โทษประหารชีวิต 21 สถาน
โทษประหารชีวิต 21 สถาน

เนื้อความ วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม

สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก
ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด

สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย

สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน)ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย

สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดค! รูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก

สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า

สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้ กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย

สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย



Create Date : 28 ตุลาคม 2550
Last Update : 28 ตุลาคม 2550 16:13:07 น.
Counter : 807 Pageviews.

0 comment
Follow your dreams
Follow your dreams

เล่าถึงเด็กชายอายุ 16 ปี คนหนึ่ง ชื่อว่า มอนตี้

>ซึ่งคุณครูสั่งให้เขียนเรียงความเรื่อง "
>โตขึ้นอยากเป็นอะไร "
>มอนตี้ก็เขียนบรรยายไป 7หน้ากระดาษ
>ถึงความฝันของเขาที่จะเป็นเจ้าของคอกม้า
>พร้อมด้วยบ้านพื้นที่ 4,000 ตารางฟุต บนเนื้อที่ 200 เอเคอร์
>เขาบรรยายพร้อมกับวาดแผนผังแสดงรายละเอียดไว้ทุก ๆ ส่วน
>แต่เมื่อเขานำไปส่งกลับได้คะแนน " F "
>และเรียกให้ไปพบหลังเลิกเรียน
>หลังเลิกเรียน มอนตี้ ก็เขาไปพบคุณครู
>และถามว่าทำไมเรียงความของเขาจึงได้ " F "
>ก็ได้รับคำตอบว่า
>สิ่งที่เขาเขียนนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
>เพราะมันต้องใช้เงินมากมายเกินกว่าฐานะของครอบครัวของมอนตี้จะสามารถทำได้
>
>แม้ว่ามอนตี้จะชี้แจงให้ฟังว่ามันเป็นแค่ความฝันของเขา
>แต่คุณครูไม่รับฟังและขอให้มอนตี้ไปเขียนเรียงความมาใหม่
>โดยขอให้เขียนถึงเรื่องที่มันพอจะเป็นไปได้บ้างแล้วจะแก้คะแนนให้
>มอนตี้ก็กลับบ้านและนำปัญหานี้ไปปรึกษากับพ่อของเขา
>ซึ่งพ่อของเขาก็ให้คำตอบว่า "
>เรื่องนี้พ่อคงช่วยอะไรลูกไม่ได้
>มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกเอง
>แต่พ่อมีความรู้สึกบางอย่างว่า
>
>
>การตัดสินใจของลูกครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่ออนาคตของลูกอย่างแน่นอน"
>มอนตี้ ไคร่ครวญกับเรื่องนี้อยู่เป็นสัปดาห์
>ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
>เขานำเรียงความเรื่องเดิมไปส่งคุณครูพร้อมกับพูดว่า "
>ให้คะแนน F กับผมก็แล้วกัน ผมจะรักษาความฝันของผมไว้ "
>มอนตี้เล่าเรื่องนี้ให้กับผู้มาเยือนเขาฟังพร้อมกล่าวว่า
>
>
>
>"ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟังเพราะว่าขณะนี้คุณกำลังนั่งอยู่หน้าเตาพิงในบ้าน
>พื้นที่ 4,000 ตารางฟุต ซึ่งตั้งอยู่กลางคอกม้าเนื้อที่
>200 เอเคอร์ และเรียงความ 7 หน้ากระดาษนั้นได้ใส่กรอบเรียงอยู่เหนือเตาพิง "
>
>และเขาได้เล่าต่อว่า " ที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ
>ในฤดูร้อนเมื่อสองปีที่แล้ว คุณครูคนเดิมพาเด็กนักเรียน
>30 คนมาพักค้างแรมที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
>ก่อนจากไปท่านพูดกับผมว่า
>มอนตี้ สมัยครูเป็นครูของเธอ ครูคงเป็น นักขโมยความฝัน
>ครูเสียใจนะที่ครูได้ขโมยความฝันของเด็ก ๆ ไปตั้งมากมาย
>แต่ครูก็ดีใจที่เธอไม่ยอมให้ครูขโมยความฝันของเธอ " "
>เดินไปตามความฝันของคุณอย่ายอมให้ใครขโมยมันไปได้ "
>
>เรียบเรียงจากบทความเรื่อง "follow your dreams"



Create Date : 28 ตุลาคม 2550
Last Update : 28 ตุลาคม 2550 16:12:21 น.
Counter : 631 Pageviews.

0 comment
ใครสักคน เพื่อเรียนรู้ แต่ไม่เปลี่ยนแปลง
ใครสักคน เพื่อเรียนรู้ แต่ไม่เปลี่ยนแปลง

การที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครสักคน
ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม
สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ
“คน” เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในนั้น
อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว
อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง ที่ทุกคนอยากให้เป็น
อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว. . . คนเดียว ....
อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป
เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง
อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป
เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด
อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้
เพราะถ้าคนๆนั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้
คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที

เธอ. . . ลองมองดูฉันดีๆ ฉันมีลมหายใจ
ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา
ฉันเองก็เป็น “คน” เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้าน. . . เช่นกัน
...อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง...

fw mail



Create Date : 28 ตุลาคม 2550
Last Update : 28 ตุลาคม 2550 16:11:49 น.
Counter : 679 Pageviews.

0 comment
ห้าบทเรียนในการปฏิบัติต่อผู้อื่น
ห้าบทเรียนในการปฏิบัติต่อผู้อื่น

Five lessons to make you think about the way we treat people.
>ห้าบทเรียนในการปฏิบัติต่อผู้อื่น

>

>1. First Important Lesson - Cleaning Lady.

>1. บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด

>

>During my second month of college, our professor gave us a pop quiz. I was

>เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในวิทยาลัยได้สองเดือน อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง

>a conscientious student and

>ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน

>had breezed through the questions, until I read the last one:

>จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามสุดท้าย

>"What is the first name of the woman who cleans the school?"

>"สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร?"

>

>Su! rely this was some k ind of joke. I had seen the cleaning woman several

>ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่ ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง

>times. She was tall, dark-haired and in her 50s, but how would I know her

>เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุกว่า 50 แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร?

>name? I handed in my paper, leaving the last question blank. Just before

>ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย

>class ended, one student asked if the last question would count toward our quiz grade.

>ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่

>

>"Absolutely," said the professor. "In your careers, you will meet many people.

>"แน่นอน" อาจารย์ตอบ "เมื่อเธอเข้าทำงาน เธอจะต้องพบกับคนมากมาย

>All are significant.

>ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอ

>They deserve you! r attention and care, even if all you do is smile and say " hello".

>ที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่ แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"

>I've never forgotten that lesson. I also learned her name was Dorothy.

>ฉันไม่เคยลืมบทเรียนนั้นเลย และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี

>

>2. Second Important Lesson - Pick-up in the Rain

>2. บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน

>

>One night, at 11:30 p.m., an older African American woman was standing on

>คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น. สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวง

>the side of an Alabama highway trying to endure a lashing rainstorm. Her

>สาย อลาบามา พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่

>car had broken down and she desperately needed a ride.

>รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก

>So! aking wet, she decided to fla g down the next car. A young

>แม้จะเปียกโชก เธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา

>white man stopped to help her, generally unheard of in those

>ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง

>conflict-filled 1960s. The man took her to safety, helped her get assistance and put her into a taxicab.

>เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่ 60 ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่

>

>She seemed to be in a big hurry, but wrote down his address and thanked

>แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขา และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย

>him. Seven days went by and a knock came on the man's door. To his

>เจ็ดวันหลังจากนั้น ก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา

>surprise, a giant console

>ด้วยความประหลาดใจ โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหน! ึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขา

>colour TV was delivered to his home. A special note was attached. It read:

>และมีข้อความแนบมาด้วย ใจความว่า:

>"Thank you so much for assisting me on the highway the other night.

>"ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น

>The rain drenched not only my clothes, but also my spirits. Then you came

>ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย

>along. Because of you, I was able to make it to my dying husband's bedside

>แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต

>just before he passed away. God bless you for helping me and unselfishly

>ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน

>serving others,"

>และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ"

>

>Sincerely, M! rs. Nat King Cole.

>ด้วยความจริงใจ นาง แนท คิง โคล

>

>3. Third Important Lesson - Always remember those who serve.

>3. บทเรียนสำคัญที่สาม - ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ

>

>In the days when an ice cream sundae cost much less, a 10

>ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก

>year-old boy entered a hotel coffee shop and sat at a table. A waitress put

>เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ

>a glass of water in front of him. "How much is an ice cream sundae?" he

>เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า "ไอศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ?"

>asked. "Fifty cents," replied the waitress. The little boy pulled his hand

>"ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบ แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า

>out of his pocket and studi! ed the coins in it.

>แล้วก็นับเ หรียญในมือ

>

>"Well, how much is a plain dish of ice cream?" he inquired. By

>"งั้น ไอศครีมเปล่าๆล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีก

>now more people were waiting for a table and the waitress was growing impatient.

>ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน

>

>"Thirty-five cents," she brusquely replied. The little boy again counted his coins.

>"สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง

>

>"I'll have the plain ice cream," he said. The waitress brought

>"ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอา

>the ice cream, put the bill on the table and walked away. The boy finished

>ไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป

>the ice cream, paid the cashier and left. When the waitress came back, she!

>เด็กชายทา นไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไป เมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา

>began to cry as she wiped down the table.

>เธอก็เริ่มร้องให้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะ

>

>There, placed neatly beside the empty dish, were two nickels and five

>บนโต๊ะนั้น มีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างจานเปล่านั้น

>pennies. You see, he couldn't have the sundae, because he had to have enough left to leave her a tip.

>เห็นไหมว่า เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น

>

>4.Fourth Important Lesson - The Obstacles in Our Path.

>4. บทเรียนสำคัญที่สี่ - สิ่งที่กีดขวางทางของเรา

>

>In ancient times, a King had a boulder placed on a roadway. Then he hid

>ในยุคโบราณ มีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อย! ู่

>himself and watched to see if anyone would remove the huge rock.

>เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง

>Some of the king's wealthiest merchants

>เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา

>and courtiers came by and simply walked around it.

>ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป

>

>Many loudly blamed the King for not keeping the roads clear, but none did

>พวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานา ที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี

>anything about gett g the stone out of the way.

>แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง

>

>Then a peasant came along carrying a load of vegetables. Upon approaching

>จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา เมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง

>the boulder, the peasant laid down his burden a ! nd tried to move the stone

>แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง

>to the side of the road.

>

>After much pushing and straining, he finally succeeded.

>หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ

>

>After the peasant picked up his load of vegetables, he noticed

>เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา เขาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่

>purse lying in the road where the boulder had been. The purse contained

>many gold coins and a note from the King indicating that the gold was

>ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา เขียนไว้ว่า ทองในถุงนั้น

>for the person who removed the boulder from the roadway. The

>เป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน

>peasant learned what many of us never understand!

>ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้

>

>Every obstacle pre! sents an opportunity to improve o condition.

>ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่ราจะดีขึ้น ให้กับเรา

>

>5. Fifth Important Lesson - Giving When it Counts.

>5. บทเรียนสำคัญที่ห้า - ให้เมื่อมีค่า

>

>Many years ago, when I worked as a volunteer at a hospital, I

>หลายปีมาแล้ว เมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

>got to know a little girl named Liz who was suffering from a rare & serious

>ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็น

>disease. Her only chance of recovery appeared to be a blood transfusion

>โอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอ

>from her 5-year-old brother, who had miraculously survived the same

>ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่า งปาฏิหารย์ จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูม! ิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา

>disease and had developed the

>antibodies needed to combat the illness. The doctor explained the situation

>หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟัง และถามเด็กชายว่า เขาต้องการจะ

>to her little brother, and asked the little boy if he would be willing to give his blood to his sister.

>ให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่

>I saw him hesitate for only a moment before taking a deep breath and

>ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า

>saying, "Yes I'll do it if it will save her." As the transfusion

>"ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้"

>progressed, he lay in bed next to his sister and smiled, as we all did,

>เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆพี่สาว ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้ม

>seeing the colour returning to he r cheeks. Then his face grew pale and his smi! le faded.

>ของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป

>

>He looked up at the doctor an asked with a trembling voice,

>เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ

>"Will I start to die right away?".

>"ผมกำลังจะตายใช่ไหม?"

>Being young, the little boy had misunderstood the doctor; he

>ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป

>thought he was going to have to give his sister all of his blood in order to save her.

>เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อช่วยชีวิตเธอ

>

>Now you have 2 choices

>ตอนนี้คุณมีทางเลือกสองทาง

>

>1. Delete this email, or

>1. ลบข้อความนี้ไป หรือ

>

>2. Forward it to people you care about.

>2. ส่งข้อความนี้ให้ กับคนที่คุณห่วงใย

>

>I hope that you will choose No. 2 and ! remember, "Work like you don't need the money, love like you've never been hurt, and dance like you do when nobody's watching."

>ฉันหวังว่าคุณจะเลือกข้อ 2. และจดจำไว้ว่า "ทำงานให้เหมือนกับคุณไม่ต้องการเงิน รักให้เหมือนกับคุณไม่มีวันจะเจ็บปวดกับมัน และเต้นรำให้เหมือนกับไม่มีใครมองคุณอยู่"

>

>

>NOW more than ever - Peace...May God bless you

>

>และตอนนี้ เหนือสิ่งอื่นใด - สันติ ... ขอให้พระเจ้าอวยพรแด่คุณ

fw mail



Create Date : 28 ตุลาคม 2550
Last Update : 28 ตุลาคม 2550 16:11:14 น.
Counter : 712 Pageviews.

0 comment
หนังสือของ อ.ระพี
หนังสือของอ.ระพี

คอลัมน์ เก็บเรื่องมาเล่า

โดย ชนา ชลาศัย



นิตยสาร "หนอนหนังสือ" ฉบับพ.ค. 2531 อ.ระพี สาคริก "บิดาแห่งกล้วยไม้ไทย" เขียนเล่าเรื่อง "หนังสือกับชีวิต" ไว้อย่างเพลิดเพลิน ที่น่าสนใจคือตำรากล้วยไม้เล่มแรกในชีวิต

ในวัยเด็กอ.ระพี มีหนังสือที่รักและประทับใจ 3 เล่ม คือ ฟิสิกส์ เคมี และคณิตศาสตร์ ครั้นเติบใหญ่ขึ้นเริ่มรู้สึกว่าหนังสือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ได้มองในแง่วัตถุ ถึงขนาดว่าเก็บหนังสือไว้ในตู้เสื้อผ้าช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

สำหรับการศึกษาวิชากล้วยไม้ อ.ระพีไม่ได้ร่ำเรียนมาจากสถาบันใด เริ่มศึกษาด้วยตนเอง ตั้งแต่ช่วงปี 2490 ขณะทำงานอยู่ในชนบท โดย ใช้เวลาว่างเย็นๆ ค่ำๆ เล่นกล้วยไม้และค้นคว้าหา ความรู้ไปในตัว

"ขณะนั้นความรู้เรื่องกล้วยไม้ก็หาได้ยากมาก คนที่รู้ก็หาใช่ว่าจะรู้จริง แถมยังปิดบังและมีการแบ่งชั้น คนรวย คนจน คนมือเก่ามือใหม่ คนเด็ก คนผู้ใหญ่อย่างน่ารำคาญ

ผมสืบเสาะจนทราบว่า มีหนังสือตำราการ เลี้ยงกล้วยไม้ในรูปแบบที่ต้องการ คือหนังสือชื่อ "American Orchid Culture" เรียบเรียงโดย ศ.เอ็ดเวิร์ด เอ.ไวท์ แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา พ.ศ.2491 จึงได้สู้อุตส่าห์เก็บออมเงินค่าจ้างที่ได้รับจำนวนหนึ่ง ให้บริษัทณรงค์และบุตร ที่สี่พระยา ซึ่งเป็นบริษัทรับสั่งต้นไม้และส่งต้นไม้ออกไปจำหน่ายต่างประเทศเล็กๆ น้อยๆ ช่วยสั่งซื้อให้"

อ.ระพี เสียเวลารอหนังสืออยู่เกือบสามปี

หนังสือเล่มนี้ อ.ระพียกย่องเป็นตำราเล่มแรก ที่มีโครงสร้างพื้นฐานในลักษณะเน้นเทคโนโลยีการปลูกปฏิบัติและขยายพันธุ์กล้วยไม้ ที่สั่งมาจากต่างประเทศ

"ผมได้ใช้หนังสือดังกล่าวเป็นแนวทางการศึกษาค้นคว้า แต่ไม่ได้ลอกเลียนแบบ เพราะทราบดีว่าเป็นหนังสือตำราที่เรียบเรียงขึ้นบนพื้นฐานของสภาพแวดล้อมเขตหนาว

หลังจากนั้นไม่นาน พอผลงานค้นคว้าวิจัยเริ่มเข้าสู่พื้นฐานทำให้รู้สึกมั่นใจในตนเอง จึงก้าวออกไปเป“นอาสาสมัคร เผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนอย่างท้าทาย เพราะต้องเผชิญกับการต่อต้านจากกลุ่มคนรุ่นเก่า ซึ่งมีการปิดบังด้วยลักษณะการขัดขวางรูปแบบต่างๆ

ยิ่งถูกกระทบ ดูจะยิ่งทำให้หันมาให้ความสำคัญกับ "คน" มากขึ้น แทนที่จะยึดติดอยู่กับวิชาการเสมือนเป็นพระเจ้าของตนเอง ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งๆ ขึ้น ว่า คนเป็นปัญหาสำคัญยิ่งกว่าอื่นใด จึงค่อยๆ หันมาสนใจหนังสือที่เกี่ยวกับชีวิตและสัจธรรมของชีวิตคนมากขึ้นเป็นลำดับ..."

ในวัยหนุ่ม อ.ระพีคลุกคลีหนังสือมากมาย โดยเฉพาะช่วงที่ดูแลห้องสมุดให้กับ ศ.โรเบิร์ต แอล. เพ็นเดลตัน ปรมาจารย์ด้านธรณีชาวอเมริกัน

อ.ระพีทิ้งท้ายอย่างคมคายว่า

"หากจะถามว่า ผมชอบอ่านหนังสืออะไร ในช่วงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมานานพอสมควร เมื่อถึงบัดนี้คงขออนุญาตตอบว่า

ในการแสวงหาความรู้ที่แท้จริงนั้น อ่านหนังสืออะไรก็ได้ เพราะความรู้ที่แท้จริงมันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของแต่ละคน..."

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOVEkyTVRBMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNQzB5Tmc9PQ==



Create Date : 26 ตุลาคม 2550
Last Update : 26 ตุลาคม 2550 19:38:27 น.
Counter : 696 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend