คนโบราณทำอย่างไรไม่ให้ท้อง
คนโบราณทำอย่างไรไม่ให้ท้อง
คนในสมัยโบราณใช้การบุกเข้ายึดบ้านเมืองอื่นเป็นเครื่องมือในการได้มาซึ่งผู้คนที่มีความสามารถในด้านการผลิต ในด้านศิลปะ ดนตรี หรือผู้มีความรู้ในด้านเทคนิคบางอย่าง เช่น ต่อเรือ หล่อปืน หรือโลหะ ฯลฯ (คนปัจจุบันเรียกว่าการฝังตัวของความรู้ในตัวคน) หรือได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าที่ดิน ซึ่งมีอยู่มากมายเป็นป่าเป็นเขา อย่างไรก็ดี ในขณะเดียวกัน ในระดับย่อยคือครอบครัว หลายบ้านกลับไม่ต้องการมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเพราะอาจทำให้ลำบากยากเข็ญมากขึ้น
ความกินดีอยู่ดีของทุกสังคมในทุกยุคของประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับการมีความสมดุลระหว่างจำนวนประชากรและปริมาณสินค้าที่สังคมนั้นสามารถผลิตขึ้นมาให้บริโภค ซึ่งอย่างหลังนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางสังคม การเมือง และคุณภาพของประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ เมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงข้ามเวลาแล้ว ความกินดีอยู่ดีของสมาชิกอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะจะต้องรักษาความสมดุลดังกล่าวไว้อยู่เสมอ
ในระดับครอบครัว ในยุคโบราณการมีลูกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนอาจหมายถึง การอดตายก็เป็นได้ ทั้งนี้ เพราะครอบครัวก็มีชีวิตที่ไม่มั่นคงอยู่แล้ว อายุขัยเฉลี่ยก็ต่ำ ปริมาณอาหารที่มีอยู่ก็จำกัดและไม่แน่นอนขึ้นกับดินฟ้าอากาศ อีกทั้งยังมีทรัพยากรที่จำกัดสำหรับการรักษาความป่วยไข้ที่มีอยู่ดาษดื่นอีกด้วย ดังนั้น การควบคุมจำนวนสมาชิกครอบครัวจึงเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อผมดูภาพยนต์หรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับผู้คนเมื่อหลายพันหรือหลายร้อยปีก่อนก็สงสัยทุกครั้งว่าคนเหล่านี้มีการป้องกันไม่ให้ท้องกันหรือไม่อย่างไร
เมื่อได้พบข้อเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ของ Contraception ถูกใจ(History Magazine, March 2002) จึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง
มนุษย์รู้มานานแล้วว่าอะไรทำให้ท้องและก็พยายามมานานแล้วที่จะยังคงกระทำอย่างนั้นแล้วไม่ให้ท้องขึ้น
ในสมัยอียิปต์เมื่อ 1,800 ปีก่อนคริสต์ศักราช(เกือบ 4 พันปีก่อน) เอกสารที่มีชื่อว่า Kahun Medical Papyrus ระบุให้ใช้มูลจระเข้วางบนผ้าชิ้นบางๆ ที่ชื้นและเอาไปใส่ไว้ในช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์ก็จะป้องกันไม่ให้ท้องได้
เอกสารอีกชิ้นหนึ่งที่มีอายุหลังประมาณ 300 ปี ระบุให้ใช้ยางชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Acacia ผสมกับผลอินทผลัมบดน้ำผึ้ง และเอาวางบนหนังแกะชิ้นเล็กและใส่ในช่องคลอดก็จะบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน(ตำรับนี้น่าสนใจเพราะ Acacia หมักจะกลายเป็น Lactic acid ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในยาฆ่าอสุจิในปัจจุบัน)
ในสมัยกรีกโบราณ บิดาแห่งการแพทย์ Hippocrates แนะนำให้ผู้หญิงกินดอกและใบของต้นไม้ที่มีชื่อว่า Queen Anne"s Lace หรือต้นแครอตป่าเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
แม้แต่ในปัจจุบัน ผู้หญิงในชนบทบางแห่งของรัฐนอร์ทแคโรไลนาก็กินเมล็ดของพืชนี้ เช่นเดียวกับผู้หญิงอินเดียที่เคี้ยวเมล็ดแห้งของมัน ผู้หญิงจีนโบราณกินปรอท ตะกั่ว ผลิตภัณฑ์จากต้นหลิว(Willow) ต้น Pennyroyal และกะหล่ำปลีเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
ในแถบ New Brunswick ของแคนาดา ฝ่ายหญิงจะบริโภคลูกอัณฑะแห้งของตัวบีเวอร์โดยผสมกับเหล้า ที่น่าสนใจก็คือมันมี Testosterone ซึ่งเป็นฮอร์โมนป้องกันไม่ให้ไข่ของฝ่ายหญิงสุก
สำหรับพ่อยอดชายทั้งหลายที่โชคดีไม่ได้เป็นคนท้องแต่มิได้ลดความเป็นตัวดีลงนั้น ถุงสวมอวัยวะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการป้องกันตั้งครรภ์และป้องกันติดเชื้อโรค การเริ่มใช้เกิดขึ้นในประมาณ ค.ศ.1600 (ฝรั่งที่เข้ามาจำนวนมากในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อประมาณ 400 ร้อยปีก่อนเป็นผู้นำถุงอนามัยเข้ามาให้คนไทยรู้จักและมีการใช้กันตั้งแต่สมัยนั้น?) โดยในตอนแรกมีวัตถุประสงค์ป้องกันการติดเชื้อโรคมากกว่า
ถุงอนามัยในยุคนั้นทำจากไส้แกะซึ่งเป็นเนื้อเยื่อ และมีเชือกผูกรัดถุงยางไว้กับโคนอวัยวะเพศเพื่อไม่ให้หลุด(คนยุคปัจจุบันควรพอใจในสิ่งที่ใช้อยู่เพราะคงจินตนาการได้ว่าในสมัยก่อนมันทุลักทุเลเพียงใด)
ในกลางศตวรรษที่ 18 ถุงดังกล่าวมีขายในร้านพิเศษ และเหล่าโสเภณีในอังกฤษใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพที่สำคัญ(ตรงกับช่วงเวลากรุงแตกครั้งที่สอง)
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือกลางศตวรรษที่ 18 ที่นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษชื่อ Goodyear ค้นพบวิธีทำให้ยางนิ่มและเหนียว ดังนั้น จึงเปลี่ยนมาใช้ยางทำถุงอนามัยและเกิดอุตสาหกรรมถุงยางอนามัยขึ้น มีราคาถูกลง มีการใช้อย่างกว้างขวางขึ้น ถึงกับมีการโฆษณาว่า "ล้างและใช้ใหม่ได้" ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 (ค.ศ.1900)
ในตอนแรก การใช้ถุงอนามัยในหมู่โสเภณีเพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคทำให้ผู้คนมีความรู้สึกไม่ดีกับถุงอนามัย แต่เมื่อมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ ความนิยมก็เพิ่มขึ้นสำหรับใช้วางแผนครอบครัว
อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่อายจึงสั่งซื้อกันทางไปรษณีย์(โดยไม่ให้ระบุสิ่งที่อยู่ข้างในกล่องพัสดุภัณฑ์) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนในทวีปอเมริกาเหนือ(อเมริกันและคนแคนาดา)
อีกวิธีหนึ่งของการป้องกันตั้งครรภ์ของผู้หญิงในศตวรรษที่ 17 ก็คือ การใช้ฟองน้ำ ผ้าฝ้ายหรือผ้าขนแกะซับอสุจิก่อนที่จะเข้าไปในมดลูก และพบว่าหากชุบน้ำมะนาวหรือน้ำส้ม(Vinegar) ก็จะทำให้ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การใช้แผ่น Diaphragms ครอบมดลูก เพื่อไม่ให้อสุจิหลุดเข้าไปในมดลูกได้ เริ่มมีขึ้นในประมาณ ค.ศ.1850 โดยใช้แผ่นยางครอบก่อนมีเพศสัมพันธ์ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมเหตุเพราะต้องมีการเตรียมตัวไว้ก่อน ซึ่งการกระทำเช่นว่าถือว่าไม่งามในยุคนั้น
นอกจากนี้ ก็มีการใช้มะนาวผ่าครึ่งบีบน้ำออกและสอดเข้าไปแทนแผ่น Diaphragms ซึ่งน่าจะได้ผลบ้างเพราะมะนาวมีกรด citric ซึ่งฆ่าอสุจิได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่า Pessaries เกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 โดยมาจากภูมิปัญญาของคนอาหรับที่รู้มา 3 พันปีแล้วว่าถ้าเอาก้อนหินใส่ลงไปในมดลูกของอูฐตัวเมียยามเดินทางไกลก็จะสามารถป้องกันการท้องได้(ของอูฐครับไม่ใช่ของคนใส่ก้อนหิน) ไอเดียนี้จึงนำไปสู่การประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่า IUD(intra-uterine device) และ ICD(intra-cervical device)
สิ่งประดิษฐ์เป็นเส้นลวดที่เรียกว่า IUD นั้นวางไว้ทั้งหมดในมดลูก ในขณะที่ ICD ไม่อยู่ในมดลูกทั้งหมดโดยมีสองขาและมีปุ่มอยู่ตอนปลาย ไอเดียก็คือป้องกันมิให้ตัวอ่อนที่เกิดจากการผสมเกาะผนังมดลูกได้ ในตอนแรกทั้ง IUD และ ICD ทำจากยาง แก้ว และโลหะ ในสมัยหนึ่งกลัวการเกิดสนิมจน ICD ทำด้วยทองคำ 14 กะรัต อย่างไรก็ดี ICD ไม่ได้รับความนิยมเท่า IUD จึงเลิกใช้ไปในที่สุด
Giacomo Casanova หรือคาซาโนวา นักรักผู้ยิ่งใหญ่แห่งปลายศตวรรษที่ 18 ว่ากันว่าใช้ถุงอนามัยอย่างระมัดระวังมาก เพราะกลัวการติดเชื้อและไม่ต้องการมีลูกกับใคร
ตลอดเวลา 15 ปีของชีวิตรัก เขาจะใช้ลูกบอลทองคำแท้สองลูกใหญ่ขนาดเกือบเท่าหัวแม่มือใส่ไว้ในช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการท้อง เพราะเชื่อว่าทองคำจะทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีสร้างความเป็นกรดในช่องคลอดจนฆ่าอสุจิตายหมด(นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยืนยันว่าทองคำไม่ก่อให้เกิดผลดังว่า แต่อาจมีผลปิดกั้นไม่ให้อสุจิหลุดเข้าไปผสมกับไข่ได้)
การป้องกันตั้งครรภ์ในปัจจุบันสะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งด้วยยากินซึ่งเป็นสิ่งที่คนในยุคโบราณพยายามแต่ไปได้ไม่ถึง อย่างไรก็ดี ถ้าไม่มีไอเดียเริ่มต้นบางอย่างที่เข้าท่าจากคนเหล่านี้แล้ว ป่านนี้พวกเราอาจใช้ทองคำกันเปลืองกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะมัวแต่เลียนแบบคาซาโนวาอยู่ก็เป็นได้
ข้อมูลจาก
หนังสือพิมพ์มติชน