***ชีวิตที่เหลือจะทำอย่างไร****
***ชีวิตที่เหลือจะทำอย่างไร****
เธอ โผล่หน้าออกมาจากเพิงที่พัก
ซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยแถวสลัม
เมื่อเย็นของวันนั้น ด้วยความตระหนก
ในท่าทีของเพื่อนบ้านข้างเคียง

สามีของเธอ ถูกรถชนตายเสียแล้ว
เธอจะพูดอะไรได้
นอกจากดึงลูกน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้วร่ำไห้
เขา.... จากเธอไปแล้ว ไปและจะไม่กลับมาอีก
เขาอายุ สี่สิบปีแล้ว
เขาสร้างสมปาบกรรมอันใดไว้เล่า
ถึงได้ภัยร้ายแรงเช่นนี้
วิบัติซิ !! ถ้าไม่เขาแล้ว .... เธอกับลูก
จะพึ่งพาใครได้ ในชีวิตนี้ ??
เธอร้องไห้จะเป็นจะตาย อยู่ในสลัม ยามเย็ยย่ำของวันนั้น
สามีเธอมองความจน ความทุกข์ ความต่ำต้อย
เป็นของธรรมชาติ เขาบากบั่น
ก้มหน้าทำมาหากินตลอดมา
เขาจบ ป.4 สูงกว่าเธออีก เธออ่านหนังสือไม่ได้
เธอภูมิใจในตัวเขามาก มีประวัติดีงาม
เป็นลูกที่ดีของพ่อ
เป็นคนงานในไร้ช่ที่ดีที่นายจ้างชอบ
เป็นพ่อที่ดีของลูก
เขาอดทนต่อความเลวได้เป็นอย่างดี

" ฉันไม่อยากจะทำชั่ว แม้แต่ลักขโมยของๆใครสักชิ้น "

กับลูกละ " ฉันจะให้มันเรียนหนังสือสูงๆๆ
เป็นครู หรือ เป็น หมอ ก็ได้ " เขาวาดฝันไว้อย่างนั้น

ชีวิต กำลังจะเริ่มต้น อะไรๆ กำลังจะดีขึ้น
ความทุกข์กำลังจะหมดไป แทนที่ด้วยความหวัง
เมื่อเขาได้งานประจำ มั่นคงเป็นหลักฐาน
ได้เป็นพนักงานกวาดขยะของเทศบาล
ปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ในถนนสายหนึ่งที่กรุงเทพฯ

" ถนนของฉันสะอาด เรียบร้อย " เขายังเคยอวดเธอ

เวรกรรมที่ทั้งเขา และ เธอไม่เคยสร้าง
ก็มาล้างผลาญเสียแล้ว .....วันนี้
รถยนต์ของใคร ก็ไม่รู้ ช้อนร่างของเขาลอบล่อง
และร่วงอยู่บนท้องถนนอันแสนสะอาดของเขาเอง
เธอหลับตา..... เห็นเลือดไหลออกจากร่างเขา
สีแดงเปรอะไปทั่วถนน
รถยนต์ของใครคนนั้น
มันไม่เพียงแต่ขโมยชีวิตของเขาไป
มันขโมยความสุข
และลักพาชีวิตครอบครัวของเธอไปจนหมดสิ้น
เธอร่ำไห้........ อยู่ในความเย็นย่ำ---
ว้าเหว่ของบ้านในสลัม

อีกมุมหนึ่งของสังคม.................

คุณนายกลับมาถึงบ้านอันโอฬารของเธอ
เมื่อยามเย็นของวันนั้น
พร้อมกับรับทราบข่าวว่า .....
ลูกชายสุดที่รักของเธอ ขับรถคันใหญ่
ไปชน คน ตาย เข้าแล้ว
เขา- ลูกของเธอตกใจมาก
นับเป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงอีกครั้งในชีวิตของเขา

" มันคงไม่เป็นไรหรอกน่า ...
ไม่มีคนเห็นถนนก็เปลี่ยว โชคยังดี " คุณนาย ว่า

เขาจะต้องเป็นตัวแทนของพ่อ
เป็นใหญ่เหนือกิจการและทุกๆ สิ่ง ที่เธอ มี
เธอหวังในตัวเขาสูง นัก
เป็นตัวแทนของตระกูลอันสูงส่ง
ที่มีอยู่ไม่กี่สิบตระกูล ในประเทศนี้

บ่อยครั้ง ที่ความชั่วช้า ต่ำทราม
ได้เข้ามาทักทายเกี่ยวพันเขา
หวิดจะทำให้ตระกูลต้องอับยศ มาก็หลายหน
การพนัน ผู้หญิง และเพื่อนชั้นต่ำ
เขามักง่ายและพ่ายแพ้เสมอ

" ผู้ไม่รู้ตัวเลย ....." เขามักจะสารภาพกับเธออย่างนี้เสมอ
เขาสำมะเลเทเมา ขับรถชนคนตายมาก็ไม่รู้กี่คน

ใครกันน่ะ ??
ที่ถูกรถราคาแพงของเขาชนตายไปวันนี้.....
ราคาชีวิตของคนคนนั้น กับราคารถของลูกชาย
ใครจะแพงกว่ากันน่ะ ?? เธอคิด

เอาล่ะ !! เธอยิ้มพรายที่มุมปาก
ปลอบโยนลูกให้คลายกังวล
" เรื่องมันเล็กนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้นเอง !"

เธอ -คุณนาย สบายใจแล้ววันนี้.....
ที่ได้เห็นใบหน้าลูกชายคลายความตกใจ
และคืนกลับมาเป็นปกติ
เมื่อเย็นย่ำของวันนั้นเอง


จากหนังสือ " ขุนทอง เจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง "
ผู้เขียน คุณอัศศิริ ธรรมโชติ
ชื่อตอน เมื่อเย็นย่ำ....ของวันอันร้าย
หนังสือ รวมเรื่องสั้น รางวัลซีไรต์
วรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเชี่ยน



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 22:57:44 น.
Counter : 2527 Pageviews.

0 comment
ริบบิ้นสีฟ้า มีความรู้สึกดี ๆ มาให้
ริบบิ้นสีฟ้า มีความรู้สึกดี ๆ มาให้
ครูคนหนึ่งที่นิวยอร์คตกลงใจจะแสดงความชื่นชมนักเรียนไฮสคูลชั้นปีสุดท้ายที่เธอสอน ด้วยการบอกเขาเหล่านั้นว่าแต่ละคนมีคุณค่าพิเศษต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง

เธอเรียกนักเรียนทุกคนไปหน้าชั้นทีละคน แรกสุดเธอบอกแต่ละคนว่า...พวกเขามีคุณค่าเพียงใด ทั้งต่อตัวครูและต่อเพื่อนร่วมห้อง

จากนั้นเธอก็มอบริบบิ้นสีฟ้าพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีทองเป็นของขวัญให้ ข้อความบนริบบิ้นมีว่า... "ฉันเป็นคนมีคุณค่า"

จากนั้นครูให้นักเรียนทำงานกลุ่มของชั้นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อดูว่า การแสดงความชื่นชมยกย่องผู้อื่นส่งผลอย่างไรต่อคนในชุมชน

เธอมอบริบบิ้นแก่นักเรียนคนละสามเส้นให้นักเรียนเผยแพร่การรับรู้และชื่นชมคุณค่าผู้อื่นในวงกว้างออกไป จากนั้นนักเรียนจะต้องติดตามผล และ ดูว่าใครยกย่องใครบ้าง แล้วนำกลับมารายงานในห้องภายในหนึ่งสัปดาห์

นักเรียนชายคนหนึ่งเข้าพบผู้บริหารระดับรองที่ทำงานในบริษัทใกล้ๆ เพื่อยกย่องที่ชายผู้นี้เคยช่วยเขาวางแผนอาชีพในอนาคต แล้วมอบริบบิ้นติดให้บนเสื้อเชิ้ต จากนั้นก็มอบริบบิ้นอีกสองเส้นที่เหลือพร้อมกับกล่าวว่า....
"เรากำลังทำงานกลุ่มของชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความยกย่องชื่นชมผู้อื่นครับ ผมอยากขอให้คุณช่วยหาใครสักคนที่คุณต้องการยกย่อง แล้วให้ริบบิ้นเขา ส่วนอีกเส้นก็ให้เขาไว้สำหรับมอบให้คนต่อไป เพื่อเผยแพร่การยกย่องชื่นชมนี้ให้กระจายต่อไป แล้วช่วยกลับมาบอกผมด้วยครับว่าผลเป็นยังไงบ้าง"

ต่อมาในวันเดียวกัน ผู้บริหารท่านนี้เข้าพบเจ้านายเขา ซึ่งเป็นคนที่ใครๆ รู้กันดีว่าเกรี้ยวกราด อารมณ์ร้าย เขานั่งลงคุยกับเจ้านาย

บอกเจ้านายว่า...

ลึกๆ เขายกย่องชื่นชมเจ้านายว่าเป็นผู้มีหัวคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ

ดูเหมือนเจ้านายเขาจะประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาถามเจ้านายว่าจะยินดีรับริบบิ้นสีฟ้าเป็นของขวัญแสดงความชื่นชม และอนุญาตให้เขาติดริบบิ้นให้ได้หรือไม่

เจ้านายผู้ประหลาดใจตอบว่าได้ เขาจึงติดริบบิ้นสีฟ้าเส้นนั้นบนปกเสื้อนอก บริเวณเหนือหัวใจ เมื่อเขามอบริบบิ้นเส้นสุดท้ายแก่เจ้านาย


เขาบอกเจ้านายว่า...ช่วยอะไรผมสักอย่างได้ไหมครับ ผมอยากให้เจ้านายช่วยส่งต่อริบบิ้นเส้นสุดท้ายนี้ด้วยการยกย่องชื่นชมใครสักคน

พ่อหนุ่มที่ให้ริบบิ้นผมมาเป็นคนแรกกำลังทำงานกลุ่มของชั้นอยู่ เขาอยากให้ช่วยกระจายการยกย่องชื่นชมนี้ให้เผยแพร่ในวงกว้างออกไป แล้วดูว่าการทำแบบนี้ส่งผลต่อใครๆ ยังไงบ้าง

ค่ำวันนั้น ชายผู้เป็นเจ้านายกลับบ้านไปหาลูกชายวัยรุ่นอายุสิบสี่

เขา
เรียกลูกชายให้นั่งลง แล้วกล่าวว่า วันนี้เกิดเรื่องเหลือเชื่อที่สุดกับพ่อ

ตอนอยู่ห้องทำงาน ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าเขาชื่นชมพ่อ

แล้วให้ริบบิ้นเส้นหนึ่งเป็นการยกย่องว่าพ่อเป็นอัจริยะเรื่องความมีหัวคิดสร้างสรรค์

ลองนึกดูเขาคิดว่าพ่อมีหัวคิดสร้างสรรค์เข้าขั้นอัจฉริยะเชียวนะ

แล้วเขาก็เอาริบบิ้นเส้นนี้ที่เขียนว่าฉันเป็นคนมีคุณค่า ติดให้บนปกเสื้อนอกตรงหัวใจนี่ แล้วยังให้ริบบิ้นพ่อมาอีกเส้น ให้พ่อมองหาใครสักคนที่จะยกย่องชื่นชมต่อ...

ระหว่างที่พ่อ ขับรถกลับบ้าน ก็คิดว่าริบบิ้นเส้นนี้จะให้ใครดี แล้วพ่อก็นึกถึงแก

พ่ออยากชื่นชมแกนะ วันๆ พ่อทำงานยุ่งเหยิงมาก พอกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจแกสักเท่าไร
บางทียังอาละวาดอีก เรื่องแกเรียนได้เกรดไม่ดี เรื่องทำห้องนอนรก แต่ยังไงไม่รู้สิ...

วันนี้พ่อกลับอยากนั่งลงตรงนี้กับแก อยากบอกว่าแกมีค่ากับพ่อมากแค่ไหน

นอกจากแม่แกแล้ว ก็มีแกนี่แหละที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพ่อ

แกเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ แล้วพ่อก็รักแกนะ...

เด็กหนุ่มผู้ตื่นตะลึงเริ่มสะอื้น... แล้วก็สะอื้น...เขาไม่อาจหยุดร้องไห้

ร่างสั่นเทาไปทั้งตัว เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วกล่าวทั้งน้ำตา

พ่อครับ เมื่อตอนเย็น ผมอยู่บนห้อง นั่งเขียนจดหมายถึงพ่อกับแม่เพื่ออธิบายว่า

ทำไมผมถึงฆ่าตัวตาย แล้วก็ขอให้พ่อยกโทษให้ผม

ผมตั้งใจจะฆ่าตัวตาย

คืนนี้ตอนพ่อหลับ ผมคิดว่าพ่อไม่เคยแคร์ผมเลย

จดหมายอยู่บนห้องครับ แต่ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องการมันแล้วล่ะ"

พ่อของเด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนห้อง พบจดหมายข้อความสะเทือนใจ บรรยายถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
จดหมายฉบับนั้นจ่าหน้าถึงพ่อกับแม่

ชายผู้เป็นเจ้านายกลับไปที่ทำงานอย่างเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาเลิกเป็นคนขี้โมโหแต่จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พนักงานใต้บังคับบัญชารู้ว่าพวกเขามีค่าอย่างไรบ้าง

ส่วนชายผู้เป็นนักบริหารระดับรองก็ช่วยให้คำแนะนำเด็กหนุ่มอื่นๆ ต่อมาอีกหลายคน เรื่องการวางแผนอาชีพในอนาคต แล้วก็ไม่เคยลืมบอกเด็กเหล่านั้นว่าแต่ละคนมีคุณค่าต่อชีวิตเขาอย่างไรบ้าง หนึ่งในนั้นก็คือเด็กหนุ่มลูกชาย
เจ้านายเขา


ส่วนเด็กหนุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่าเรื่อง
หนึ่งนั่นคือ เราต่างเป็นคนที่มีคุณค่า...ด้วยกันทั้งนั้น

คุณไม่จำเป็นต้องส่งเมล์ฉบับนี้ต่อให้ใครแม้แต่คนเดียว..อย่าว่าแต่สองคน
หรือสองร้อยคนเลย สำหรับฉัน(ผู้เขียนเรื่องนี้) คุณอาจจะลบเมล์ฉบับนี้ทิ้ง
แล้วไปเปิดดูเมล์ฉบับต่อไป แต่ถ้าคุณมีใครสักคนที่มีความหมายกับคุณมาก
ฉันขอสนับสนุนให้คุณส่งข้อความนี้ ไปให้เขาหรือเธอผู้นั้น
เพื่อให้เขาได้รับรู้
ความรู้สึกของคุณ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า...การให้กำลังใจเล็กๆ น้อยๆ มี
คุณค่าแค่ไหนกับคนสักคน

fw mail



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 22:57:04 น.
Counter : 682 Pageviews.

0 comment
ชีวิตที่ดี
ชีวิตที่ดี
วันหนึ่งในเดือนธันวาคม ปี 1995 ฌอง-โดมินิค โบบี ลองขับรถคันใหม่กับลูกชาย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองไม่ตอบสนองต่อความคิด ประสาทสัมผัสของเขาคล้ายถูกลบหายไปเหมือนเส้นดินสอที่ถูกยางลบปาดผ่าน โบบีพบตัวเองบนเตียงที่ระเกะระกะด้วยเครื่องช่วยชีวิต ท่ออากาศ และสายยาง อาการสโตรคของเขาเป็นสัญญาณของโรคร้ายที่พบน้อยมากคือ Lock-In Syndrome โรคที่ไม่มีทางรักษา

ในชั่วพริบตา เขาก็กลายเป็นคนอัมพาตไปโดยสิ้นเชิง ช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นฝันร้ายในโลกจริง

โบบีอายุ 43 พ่อของลูกเล็กสองคน บรรณาธิการนิตยสารที่มีชื่อเสียงฉบับหนึ่ง เขารักการกินอาหารอร่อย แต่บัดนี้เขาต้องรับอาหารผ่านท่อยาง ชอบสนทนากับคนที่รัก แต่ตอนนี้เขาฟังโทรศัพท์จากคนรักโดยไม่สามารถตอบกลับได้

ใจรับรู้ ความคิดยังทำงาน แต่สมองไม่อาจสั่งการร่างกายได้ เขาสามารถทำได้เพียงขยับตาข้างซ้ายและกะพริบตาเท่านั้น

แต่เพียงการกะพริบตาก็ถือว่าเป็นของมีค่าเดียวที่เหลืออยู่

ในสถานการณ์ที่หากเกิดขึ้นกับใครก็ตาม น้อยคนคงอยากมีชีวิตต่อไป โบบีเริ่มกะพริบตา และกระทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เขาเขียนหนังสือ!


เขาเขียนหนังสือโดยการกะพริบตาสื่อสารกับคนอื่น และถ่ายทอดลงบนกระดาษ แต่ละกะพริบตาเป็นรหัสสำหรับแต่ละอักษร ใช้แต่ละอักษรเรียงร้อยเป็นคำ และต่อเนื่องเป็นวลี ประโยค ข้อความ และหนังสือหนึ่งเล่ม

โบบีไม่เอ่ยถึงความท้อแท้สิ้นหวัง หรือสงสารตัวเอง เขาเขียนอย่างสง่างาม อย่างมนุษย์ที่ไม่ก้มหัวให้ชะตากรรม สูญสิ้นแต่ไม่สิ้นหวัง มีอารมณ์ขันแม้ในห้วงยามที่แย่ที่สุด แม้รับอาหารผ่านสายยาง แต่เขาก็ยังเล่าถึงความสุขของการปรุงอาหาร การกินอาหารในภัตตาคาร กลิ่นหอมของเฟรนช์ ฟรายส์ ที่ชายหาด และวันพ่อในปีนั้น

ในวันพ่อปีนั้น ครอบครัวของโบบีพาเขาไปที่ชายหาด ลูกชายช่วยเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาจากปากของพ่อด้วยกระดาษทิชชู ลูกสาวคนเล็กจูบเขาและเอ่ยว่า "พ่อเป็นพ่อของหนูค่ะ" เขามองลูกเล่นขณะที่ภรรยากุมมือของเขา ความคิดของเขาลอยล่องออกไปไกลแสนไกล

โบบีเขียนในหน้าหนึ่งของหนังสือว่า แต่ก่อนเขาไม่เคยสนใจวันที่คนเราประดิษฐ์ขึ้นมาวันนี้ แต่ในวันที่เขาอยู่กับครอบครัววันนั้น เขานึกในใจว่า ถึงเขาจะพิการ แต่ก็ยังเป็นพ่อของลูก

เขาตั้งชื่อหนังสือว่า The Diving Bell and the Butterfly หนังสือที่บอกโลกว่า ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ คือชีวิตที่ยังมีความรัก คือชีวิตที่เป็นชีวิต


วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1997 The Diving Bell and the Butterfly ออกวางบนแผงหนังสือ เป็นใบไม้สีเขียวเล็กๆ ที่ผลิออกมาจากหัวใจที่อ่อนโยนดุจผีเสื้อ กับกำลังใจเข้มแข็งกว่าเหล็กไหล

ฌอง-โดมินิค โบบี จากโลกไปสองวันหลังจากหนังสือเล่มนี้ออกวางแผง

ชีวิตสั้นแสนสั้น และบางครั้งขรุขระยากลำเค็ญ แต่หากสามารถใช้ช่วงสั้นๆ นั้นอย่างไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมอันเลวร้าย มันก็เป็นชีวิตที่ดี


วินทร์ เลียววาริณ
//www.winbookclub.com
12 พฤศจิกายน 2548



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 22:55:36 น.
Counter : 633 Pageviews.

0 comment
คนที่มีความสุขที่สุดในโลก
คนที่มีความสุขที่สุดในโลก
คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ร่ำรวย
คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ
แต่คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ คนที่มีความสบายใจเท่านั้นเอง


และความหมายของความสบายใจ คือ
หนึ่ง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อว่าคุณมีดี คุณน่าคบหา
และคุณทำได้

สอง รู้จักตัวเอง ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเอง

และพร้อมจะปรับปรุงเสมอ

สาม ไม่ดื้อดึง ถ้าวันวานคุณเคยทำผิดพลาด

คุณก็ยินยอมเปลี่ยนแปลงและรับฟังคนอื่น


สี่ เห็นค่าของตัวเอง คุณไม่คิดว่าตัวเองช่างไร้ค่า
คุณจึงมีความสุขในใจเสมอ

ห้า วิ่งหนีความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าตกลงไปในความทุกข์
คุณก็รีบหาทางหลุดพ้น ไม่จมอยู่กับมัน

หก กล้าหาญเสมอ
คุณกล้าเปลี่ยนแปลงและกล้ารับมือกับสิ่งแปลกใหม่หรือปัญหาต่างๆ


เจ็ด มีความฝันใฝ่ เมื่อชีวิตมีจุดหมาย
คุณก็จะเดินไปบนถนนชีวิตอย่างมีความหวัง ไม่เลื่อนลอย

แปด มีน้ำใจอาทร
คุณพบความสุขในใจเสมอถ้าเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่น

โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เก้า นับถือตัวเอง
ไม่ดูถูกตัวเองด้วยการลดคุณค่าและทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อตัวเอง

สิบ เติมสีสัน สร้างรอยยิ้มให้ชีวิตของคุณและคนรอบข้าง
รู้จักหยอกล้อคนอื่น ๆ และตัวเองด้วย


ความสุขนั้นคือพอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง
และวางฝันของตัวเองตามกำลังที่ตนทำได้
การได้รับวัตถุและความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ทำให้คุณพึงพอใจและยกระดับฐานะของคุณเท่านั้น
เป็นการสร้างเสริมความสุขเพียงภายนอก
และมันมิได้อยู่กับคุณอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป

เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอไม่มีวันหยุดนิ่ง



ความสุขที่แท้จริงเกิดจากข้างในจิตใจของคนเรา

และถ้าจิตใจของคุณไม่ว่าง
เต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายต่าง ๆ ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
เพราะความสุขนั้นมักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบเสมอ
ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก
คุณสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้
ไม่ต้องมุ่งหวังยามแก่เฒ่า
ค่อยอยู่อย่างสงบสุขอย่างที่หลายคนเชื่อกัน
เชื่อเถอะ เราจะสามารถมีความสุขที่สุดในโลกได้ ในตอนนี้
ถ้าเราเริ่มจากตัวเราเอง !!!

ที่มา //www.tamdee.net/note/view2.php?No=514



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 22:55:02 น.
Counter : 633 Pageviews.

2 comment
//เลิฟ//woman//เลิฟ.... แม่....//เลิฟ//woman//เลิฟ....
//เลิฟ//woman//เลิฟ.... แม่....//เลิฟ//woman//เลิฟ....
ชายคนหนึ่งอาศัยอยู่กับแม่ของเขาที่ชรามากแล้ว
วันหนึ่งชายคนนั้นคิดในใจว่า
แม่ ของเขาแก่มากแล้ว
เป็น คนไม่มีประโยชน์และเป็นภาระสำหรับชีวิต เขา
เขาจึงวางแผนที่จะนำแม่ของเขาไปปล่อยทิ้งในป่า
เพื่อเขาจะได้สบายและดำเนินชีวิตของตนอย่างอิสระ

เช้าวันรุ่งขึ้น
เขาจึงเริ่มตามแผนการ
เขาแกล้งชวนแม่ไปหาสมุนไพรในป่า
แต่ดูเหมือนว่า แม่ของเขาจะรู้ว่า เขา คิดอะไรอยู่
นางจึงเก็บก้อนหิน สีสันสังเกตุง่าย ไปกับนางด้วย
ระหว่างทางนางแอบวางก้อนหินไว้ในที่ๆซึ่ง สังเกตุง่ายๆๆ

ด้วยความกลัวว่า แม่จะหาทางกลับบ้านได้
ชายคนนั้นจึงพาแม่เข้าไปในป่าลึก ที่
คดเคี้ยวยากแก่กานจดจำ
ที่สุด ก็ ถึงที่เขาแน่ใจ เขาจึงบอกแม่
ให้รอเขาตรงนั้น เขาจะไปหาน้ำมาให้

ขณะที่เขาจะก้าวเท้าออกไป
แม่ของเขา เรียกเขา และบอกว่า
" ลูกเอ๋ย แม่รู้ดีว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป
แม่คงไม่มีโอกาสเห็นหน้าลูกอีกแล้ว
ป่านี้มันคดเคี้ยวมาก ถ้าลูกไม่สังเกตดีๆๆ
ลูกอาจจะหลงทางได้
แต่ไม่ต้องห่วง แม่ ได้วางก้อนหินสีต่างๆๆ
ไว้ตามทาง
ถ้าลูกสังเกตุ ลูกจะกลับบ้านได้ถูก
และแม่รู้ดี ว่า
แม่คงเป็นภาระและทำความลำบากให้ลูก มาก
ดังนั้น เมื่อลูกกลับไป ก็ไปดำเนินชีวิตตามใจของลูก
และให้มั่นใจได้ว่า แม่จะไม่มีวันจำทางกลับบ้านได้เลย "

ชายคนนั้นเมื่อได้ฟังสิ่งที่ออกมาจากหัวใจแม่ของเขา
เขาก็สำนึกได้ว่า เขาคิดผิดไป
เขาก้มลงกราบแม่ของเขา
และพาแม่ของเขากลับบ้าน
และเลี้ยงดูแม่ของเขาอย่างดีที่สุด

**** ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
เป็น คุณธรรมชั้นสูงของมนุษย์
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้โดยการเลี้ยงดู
ปลูกฝังจากครอบครัว เป็นอันดับแรก
ที่ที่ มนุษย์จะรู้สึกปลอดภัย
และมีความสุขที่สุด ก็ คือ บ้าน **********

จากคุณ : คนเซ็ง

fw mail



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 22:54:25 น.
Counter : 633 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend