Group Blog
All Blog
<<< "คุณธรรม ๔ ประการของคนมีครอบครัว" >>>









"คุณธรรม ๔ ประการ

ของคนมีครอบครัว"

โยม : หลวงพ่อเคยมีครอบครัวไหมคะ

หลวงพ่อ : ไม่เคย... ไม่ต้องมีหรอก

 ก็ดูครอบครัวคนอื่น ดูพ่อแม่เราก็เห็นแล้ว

ไม่ต้องดูคนอื่น แต่มันอาจจะเป็นเรื่องของจริตนิสัยก็ได้

ที่ไม่มีครอบครัวเพราะว่ามันอาจจะ

มันไม่มีความจำเป็นจะต้องมี และมันอาจจะเห็นว่า

มันยุ่งยากมากกว่า อันนี้แล้วแต่ ความรู้ของแต่ละคน

 บางคนก็มองไม่เห็นทุกข์ ก็เห็นว่า

การมีครอบครัวมีความสุข เขาก็มีครอบครัวกัน

 ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะเห็นว่าการมีครอบครัวมีความสุข

 ดีกว่าอยู่คนเดียว ซึ่งในระดับหนึ่งมันก็เป็นอย่างนั้น

 มีครอบครัวก็มีคนนั้นคนนี้มาอยู่ร่วมกันก็ไม่เหงา

 ช่วยกันดูแล ช่วยกันปกป้องรักษา

 ถ้าอยู่คนเดียวนี้มันก็อาจจะเป็นเป้าของผู้ไม่หวังดีก็ได้

 ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงนี้อยู่คนเดียวมันก็ยาก

 แต่ถ้ามีสามีมีอะไรอย่างน้อยก็ไม่มีใครจะอยากจะเข้ามา

 สร้างความเดือดร้อนให้ แต่ถ้าอยู่คนเดียว

เดี๋ยวก็โดน เป็นผู้หญิงก็ลำบากกว่าผู้ชายตรงนี้

 ก็ต้องมีคู่ มีเพื่อน

แต่สมัยนี้เขามีหลายรูปแบบ

มีแบบไม่ได้แต่งกันก็มีอยู่กันไปเป็นเพื่อนกันไป

 เบื่อก็ไป เบื่อก็เปลี่ยนเพื่อนใหม่

ก็เป็นความสุขชั่วคราวก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

 เดี๋ยวเบื่อคนนี้ก็ไปเปลี่ยนคนใหม่

 ดาราฮอลลีวู้ดบางคน แต่งแล้วหย่าตั้งเกือบสิบครั้ง

อลิสซาเบธ เทย์เลอร์ แต่งตั้ง ๘ ครั้ง

 สวยขนาดไหนยังต้องเปลี่ยน

 อยู่ด้วยกันสักพักแล้วก็เบื่อกัน

ถ้าเอาใจตัวเองก็อยู่ด้วยกันไม่ได้

ถ้าเราอยากจะอยู่กับใครให้นาน

 เราต้องรักเขามากกว่ารักเรา

ถ้าเรารักเขามากกว่ารักเรา เราก็ยินดีที่จะเสียสละ

เมื่อเราเสียสละเขาก็จะอยู่กับเราได้

แต่ถ้าเรารักตัวเรามากกว่ารักเขา

ก็มักจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะเราจะไม่ยอม

 ไม่ยอมเสียสละ พอเราไม่ยอม

 เขาก็ไม่อยากจะอยู่กับเรา

ดังนั้นถ้าเราอยากจะอยู่กันไปนานๆ

 ก็ต้องรักเขาให้มากกว่ารักตัวเรา

 ถ้าเรารักใครเราก็ยินดีที่จะเสียสละให้กับเขา

เหมือนพ่อแม่รักลูก พ่อแม่นี้รักลูกมากกว่ารักตัวเอง

 ยินดีที่จะเสียสละให้กับลูกได้

แต่ทำไมกับสามีกับภรรยา กลับเสียสละให้ไม่ได้

 ก็เลยต้องหย่าล้างกันไป

 จนกว่าเราจะไปเจอคนที่เรารักเขามากกว่ารักตัวเรา

 เมื่อเราเจอคนที่เรารักเขามากกว่าตัวเรา

 เราก็จะอยู่กับเขาได้ ชีวิตครอบครัวก็จะดีตรงนี้

พระพุทธเจ้าสอนว่าคู่ครองนี้ต้องมีคุณธรรม

อยู่ ๔ ประการด้วยกันถึงจะอยู่กันได้นาน

ข้อ ๑. ก็คือจาคะ คือการเสียสละ เราต้องเสียสละ

 เราต้องยอม ยอมให้อย่าเอาแต่ได้

ถ้าจะเอาได้อย่างเดียว เขาไม่มีปัญญา

ที่จะให้เราทุกอย่างที่เราต้องการหรอก

เราต้องให้เขา ถ้าเราให้เขา เขาก็จะให้เรา

 หรือเราให้เขา เราก็ไม่เดือดร้อน

เพราะเราไม่มีความอยากจะได้

เรามีแต่ความอยากจะให้ แสดงว่า

เรารักเขามากกว่าเรารักตัวเรา

 เราก็จะให้ได้ เราก็จะมีจาคะ

ข้อที่ ๒. ก็ต้องมีสัจจะ คือมีความซื่อสัตย์

มีความซื่อตรง ซื่อสัตย์ต่อกันและกัน

 ไม่หลอกลวงกัน ไม่ไปแอบมีแฟนที่นอกบ้าน

 ถ้ามีความซื่อสัตย์ต่อกันมันก็จะมีความสบายใจ

ไม่ต้องมีความวิตกกังวล

ข้อที่ ๓. ก็ต้องมีความอดกลั้น

มีเวลามีอารมณ์บูดเบี้ยวก็ต้องข่มใจ

 เวลาโกรธเขา ก็อย่าไประบาย พยายามพุทโธๆๆไว้

ทำใจให้นิ่งให้เฉยๆ เดี๋ยวอารมณ์โกรธผ่านไป

มันก็กลับมาเป็นปกติ

มันก็ไม่ต้องไปทำอะไรให้เสียหาย

เวลาโกรธนี้ถ้าเราพูดหรือทำอะไรไป

มันมักจะทำให้เกิดความเสียหาย

แล้วเราก็จะมาเสียใจทีหลังว่า เราไม่น่าพูดเลย

 เราไม่น่าทำไปเลย แทนที่จะทำให้เหตุการณ์ดีขึ้น

 ไม่ว่าโกรธหรือโลภนี้ ให้ข่มใจไว้

เวลาโลภก็ไม่ดี เวลาโลภอยากได้อะไร

ก็อาจจะทำให้เราต้องพูดหรือทำอะไร

 ที่น่าเกียจก็ได้ ที่ไม่น่าดู

 ที่จะทำให้เขาไม่พอใจไม่ชอบใจเราก็ได้

ดังนั้นเวลาโลภต้องข่มใจไว้ เวลาโกรธต้องข่มใจไว้

เวลาหลงก็ต้องข่มใจไว้ เวลาหลงก็คืออาจจะคิดว่า

เขาไปมีโน่นไปมีนี่ ทั้งที่เรายังไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า

 คิดไปแล้วก่อน อันนี้ก็ต้องหยุดความหลง

ถ้ายังไม่เห็นความจริงก็อย่าเพิ่งไปคิดอะไร

นี่เรียกว่าต้องรู้จักข่มใจ

 เวลามีอารมณ์โลภ โกรธ หลง มีอารมณ์อยากต่างๆ

 เพราะมันจะทำให้เราไปพูดไม่ดีทำไม่ดี

แล้วจะทำให้มีปัญหาต่อกัน อันนี้คือเรียกว่าข่มใจ

 ข้อที่ ๔.ก็คือต้องมีความอดทน อดกลั้น

แล้วก็ต้องอดทน อดทนก็คือชีวิตของเรา

 มันก็ไม่ใช่จะเป็นเหมือนกลีบดอกกุหลาบไปตลอด

 บางทีก็มีหนามมีอะไรให้เหยียบบ้าง

ชีวิตก็มีสุขมีทุกข์สลับกันไป ขึ้นๆลงๆ

เวลาสุขก็ไม่มีปัญหาอะไร เวลาทุกข์ถ้าไม่มีความอดทน

 เดี๋ยวก็จะไปพูดไปทำอะไรที่ไม่ดีได้ ก็ต้องอดทน

เวลาแต่งงานเขาถึงบอกให้สัญญากันว่า

In Sickness and in Health แปลว่า

 ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ก็จะอยู่กันเหมือนเดิม

จะจากกันก็ตอนเวลาที่เราตายเท่านั้น

Till Death Do Us Part

ถ้าทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้กันได้

 ก็น่าจะอยู่กันอย่างมีความสุข

 ถ้ามีคุณธรรม ๔ ข้อนี้รับรองได้ว่าจะอยู่กันได้

อยู่กันอย่างมีความสุข แบบภาษาของโลก สุขๆ ดิบๆ

สุขบ้างทุกข์บ้างแต่จะให้สุขทุกวัน

แบบวันแต่งงานไม่มีหรอก

 มันมีวันเดียวเท่านั้นแหละ

หลังจากนั้นแล้วมันก็เหมือนยาขมเคลือบน้ำตาล

 เวลาอมเข้าไปใหม่ๆก็เหมือนวันแต่งงานหวาน

เดี๋ยวพอน้ำตาลละลายแล้ว

ทีนี้ความขมจะโผล่ขึ้นมาแล้ว

ถ้าอยากจะมีความสุขมีความสำเร็จในชีวิตคู่

ก็ต้องสร้างคุณธรรม ๔ ประการ

สร้างจาคะ การเสียสละ สร้างสัจจะ ความซื่อสัตย์

สร้างความอดทนอดกลั้น เขาเรียกว่า ทมะ

และสร้างความอดทน เรียกว่า ขันติ

ถ้ามีธรรมะ ๔ ข้อนี้อยู่กับใครก็ได้

ไม่ได้อยู่แบบคู่ครองก็ได้ อยู่กับใครที่ไหน

ถ้าเรามีคุณสมบัติ ๔ ประการนี้

 ไม่มีใครเขารังเกียจหรอก

นี่คือความสวยงามของคน สวยที่ใจ

สวยด้วยจาคะด้วยการเสียสละ

สวยด้วยความซื่อสัตย์ไว้ใจได้

 ไม่มีใครจะสงสัยในพฤติกรรมของเรา

พูดจริงทำจริง ให้สัญญาอะไรไว้แล้ว ไม่บิดเบี้ยว

 ไว้ใจได้ ไว้เนื้อเชื่อใจได้แล้วก็จะไม่ระบายอารมณ์

 เวลาโกรธ เวลาทุกข์ก็จะเฉยๆ ทำใจไม่พูดไม่ทำอะไร

ที่ทำให้ผู้อื่นเขาเสียหาย เวลาทุกข์ยากลำบาก

ก็อดทนสู้กับมันไป ก็มีคนแนะนำว่า

ถ้าอยากรู้ว่ามีคุณสมบัติเหล่านี้หรือเปล่าในคู่ครอง

 เขาให้ชวนคนที่จะแต่งงานนี้ไปเดินขึ้นเขาที่ภูกระดึงกัน

 ขึ้นดอยภูกระดึงดู ดูว่าจะยิ้มแย้มแจ่มใส

 แฮบปี้กันไปตลอดทางหรือเปล่า

 หรือไปปีนภูเขาหิมาลัยก็ได้

คนเราจะต้องไปเจอข้อสอบ

 ต้องไปเจอความทุกข์ยากลำบากแล้ว

ถึงจะเห็นธาตุแท้ของคนว่ามีธาตุแท้แบบไหน

 มีธรรมหรือมีอธรรม มีจาคะ

มีสัจจะ มีทมะ มีขันติหรือเปล่า

สมัยก่อนเขาถึงไม่นิยมแต่งกันก่อน

เขาต้องหมั้นกันก่อนสักปี ให้รู้จักจิตใจของกันและกัน

 ว่าจะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่

 เขาชอบอย่างนี้เราไม่ได้ชอบอย่างนี้

เราจะปรับใจอยู่กับเขาได้หรือเปล่า

 เราชอบอย่างนี้เขาไม่ชอบ

 เขาจะปรับใจเข้าหาเราได้หรือเปล่า

 มันเป็นเรื่องของการปรับนะ

การอยู่คนเดียวนี้สบายตรงนี้ไม่ต้องปรับใจ

 เป็นตัวของเรา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

แต่เวลาไปอยู่กัน ๒ คนนี้ ต้องหมดอิสรภาพไปครึ่งหนึ่ง

แล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้แล้ว

 เหมือนกับกลายเป็นนักโทษ

จะไปไหนก็ต้องขออนุญาตกันแล้ว ต้องบอกกันก่อน

 จะไปทำอะไรคนเดียวนี้ต้องขออนุญาต

ไม่เช่นนั้นก็ต้องไป ๒ คน ไป ๒ คนก็ต้องพอใจทั้ง ๒ คน

ว่าจะไปทางเดียวกันได้หรือเปล่า

คนหนึ่งอยากจะไปที่นี่ อีกคนอยากจะไปที่นั่น

 เดี๋ยวก็ไปไม่ได้แล้ว ถ้าจะอยู่ด้วยกันได้

ก็ต้องตามใจเขา เอาใจเขา ถ้าเอาใจเขาก็อยู่กับเขาได้

มันยุ่งยากนะ สู้อยู่คนเดียวไม่ได้นะ

 สู้พุทโธๆๆอย่างเดียวไม่ได้ สบายกว่า

 ทำพุทโธๆๆไป ใจสงบนี้ก็จะไม่รู้สึกเหงา

ไม่รู้สึกว้าเหว่ และไม่อยากจะอยู่กับใคร

 ไม่อยากจะเสียอิสรภาพ

อยู่คนเดียวนึกอยากจะทำอะไรไปได้เลย

 ไม่ต้องปรึกษาใคร ไม่ต้องขออนุญาตใคร

 เพื่อนโทรมาชวนไปไหนอยากจะไป ไปได้เลย

 นี่เดี๋ยวเกิดเพื่อนฝูงโทรมาชวนไปโน่นมานี่

ไปไม่ได้แล้ว แฟนไม่ยอมให้ไป

ได้อย่างเสียอย่างนะ คิดให้รอบคอบนะ

ได้กับเสียอันไหนมันจะมากกว่ากัน

 ถ้าได้มากกว่าเสียก็ไป

ถ้าได้น้อยกว่าเสียก็อย่าไปดีกว่า

ก็มีพระเคยมากราบขอหลวงปู่มั่นว่า

 จะขอลาไปปฏิบัติที่อื่น หลวงปู่มั่นก็ท่านก็บอกว่า

 ถ้าไปดีกว่าอยู่ก็ไปก็ดี

 ถ้าไปดีกว่าอยู่ก็อยู่ดีกว่า

 ถ้าไปก็ดี อยู่ก็ดี ก็อยู่ก็ได้ ไปก็ได้

เราต้องถามตัวเราเองว่า

 เราไปแล้วจะดีกว่าอยู่หรือเปล่า

ถ้าดีก็ไป ถ้ามันอาจจะดี

แบบคนตาบอดก็ช่วยไม่ได้น

 คนตาบอดมันอาจจะมองแต่ข้อดีอย่างเดียว

 แต่ถ้ามองแบบคนตาดีไม่มีใครอยากจะไปหรอก

 เห็นไหม พระพุทธเจ้าขนาดมีแฟนมีลูก

ก็ยังต้องหนีไปเลย

ถ้าไปมีครอบครัวก็ไปนิพพานไม่ได้นะ

 ไปปฏิบัติไม่ได้ ไปบวชไม่ได้

ก็ต้องติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยๆ

ตายไปกลับมาเกิดใหม่ก็ต้องไปมีครอบครัวใหม่

 แล้วก็มาทุกข์กับการดูแลเลี้ยงดูครอบครัว

มีสุขบ้างมีทุกข์บ้างสลับกันไป ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้

 ถ้าจะไปทางนี้ก็ต้องซื้อประกันภัยไว้ ประกันความทุกข์

 จะทำให้ทุกข์น้อยก็ต้องทำทาน รักษาศีล ภาวนา

 หรือพยายามสร้างธรรมะ ๔ ข้อนี้ขึ้นมา

 สร้างจาคะ สร้างสัจจะ สร้างทมะ สร้างขันติ

แล้วก็พอที่จะรับกับความทุกข์ต่างๆ

ความจริงอยู่คนเดียวมันก็มีความทุกข์เหมือนกัน

 แต่มันทุกข์น้อยกว่า ตัวแปรมันน้อยกว่า

 แต่มันจะไปทุกข์หนักที่ความเหงา ความหว้าเหว่

เป็นอย่างไร พูดอย่างนี้แล้ว รู้อย่างนี้ไม่มาดีกว่า

 ไม่สายเกินแก้นะ

โยม : เดี๋ยวหนูจะเอา ๔ ข้อไปบอกแฟน

หลวงพ่อ : อย่าไปบอกเขาเลย บอกตัวเราดีกว่า

โยม : จะได้ทำไปด้วยกัน

หลวงพ่อ : มันยากการที่จะไปบอกเขานี้

มันเหมือนกับไปบังคับแล้ว

ไปบอกเขาก็ไปบังคับเขาแล้ว

 นอกจากถ้าเขาปรึกษาเราก็ว่าไปอย่าง

ถ้าเราไปพูดอย่างนี้ก็เหมือนกับเราไปบังคับเขาแล้ว

 แล้วถ้าเขาไม่พร้อมที่จะปฏิบัติ ๔ ข้อนี้

เขาก็จะรู้สึกอึดอัด มันมีไว้สำหรับตัวเรานะ

ส่วนเขาจะมีหรือไม่มีก็เรื่องของเขา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๙





ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 31 สิงหาคม 2560
Last Update : 31 สิงหาคม 2560 11:14:14 น.
Counter : 746 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ