Group Blog
All Blog
<<< “การทดแทนบุญคุณ” >>>










“การทดแทนบุญคุณ”

ถาม : การตอบแทนคุณพ่อแม่

ในทางพระพุทธศาสนานั้น

 ต้องทำมากแค่ไหนจึงจะถือว่าได้ตอบแทนคุณแล้ว

 ทั้งกรณีพ่อแม่มีชีวิตอยู่และจากไปแล้วครับ

พระอาจารย์ : คือมันก็อยู่ที่เหตุการณ์

อยู่ที่ความสามารถของเราด้วย

คือหนึ่งบางทีพ่อแม่เขาอยู่ในฐานะ

ที่เราไม่ต้องช่วยเหลือเขาไม่ต้องดูแลเขาก็เลย

 หรือเราอยู่ในฐานะที่เราไม่สามารถดูแลเขาได้

 อันนี้มันก็เป็นเรื่องของเหตุการณ์

แต่ถ้าเป็นปกติทั่วๆ ไป

สมมุติว่าเราช่วยเหลือพ่อแม่ได้

 แล้วพ่อแม่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา

 เราก็ต้องตอบแทนไป

แต่จะตอบแทนได้ดีขนาดไหน

ก็ยังไม่สามารถทดแทนบุญคุณ

อันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ได้

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

ต่อให้เราเลี้ยงดูพ่อแม่

ด้วยการแบกท่านไว้บนบ่าบนไหล่

ให้ท่านอุจจาระปัสสาวะใส่เรา

ไปจนถึงวันตายของท่าน

 บุญคุณที่ท่านมีกับเราก็ยังไม่หมด

 ถ้าอยากจะให้ทดแทนบุญคุณของท่านให้หมดได้นี้

ก็ต้องทำให้ท่านพ้นจากอบายให้ได้

 คือทำให้ท่านเป็นพระโสดาบันนั่นเอง

 ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำกับพระพุทธมารดา

นี่ท่านทรงไปโปรดแสดงธรรมอยู่ที่สวรรค์หนึ่งพรรษา

 จนพระพุทธมารดามีดวงตาเห็นธรรม

 หลุดพ้นจากการที่จะไปเกิดในอบาย

และมีภพชาติเหลือไม่เกินเจ็ดชาติ

 ก็จะได้ไปถึงพระนิพานได้

หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

พระบิดาท่านก็ช่วยให้บรรลุพระนิพพานได้

เจ็ดวันก่อนจะเสด็จสวรรคต

พระมารดาเลี้ยงก็ให้บวชเป็นภิกษุณี

และบรรลุเป็นพระอรหันต์

ลูกก็จับมาบวชเป็นสามเณร

แล้วก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

ส่วนพระมเหสีนี้ไม่ได้ศึกษา

ไม่ทราบว่าได้บรรลุหรือเปล่า

นี่คือการทดแทนบุญคุณของพระพุทธเจ้า

ของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

เขาจะพยายามทดแทนที่จิตใจเป็นหลักถ้าทำได้

 ถ้าพ่อแม่พร้อมที่จะรับคำสอน

แต่ถ้าเป็นพ่อแม่ที่มืดบอดไม่สามารถรับคำสอนได้

ก็ช่วยทางร่างกายไป ช่วยเลี้ยงดูร่างกายของท่าน

ให้ท่านอยู่อย่างเป็นปกติสุข.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2560 9:01:29 น.
Counter : 668 Pageviews.

0 comment
<<< “ต้องหยุดกิเลสตัณหา” >>>











“ต้องหยุดกิเลสตัณหา”

ถาม : หากเจริญพุทธานุสติระลึกถึง

พระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกลมหายใจ

 จิตเป็นพุทธะ อย่างนี้เพียงพอต่อการหลุดพ้น

เป็นอริยบุคคลเข้าถึงพระนิพพานได้ไหมครับ

พระอาจารย์ : อ๋อไม่ได้หรอก

การระลึกถึงนี้เพียงเป็นอุบาย

เพื่อให้เราหยุดความคิดปรุงแต่ง

เพื่อทำให้จิตเราสงบเป็นสมาธิเท่านั้นเอง

สมาธินี้ยังไม่สามารถกำจัดกิเลสตัณหา

ที่เป็นตัวทำให้จิตเราไปถึงนิพพานไม่ได้

 ถ้าเราอยากจะไปถึงนิพพาน

เราต้องใช้ปัญญากำจัดกิเลสตัณหา

ที่ได้รับการกดเอาไว้จากกำลังของสมาธิ

เวลามีสมาธิกำลังของกิเลสตัณหาจะไม่รุนแรงพอ

ที่จะทำให้เราหยุดมันได้ ถ้าไม่มีสมาธินี้

เราจะไม่มีกำลังที่จะหยุดกิเลสตัณหาได้

 เราต้องมีสมาธิแล้วต้องมีปัญญา

เพื่อคอยเตือนใจสอนใจให้เห็นว่า

การทำตามกิเลสตัณหาเป็นการสร้างความทุกข์

ไม่ใช่เป็นการสร้างความสุข

 เป็นการสร้างภพชาติเป็นการสร้างการเกิดแก่เจ็บตาย

 ถ้าต้องการดับความทุกข์ดับการเกิดแก่เจ็บตาย

 ก็ต้องหยุดกิเลสตัณหาให้ได้

ถ้ามีสมาธิก็จะมีกำลัง พอปัญญาบอกให้หยุด

ก็จะหยุดได้ ไม่ทำตามได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2560 10:27:42 น.
Counter : 538 Pageviews.

0 comment
<<< ขันธ์ ๕ >>>











"ขันธ์ ๕"

ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์เรื่อง ขันธ์ ทั้ง ๕

 โดยเฉพาะรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

 ต่างกันอย่างไร คืออะไรเจ้าคะ

 เพื่อเวลาฟังพระอาจารย์แสดงธรรมจะได้เข้าใจมากขึ้น

พระอาจารย์ : รูปก็คือร่างกายของเราไง

 ที่ทำมาจากดินน้ำลมไฟ ที่มีอาการ ๓๒

ที่เกิดแก่เจ็บตาย นี่คือรูป รูปขันธ์

แล้ววิญญาณขันธ์ นี้มี ๔ นามขันธ์

มี ๔ คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

อันนี้เป็นเรื่องอยู่ที่จิตไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย

 แต่จิตมีวิญญาณขันธ์ส่งมาเกาะติดอยู่กับร่างกาย

 มาเชื่อม มา connect มารับข้อมูลจากทางร่างกาย

 วิญญาณขันธ์ก็มาเกาะที่ตาก็รับรูปไป

เกาะที่หูก็รับเสียงไป เกาะที่ลิ้นก็รับรสไป

เกาะที่จมูกก็รับกลิ่นไป

 เกาะที่ร่างกายก็รับความรู้สึกทางร่างกายไป

อันนี้เรียกว่าวิญญาณขันธ์

 เป็นตัวที่เชื่อมต่อใจกับร่างกาย

 เพื่อที่จะได้มีการรับรู้ผ่านทางร่างกายได้

 ต้องมีวิญญาณขันธ์มาเกาะ

แล้วนอกจากมีตัวมารับรู้แล้วยังมีตัวมาสั่งการ

ให้ร่างกายทำอะไรอีก ตัวที่สั่งการก็คือ

 สังขารความคิดปรุงแต่ง

สั่งให้ร่างกายลุกขึ้นเดินไปกินน้ำเข้าห้องน้ำ

ไปทำอะไรนี่ก็สังขารความคิด เรียกว่าสังขาร

 แล้วก็สัญญาก็คือความจำ

 เวลาเห็นรูปอะไรถ้าจำได้ก็รู้ว่า

อ้อ คนนี้เป็นชื่อนั้นชื่อนี้

ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เรียกว่าสัญญา

 เวทนาก็ความรู้สึกสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์

เวลาเห็นรูปบางทีก็สุขบางทีก็ทุกข์

 เห็นรูปของเงินทองก็สุขขึ้นมา ถ้าเห็นเงินไหลมาอย่างงี้

 เห็นรายได้เข้ามาเนี่ยมันก็สุข พอเห็นรายจ่ายมันก็ทุกข์

 อันนี้ก็เกิดจากการที่เห็นอะไรต่างๆ

นี่คือเรื่องของ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2560 9:33:09 น.
Counter : 444 Pageviews.

0 comment
<<< "การสวดมนต์แบ่งบุญ" >>>











"การสวดมนต์แบ่งบุญ"

ถาม : การสวดมนต์เป็นบุญไหมคะ

สามารถแผ่บุญกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรได้ไหมคะ

 แล้วเขาจะได้รับไหม

พระอาจารย์ : สวดมนต์เป็นการทำใจให้สงบ

 ทำสมาธิ เป็นบุญเฉพาะตน

ไม่สามารถที่จะแผ่ให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้

ทุกคนต้องทำกันเอง ใครอยากจะมีความสงบ

ก็ต้องทำเอง คนอื่นทำให้เราไม่ได้

 แผ่ให้เราไม่ได้ แบ่งความสงบให้เราไม่ได้

ถ้าแบ่งได้ พระพุทธเจ้าก็แบ่งนิพพานให้เราแล้ว

เราก็ไม่ต้องมานั่งทุกข์กันอย่างทุกวันนี้

ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด

แต่ความสงบนี้ เป็นธรรมที่แผ่กันไม่ได้ให้กันไม่ได้

ต้องทำเอง จะให้ได้แต่เฉพาะบุญ

ที่เกิดจากการทำทาน

เช่น วันนี้ญาติโยมมาทำบุญ ทำทาน

แล้วอยากจะแบ่งให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

บุญนี้แบ่งได้ เป็นบุญชนิดเดียวเท่านั้นที่แบ่งได้

บุญชนิดอื่นนี้แบ่งกันไม่ได้ ของใครของมัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๙






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 08 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2560 9:50:24 น.
Counter : 440 Pageviews.

0 comment
<<< “สมาธิเป็นที่พักของใจ” >>>










“สมาธิเป็นที่พักของใจ”

ถาม : การนั่งสวดมนต์ถือเป็นการทำสมาธิใช่ไหมครับ

 และถ้าใช่ นั่นหมายถึงเรานั่งสวดมนต์ภาวนา

 แบบสวดไปเรื่อยๆ เพราะทำให้เข้าสมาธิได้ใช่ไหมครับ

 และจะทำให้ได้ปัญญาพิจารณาต่อไปได้หรือไม่ครับ

พระอาจารย์ : อ้อ สวดมนต์นี่มันจะได้

แต่ไม่ลึกเหมือนกับการเพ่งดูลมหายใจ

 หรืออยู่กับพุทโธพุทโธเพียงอย่างเดียว

มันเหมาะกับเวลาที่ใจเราฟุ้งซ่านคิดมาก

 เราก็ใช้การสวดมนต์ระงับความฟุ้งซ่านไปก่อน

พอหายฟุ้งซ่านแล้วก็ลองใช้พุทโธคำเดียว

หรือดูลมหายใจไปอย่างเดียว

แล้วจิตมันจะรวมเป็นสมาธิได้

 แล้วเวลาได้สมาธิแล้ว

จิตก็จะมีกำลังที่จะไปทางปัญญาได้

 ก็ต้องออกจากสมาธิก่อน แล้วถึงค่อยไปทางปัญญา

 ตอนที่อยู่ในสมาธิปล่อยให้มันนิ่งนานๆ

 เพราะเป็นการพักผ่อนของใจ

 เหมือนเวลาที่เราทำงานนี่ เวลาเราทำงานเหนื่อย

เราก็ต้องกลับมาบ้านมาพักผ่อนหลับนอน

 มารับประทานอาหาร แล้วพอตอนเช้าตื่นขึ้นมา

เราก็ออกไปทำงานต่อ

การเจริญปัญญานี้เป็นการทำงานของใจ

การเข้าสมาธินี้เป็นการพักผ่อนของใจ

 อันนี้เราต้องทำสลับกัน ทำพร้อมกันไม่ได้

ไม่ใช่พอเข้าไปในสมาธิปั๊บ

ก็ปลุกดึงออกมาให้พิจารณาปัญญา มันไม่ใช่

พอจะนอนหลับปั๊บก็ตั้งนาฬิกาให้ปลุกเลย

 พอหลับปั๊บก็ปลุกขึ้นมาว่าให้ลุกไปทำงาน

 มันยังไม่มีกำลังยังไม่ได้พัก ต้องให้มันพัก

จนกระทั่งมันอิ่มตัว แล้วถอนขึ้นมาเอง

นอนหลับก็นอนให้มันหลับจนกระทั่งมันตื่นขึ้นมาเอง

 แล้วค่อยออกไปทำงานต่อ

นี่คือหน้าที่ของสมาธิเป็นที่พักของใจ

 เป็นที่ให้กำลังของใจเพื่อที่จะได้ไปเจริญปัญญาได้

แต่ปัญญาไม่ได้เกิดจากสมาธิ

ปัญญาเกิดจากการใคร่ครวญปัญญา

อย่างที่เทศน์ไว้เมื่อวานนี้ เกิดได้สามทาง

 ขั้นที่หนึ่งเกิดจากการได้ยินได้ฟัง

 เช่นฟังเทศน์ฟังธรรมนี้ ก็จะได้ปัญญาอันดับแรก

 แล้วขั้นที่สองก็เอาธรรมที่เราได้ยินได้ฟังนี้

ไปพิจารณาใคร่ครวญอยู่เรื่อยๆ

 อันนี้ก็จะเป็นปัญญาขั้นที่สอง

 แล้วปัญญาขั้นที่สามก็คือเอาไปใช้หยุดความอยาก

พอเกิดความอยากเราก็เอาปัญญาที่เห็นว่า

 การทำตามความอยากนี้เป็นทุกข์

 ไม่ทำตามความอยากดีกว่า หยุดความอยากดีกว่า

 ถ้าหยุดได้ก็แสดงว่าเราได้ปัญญาขั้นที่สาม

 แต่ถ้ายังหยุดไม่ได้ก็แสดงว่ายังไม่มีปัญญาขั้นที่สาม

 ขาดกำลังของสมาธิ สมาธิมีกำลังยังไม่พอ

 ก็ต้องกลับไปนั่งสมาธิก่อน ไปทำใจให้สงบก่อน

 แล้วก็มาหยุดความอยากให้ได้.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๐





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 ตุลาคม 2560
Last Update : 17 ตุลาคม 2560 9:36:45 น.
Counter : 476 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ