เรื่องของจิงโจ้
เรื่องของจิงโจ้

วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1324

อาหารสมอง

วีรกร ตรีเศศ Varakorn@dpu.ac.th

เรื่องของจิงโจ้

วันเวลาผ่านไป สิ่งที่ไม่นึกฝันก็เกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ใครจะเชื่อว่าเนื้อจิงโจ้จะกลายเป็นอาหารพิเศษขึ้นโต๊ะและมีราคาได้ เพราะเมื่อ 30-40 ปีก่อนคนออสเตรเลียเขาใช้เป็นอาหารสุนัข ไม่มีใครเขากินกันเพราะมันเป็นสัตว์น่ารำคาญทำลายพืชผลและมีอยู่ยั้วเยี้ยไปหมด ในเวลาค่ำคืนหากออกไปนอกเมืองไกลแค่ 50-60 ไมล์ ก็มีโอกาสขับรถชนจิงโจ้ (กระต่ายนั้นไม่ต้องพูดถึง โดนรถชนเพราะชอบโดดข้ามแสงไฟ) แม้แต่ปัจจุบันก็เถอะ ในบางเมืองสถานการณ์นี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

จิงโจ้ หรือ Kangaroo มิได้มีเพียงพันธุ์เดียว หากมีถึง 150 พันธุ์ มีตั้งแต่สูง 6 ฟุต จนถึงตัวเล็กเท่ากระต่าย ทั้งหมดมีลักษณะเฉพาะของมันก็คือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่มีแผ่นหนังคล้ายกระเป๋าอยู่ข้างหน้า (นักสัตววิทยาเรียกว่า Marsupials) มีขาหลังที่ยาวและแข็งแรง พร้อมกับมีหางที่เป็นกล้ามเนื้อแข็งแรง

"กระเป๋า" ใบนี้เป็นที่อยู่อาศัยของลูกตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนเมื่อคลอดออกมาใหม่ๆ จนถึงเกือบวิ่งได้เป็นปกติ เต้านมสำหรับลูกดูดก็อยู่ในบริเวณ "กระเป๋า" จิงโจ้จึงเป็นสัตว์ที่เรียกได้ว่าประหลาดกว่าสัตว์ทั้งปวง และมีอยู่แห่งเดียวในโลกเสียด้วยคือ ทวีปออสเตรเลีย (Australis เป็นภาษาละตินแปลว่า ใต้)

ที่มาของคำว่า Kangaroo นั้นน่าทึ่งและน่าขำในเวลาเดียวกันด้วย เรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาก็คือมันถูกเอ่ยในรายงานที่เป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกโดยกัปตัน James Cook ผู้บุกเบิกทวีปนี้ และพบมันเป็นครั้งแรกในตอนเหนือของรัฐ Queensland ในปัจจุบัน รายงานนี้ตีพิมพ์ใน ค.ศ.1773 (9 ปี ก่อนหน้ากรุงเทพฯ เป็นราชธานี)

ขณะที่กัปตัน Cook จอดซ่อมเรือใน Endeavour River ในรัฐ Queensland ใน ค.ศ.1770 ได้ถามคนพื้นเมือง (ชื่อที่เรียกกันก็คือ Aborigines) ว่าสัตว์ประหลาดที่กระโดดตุ๊บๆ นั้นมีชื่ออะไร ก็ได้คำตอบว่า Kangaroo ดังนั้น จึงถูกจดบันทึกว่าเป็นชื่อดั้งเดิมของมัน

สิ่งที่กัปตัน Cook ไม่รู้ก็คือ Kangaroo เป็นภาษาพื้นเมืองแปลว่า "ฉันไม่เข้าใจคุณ" (I don"t understand you) เรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากชื่อในแผนที่ไทยเก่าๆ ที่คนต่างประเทศเขียนชื่อแม่น้ำหลายสายว่า Menam River (เคยเห็นที่เขียนว่า Menam Chao Phaya River ด้วย) เรื่องนี้ก็คล้ายกับชื่อเมือง Yucatan ซึ่งมาจากคำตอบของคนพื้นเมืองว่า Tectatan ซึ่งแปลว่า "I don"t know"

ในเวลาต่อมามีผู้ศึกษาหลักฐานการบันทึก และพบว่านักธรรมชาติวิทยาชื่อ Joseph Bank ที่เดินทางมากับกัปตัน Cook เป็นผู้จดบันทึกชื่อของสัตว์ประหลาดนี้เป็นคนแรกในโลก โดยปรากฏในบันทึกประจำวันเมื่อ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1770 ว่า "Kill Kangaru" ในขณะที่กัปตัน Cook บันทึกในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกันว่าสัตว์นี้คนพื้นเมืองเรียกชื่อว่า Kangooroo หรือ Kanguru

ปัญหาปวดหัวก็คือผู้บุกเบิกอีกกลุ่มหนึ่งในเวลาใกล้กันที่ Botany Bay ในรัฐ New South Wales ปัจจุบัน รู้สึกแปลกใจที่คนพื้นเมืองแถวนั้นไม่รู้จักคำว่า Kangaroo ดังนั้น จึงเกิดเป็นเรื่องเล่ากันว่า กัปตัน Cook ได้ชื่อดั้งเดิมของสัตว์นี้มาผิดพลาด

หลายปีผ่านไปจึงเข้าใจว่า Aborigines นั้นมีหลายเผ่าพันธุ์ มีภาษาท้องถิ่นนับเป็นร้อย ดังนั้น คำว่า Kangaroo จึงอาจถูกต้อง เมื่อมีการสำรวจภาษาของ Aborigines เมื่อไม่นานมานี้อย่างกว้างขวางจึงรู้ว่าภาษาของกลุ่มคนพื้นเมืองที่กัปตัน Cook ผ่านพบนั้นมีชื่อว่า Guugu Yimidhirr และคำว่า Ganjurru เป็นชื่อเรียกสัตว์ประหลาดตัวใหญ่สีเทากระโดดตุ๊บๆ อย่างว่าเป็นพิเศษ มิใช่เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์ประเภทนี้รวมๆ กันไป
กล่าวโดยสรุปก็คือทั้ง Cook และ Bank ไม่ผิดพลาดเพียงแต่ใช้ชื่อ Kangaroo เรียกสัตว์พันธุ์นี้โดยรวม ทั้งๆ ที่จริงแล้วมันมีถึง 150 พันธุ์และมากันในทุกขนาด


นอกจากความสงสัยในชื่อของ Kangaroo แล้ว ผู้คนยังสงสัยคำว่า Kangaroo Court ซึ่งหมายถึงการขึ้นศาลที่มีกระบวนการไม่ทำให้เกิดความยุติธรรมหรือไม่มีการขึ้นศาลเลย แต่ใช้ความรุนแรงจัดการกันไปเอง คำในภาษาไทยที่ใกล้ที่สุดคือศาลเตี้ย (ทำไมศาลจึงต้องเตี้ย และทำไมคำว่าศาลจึงหมายถึงนามธรรม และตัวผู้พิพากษาก็ได้ เหตุใดจึงเพิ่งมีคำนี้ในภาษาอังกฤษทั้งๆ ที่วิธีการนี้มีมานานอาจนับพันปีแล้วก็ได้ในประวัติศาสตร์

เมื่อคำว่า Kangaroo เกิดขึ้นใน ค.ศ.1770 ดังนั้น Kangaroo Court ก็ต้องเกิดหลังนั้นโดยมีอายุไม่เกินกว่า 200 ปีเศษ อย่างแน่นอน

ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าคำนี้เกิดขึ้นเมื่อใด และมาเกี่ยวพันกับจิงโจ้จากออสเตรเลียได้อย่างไร แต่ที่รู้แน่นอนก็คือเป็นคำอเมริกันที่แพร่กระจายผ่านผลผลิตของฮอลลีวู้ด

บ้างก็ว่าที่เรียกเช่นนี้เพราะ "ศาล" เกิดขึ้นเป็นแห่งๆ โดดจากโน่นไปนี่เหมือนจิงโจ้กระโดด หรือว่า "ศาล" นี้ผิดธรรมชาติซึ่งคล้ายกับจิงโจ้ที่มีหน้าตาและพฤติกรรมแปลกประหลาดจากสัตว์อื่นๆ

อย่างไรก็ดี หลักฐานที่ค้นกันได้ก็คือคำนี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือชื่อ A Stray Yankee in Texas โดย Philip Paxtion ใน ค.ศ.1853 "...โดยการลงคะแนนที่เป็นเอกฉันท์ ผู้พิพากษา G ก็ได้รับเลือก และ "Mestang" หรือ "Kangaroo Court" ก็ถูกนำมาใช้เป็นระยะๆ..."

คำว่า "Mestang" หรือ Mastang คือม้าป่าที่ถูกทำให้เชื่องลง เมื่อถูกนำมาเทียบเคียงกับ Kangaroo จึงมีนัยของความป่าเถื่อนแข็งแกร่งปนอยู่ เมื่อเกิดการตื่นขุดทองในแคลิฟอร์เนีย ในปี 1849 มีชาวออสเตรเลียจำนวนไม่น้อยมาร่วมขุดทอง จึงเป็นไปได้ว่าจะมีเรื่องการโดดของ Kangaroo เข้ามาเกี่ยวพันด้วย เพราะศาลเตี้ยในยุคนั้นใช้กำจัดคนที่ไปขุดทองในที่ดินคนอื่นอย่างผิดกฎหมาย โดยเรียกว่า Claim-Jumpers

อีกไม่นานคนไทยคงได้บริโภคเนื้อจิงโจ้กันแน่นอนจาก FTA ที่ไทยทำกับออสเตรเลียเสร็จสิ้นไปแล้ว ต่อไปอาจมีลาบจิงโจ้ จิงโจ้แดดเดียว หรือก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อยหางจิงโจ้บริโภคกัน

อาหารทำจากจิงโจ้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะไอ้ตูบเพื่อนสุดรักของเราในออสเตรเลียก็บริโภคกันมา 100-200 ปีแล้ว ที่น่าสงสารก็คือต่อไปคนไทยจะไปร่วมแย่งมันกินอีกจนต้องอาจพูดว่า... Ding-Ding, honey, I am so sorry... (ข้อมูลหลักจาก Posh ของ Michael Quinton)

เครื่องเคียงอาหารสมอง

ต่อไปถ้าท่านคิดว่าโรงแรมใดขูดรีดกับท่านอย่างไม่เป็นธรรม ท่านอาจใช้ตรรกะต่อไปนี้ก็ได้

สามีภรรยาคู่หนึ่งขับรถจากฝั่งตะวันตกไปตะวันออกของสหรัฐอเมริกา หลังจากสลับกันขับรถมาไกลแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทั้งสองก็เหนื่อยอ่อนจนต้องหยุดนอนพักในโรงแรมชั้นดีแห่งหนึ่ง พอนอนพักได้แค่ 4 ชั่วโมงก็ตื่นเพื่อจะขับรถต่อไป พอเช็คเอาท์ก็ได้เรื่อง โรงแรมคิดเงิน 350 เหรียญ (14,000 บาท) สามีโกธรมากที่โดนขูดรีด จึงถามว่าเหตุใดมันจึงมีราคาแพงหูดับเช่นนี้ โรงแรมมันดีนะใช่ แต่ยังไงๆ มันก็ไม่น่าถึง 350 เหรียญ

เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าเป็นราคามาตรฐาน สามีจึงขอพูดกับผู้จัดการๆ ก็รับฟังคำโต้แย้ง และก็อธิบายว่าโรงแรมแห่งนี้มีสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานโอลิมปิค มีห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ทั้งสามีภรรยาสามารถไปใช้ได้ "แต่เราไม่ได้ใช้มันนี่" สามีเถียง "แต่มันก็คือสิ่งที่คุณอาจใช้ได้ถ้าต้องการ นอกจากนี้ เรายังมีการแสดงชั้นยอดจากนิวยอร์ก ฮอลลีวู้ด และลาสเวกัส ให้ดูอีกด้วย" "แต่เราไม่ได้ดูไอ้โชว์ที่คุณว่านี่" ผู้จัดการก็ยังยืนยันอีกว่า "มันเป็นบริการที่คุณอาจใช้ได้ถ้าต้องการ แต่คุณไม่ใช้มันเอง" ก็เถียงกันตามตรรกะนี้ไปมาจนอ่อนใจเพราะผู้จัดการไม่ยอมถอย ในที่สุดสามีก็ยอมเขียนเช็คให้

เขาเขียนเช็คและส่งให้ผู้จัดการ แต่เมื่อผู้จัดการรับเช็คมาก็แปลกใจเพราะสั่งจ่ายแค่ 50 เหรียญ จึงถามว่า "ทำไมจ่ายแค่ 50 เหรียญ ในเมื่อราคาที่เราคิดคือ 350" สามีก็ตอบว่า "ผมคิดเงิน 300 เหรียญสำหรับการนอนกับเมียผม" "แต่ผมเปล่านะครับ" ผู้จัดการรีบตอบ

"แหมคุณ เธอก็นอนอยู่ในห้อง คุณอาจใช้บริการก็ได้ถ้าต้องการ แต่คุณไม่ใช้เองนี่"

(ขอบคุณ คุณดาวรี กาญจนเพ็ชร ที่ส่งมา)


น้ำจิ้มอาหารสมอง

No honest man ever repented of his honesty.

ไม่มีคนซื่อสัตย์ที่แท้จริงคนใดรู้สึกเสียใจกับความซื่อสัตย์ที่เขาได้กระทำไปในอดีต




Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2551 14:15:58 น.
Counter : 2652 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend