข้ามา

 ก็ต้องพยายามทำให้ไม่มีความคิดให้ได้

แล้วให้นั่งเฉยๆ นั่งหลับตา แล้วเฝ้าดู

ลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียวก็ได้

หรือบริกรรมพุทโธพุทโธไปเพียงอย่างเดียวก็ได้

 แล้วใจจะเข้าสู่ความสงบได้ลึกได้สงบมากกว่า

ตอนที่ไม่ได้นั่งสมาธิ พอที่ได้สมาธิแล้ว

ก็จะมีความสุขใจที่จะใช้ต่อสู้กับความอยาก

ที่จะไปหาความสุขในรูปแบบอื่นได้

ความอยากดื่มกาแฟก็บอกไม่ดื่มก็ได้

 มีความสุขในสมาธิ ไม่ดื่มก็ไม่ทรมาน

หยุดดื่มกาแฟได้ หยุดสูบบุหรี่ได้

หยุดดื่มสุราได้ หยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากทำได้

 ถ้ามีสมาธิ ถ้ามีปัญญาบอกว่า

การทำตามความอยากนี้ไม่ควรจะกระทำ.

อาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 กรกฎาคม 2560
Last Update : 25 กรกฎาคม 2560 5:21:47 น.
Counter : 817 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ