ทำอย่างไรให้ใครๆชอบ
ทำอย่างไรให้ใครๆชอบ
1.มีสุขภาพดีและรักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ
เพราะเป็นการบอกกับคนทั่วไปว่าท่านมีความรักและเอาใจใส่ตัวเองเป็นอย่างดีด้วย อีกทั้งการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงยังเป็นการทำให้บุคลิกของท่านดูดี มีความสดชื่นแจ่มใสมองแล้วชื่นตาชื่นใจ
2.มีความเสมอต้นเสมอปลายกับมิตร
ปฎิบัติตัวเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น มีน้ำใจไมตรี โอบอ้อมอารี เคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
3.เป็นคนที่มีความเอาใจใส่คนข้างเคียง
รู้จักที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้ว่าทำอย่างนี้เพื่อนไม่ชอบ หรือรู้ว่าสิ่งใดจะเป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อนหงุดหงิดรำคาญใจก็ไม่ทำ
4.เป็นคนตรงต่อเวลา
การฝึกเป็นคนตรงต่อเวลาจะทำให้คนรอบข้างชื่นชมในตัวท่าน เพราะท่านไม่ทำให้ใครๆเสียเวลาเพราะท่าน
5.หาความรู้ใส่ตัวอย่างสม่ำเสมอ
จะทำให้คนรอบข้างของท่านรู้สึกทึ่งและชื่นชม และใครๆก็อยากที่จะมาปรึกษาหารือด้วยเรื่องต่างๆอยู่เสมอเมื่อท่านต้องการความช่วยเหลือคนรอบข้างก็พร้อมจะให้ความช่วยเหลือท่านอย่างเต็มใจ
6.เป็นผู้มองโลกในแง่ดี
มองเห็นความสดใส สดชื่น ในการมองโลก การจะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขตามสมควร
7.เป็นผู้มีความหวังในชีวิตเสมอ
การเป็นผู้มีความหวังในชีวิต ใครๆจะมองว่าคุณเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้และไม่ท้อถอยในการดำเนินชีวิต เป็นคนที่มีความกระตือรือร้น มองโลกอย่างผู้ชนะ และเป็นผู้ที่ให้โอกาสกับตนเองให้พบกับความสำเร็จในชีวิต
8.ปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ
การที่ใครจะหันมาปรับปรุงตนเองได้นั้น ต้องมาจากการที่มีใจเที่ยงตรงยุติธรรม ไม่อคติเข้าข้างตนเอง

fw mail



Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 22:39:47 น.
Counter : 716 Pageviews.

0 comment
ชีวิตคือการเรียนรู้
ชีวิตคือการเรียนรู้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... บางครั้งสัตว์ยังทำให้หัวใจเราอบอุ่นได้ดีกว่าคนเสียอีก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ผู้หญิงทุกคนอยากได้รับดอกไม้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ใช่โอกาสพิเศษ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยากล่อมประสาทที่ดีที่สุด คือ สติสัมปชัญญะนั่นเอง
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การได้นอนอยู่บนหญ้าเขียว ไม่ว่าจะอยู่ในทุ่งแห่งใด ก็ให้ความรู้สึกที่ดีได้ทั้งนั้น
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การฟังเพลงเบาๆในยามที่เราเศร้าโศกนั้น ช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจให้เบาบางลงไปได้อย่างมากมาย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คุณหาเงินได้มากขึ้นได้ แต่ไม่สามารถหาเวลาเพิ่มได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากเราละเลยความผูกพันกับพ่อแม่แล้วไซร้ เราจะหวนให้คิดถึงท่านเจียนตายยามเมื่อท่านจากไป
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ฉันรักพี่ชายของฉัน เพราะเขามักจะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... อย่ากอดรัดลูกให้แน่นเกินไป มันอาจจะกลายเป็นการทำร้ายลูกทางออ้ม
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การได้รักและถูกรัก เป็นความรื่นรมย์อันยิ่งใหญ่สุดในโลก
ฉันได้เรียนรู้ว่า.... คุณอาจรักใครบางคน ทั้งๆที่ไม่ได้ชอบเขามากมายก็ได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เจ็บปอดยิ่งไปกว่าความเกลียดชัง นั่นคือความเมินเฉย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... แม้ฉันจะต้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่อย่างเจ็บปวดเสมอไป
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ความเอื้ออาทรนั้นสำคัญกว่าความเพียบพร้อมบริบูรณ์เสียอีก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การลืมสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วนั้น สำคัญพอกับการจดจำสิ่งที่ดีงามเอาไว้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การคาดเดานั้นมักจะเลิศหรูกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ฉันไม่อาจคาดหวังผู้อื่นให้แก้ปัญหาของฉันได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า.... เมื่อสิ่งเลวร้ายผ่านเข้ามา คุณจะปล่อยให้มันสร้างความขมขื่นใจให้คุณ หรือใช้มันเป็นพลังทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นก็ได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ถึงเราจะเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่เราปล่อยให้มันผ่านไปได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากต้องการคำตอบที่ดี ก็ควรถามคำถามที่ดีด้วย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ระดับความมั่นใจในตัวเองของคนคนหนึ่ง จะเป็นตัวเองของระดับความสำเร็จของเขาด้วย
ฉันได้เรียนรู้ว่า.... อาจจะมีใครที่รักคุณอย่างจริงจังอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกให้คุณรู้ได้อย่างไร
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ในที่สุดแล้วผู้รับจะเป็นผู้แพ้ และผู้ให้นั่นแหละคือผู้ชนะ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเรียนรู้ที่จะให้อภัยนั้น ต้องการการฝึกฝน
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คนเราไม่อาจเป็นวีรบุรุษได้ โดยไม่รู้จักการลงมือทำ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... เคล็ดลับของการเติบโตอย่างสง่าผ่าเผยคือ อย่าหมดความกระตือรือร้นที่จะพบพาผู้คนและสถานที่ใหม่ๆ
ฉันได้เรียนรู้ว่า.... การซื่อสัตย์ต่อสิ่งเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... สิ่งดีๆนั้นมักจะเกิดขึ้นกับคนดีเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดนั้น เป็นเรื่องยากกว่าที่ฉันเคยคิดเอาไว้มาก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเยียวยารักษามิตรภาพที่บอบช้ำนั้น ทำเมื่อไหร่ก็ไม่สาย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... สิ่งที่จะทำให้เสียเพื่อนได้ดีที่สุดคือ การให้เพื่อนยืมเงิน
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ชีวิตจะเติมเต็มไม่ได้หากปราศจากเพื่อน
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การที่จะรู้ค่าอะไรสักอย่างนั้น คุณจะต้องขาดมันไปสักพักก่อน

fw mail



Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 22:39:05 น.
Counter : 613 Pageviews.

0 comment
Princess in our heart
Princess in our heart
เพื่อนผมเคยเล่าให้ฟังว่า สักประมาณ 20 ปีที่แล้ว

ขณะที่เขากำลังเดินดูหนังสือในร้านหนังสือดวง
กมล สยามแสควร์ ก็มีนิสิตหญิงจุฬา สองสามคน
เดินเข้ามาในร้าน นิสิตคนหนึ่งใบหน้า สวย คม จัดว่าสวยน่ารัก
แต่ใบหน้าดูคุ้นเหลือเกิน ทันใด เขาก็เห็นคนเริ่ม ไหว้บ้าง ค้อมศรีษะบ้าง ให้แก่
นิสิตคนนั้น แต่ก็มี เสียงเอ่ยขึ้นมาอย่างเกรงใจจากนิสิตคนนั้นว่า
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ วันนี้เป็นนิสิต มาหาซื้อหนังสือ
เชิญทุกท่านตามสบายค่ะ" ทุกคำที่เอ่ย จะมีคำว่า "ค่ะ" ตลอด แล้วก็หันไปยิ้มแบบเขิน ๆ กับ
เพื่อนทีมาด้วย กริยาช่างงามน่ารักเหลือเกิน เพื่อนผมย้ำ ทันใดนิสิตกลุ่มนั้น
ก็หันไปเห็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังเดินดูหนังสืออยู่ใน ร้านเหมือนกัน จึงเดินเข้าไปหา
พร้อมยกมือไหว้ผู้อาวุโสท่านนั้น รวมทั้งนิสิต ใบหน้าสวยคม คนนั้นซึ่งเป็นผู้เอ่ยทักท่านอาวุโสท่านนั้น
"สวัสดี ค่ะ อาจารย์ มาหาซื้อหนังสือเหรอค่ะ" ทันใด ท่านอาวุโสก็สะดุ้ง กำลังจะก้ม
และย่อตัวลงในท่าทำความเคารพ แต่ความที่อยู่ในวัยชรา จึงไม่ค่อยถนัด พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
อ้าว องค์หญิง กระหม่อมมาหาซื้อหนังสือ พะยะค่ะ" ในตอนนั้นเพื่อนผม ก็ตื่นจากภวังค์ และเริ่มจำได้
นิสิตท่านนั้นก็คือ สมเด็จพระเทพฯ นั่นเอง ในตอนนั้น พระเทพ ก็ทรงเข้ามาประคอง อาจารย์ ท่านนั้น
พร้อมกับตรัสกับอาจาาย์ท่านนั้นว่า "ไม่เป็นไรค่ะ อาจารย์ หนูกับเพื่อน มาหาซื้อหนังสือเหมือนกัน ค่ะ"
เพื่อนผม บอกว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขารัก และเทอดทูนเจ้าหญิง องค์น้อย ในขณะนั้น เป็นต้นมา
ความที่ท่านไม่ทรงถือ พระองค์ เป็นมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และดำเนินมาตลอดปรากฏการณ์
ที่เพื่อผมเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องปกติของพระองค์ท่าน ผมเคยไปนั่งทานข้าวต้ม ผักบุ้งลอยฟ้า ที่
พิษณุโลก ก็ต้องตะลึง เมื่อเห็นรูป พระองค์ ทรงสนุกกับการถือจานรับผักบุ้ง บนหลังคารถ เด็กที่ร้านเล่าว่า
พระองค์ไม่ถือพระองค์เลย ตรัสล้อเล่นกับเด็กเสิร์ฟด้วย และทรงเสวยกับชามข้าวต้มของร้าน
ไม่ได้พิเศษจากลูกค้าคนอื่น ทรงประทับบนเก้าอื้ทั่ว ๆ ไปในร้าน นึกถึงพระองค์ทีไร ก็รู้สึกตื้นตันทุกที
เจ้าฟ้าหญิงของประชาชนที่แท้จริง เคยอ่านมาจากหนังสือสกุลไทย ช่วงตอบปัญหาของใครจำไม่ได้แล้ว
มีคนเขียนไปถามเจ้าของคอลัมภ์ว่าจริงหรือเปล่าที่ พระองค์เคยเสด็จเป็นการส่วนพ ระองค์ยังเมืองทองธานี
เพื่อเสวยร้านอาหารโต้รุ่งเค้าก็ เขียนตอบว่าจริงพระองค์ เคยเสด็จอย่างส่วนพระองค์จริงๆคือเสด็จไปกับคุณข้าหลวงอีก 2
คนไม่มีองครักษ์ติดตามเลย เสด็จยังร้านอาหารตามสั่งทั่วไปริมถนนไม่มีใครจำพระองค์ได้เลย
แต่มี 2 สามี
ภรรยาคู่หนึ่งเห็นเข้า ฝ่ายสามีบอกว่าไม่ใช่สมเด็จพระเทพหรอกเพราะนี่คือ ร้านอาหารโต้รุ่งแล้วก็ดึกมา กแล้วด้วย
แต่ฝ่ายภรรยาบอกว่าเหมือนมาก ก็โต้กันไปโต้กันมาจนพระองค์ทรงได้ยิน
จึงหันพระพักตร์มาทาง 2
สามีภรรยานี้แล้วตรัสว่าใช่ แต่ขอให้ทำตัวตาม สบาย เท่านั้นแหละครับ 2 คนนี้ก็ก้มลงกราบจนคนอื่นๆแปลกใจ
ก็หันมามองกันหมดทั้งร้าน เจ้าของร้านกับเด็กเสริฟก็เพิ่งทราบจึงรีบเข้าไปถวายความเคารพ
พวกพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นก็นำอาหารของร้านตนมาถวาย จนกระทั่งเสด็จกลับไป นี่แหละครับ
เจ้าหญิงในใจประชาชนพระองค์จริง
อ่านแล้วตื้นตันยังไงบอกไม่ถูก รักพระองค์ท่านจังเลย
จำได้ว่าตอนที่พระองค์ท่านเสด็จในงาน concert
กาชาดหลายปีแล้วแล้วพระองค์ท่านทรงเป่า trumpet เพลงคู่กัด พอท่านทรงเป่าจบ คนดูก็ตบมือ
ท่านก็ทรงรับสั่งว่า แปลกจังทำไมไม่มีเสียงกรี๊ดเลย คนดูก็เงียบกริบ...คงตะลึงมั้ง
ท่านก็รับสั่งย้ำอีกครั้ง เท่านั้นแหล่ะ..คนดูกรี๊ดถล่ม
ผมเคยเข้าไปเล่นคอนเสิร์ตหน้าพระที่นั่ง ศาลาดุสิตาลัย เมื่อสิบห้าปีมาก่อนพระเทพทรงประชวรหวัดเล็กน้อย
แล้วตรัสก่อนพวกผมเล่นกันว่า วันนี้ไม่มีเสียงกรี๊ดนะเป็นหวัด พอตอนเล่น ผมเลยบังอาจถวายแซวพระองค์
ท่าน ว่า ในฐานะรุ่นน้องจุฬาฯ ขอพระราชทานอนุญาต เอ่ยพระนามพระองค์ว่า พี่น้อย ก็แล้วกัน
วันนี้ขอให้พี่น้อย หายหวัดเร็ว ๆ นะครับ คนดูในศาลาดุสิตาลัยเงียบกริบ ผมก็ชักหนาวสันหลัง
ว่าเหิมเกริมไปหรือเปล่า เพื่อนร่วมวงรีบชิงพูดต่อว่า มหาดเล็กครับ ช่วยยิงให้ถูกคนด้วยแล้วกัน
คนเลยฮากันตึง รอดไป มีเพลงหนึ่งชื่อเพลงกล้วยไข่ ผมก็แปลงเป็นว่า แปลกใจจริงพระเทพฯชอบอะไร
พระเทพชอบ กล้วยไข่ เพราะว่าพระองค์ทรงโปรด ลัล ลัล ลัล ลา
ตอนไปรับพระราชทานดอกไม้จากพระหัตถ์
ผมไปยกมือไหว้ท่าน ท่านก็ตรัสย้อนผมว่า ใครเค้าไหว้กัน เค้าโค้งจ้ะ จากนั้นท่านก็ตรัสว่า
ใครบอกฉันชอบกล้วยไข่ ฉันชอบกล้วยน้ำว่าย่ะ ผมไม่เคยลืมสักภาพเดียวเลยครับ
ตอนเป็นนักเรียนแถวสามย่าน
พระองค์ท่านเป็นนิสิตแล้ว เคยแอบไปเดิน "ส่อง"
รถพระที่นั่งซึ่งจอดอยู่หน้าหอประชุมจุฬาเห็นมีขนมขบ
เคี้ยวสารพัดใส่โหลเอาไว้ 2-3 โหล ทุกวัน ตลอด 4 ปีที่ทรงศึกษาอยู่ ผู้คนที่ต้องผ่านสัญจรแถวนั้นไม่เคยต้องเดือดร้อนกับ
การกั้นรถขบวนเป็นชั่วโมง ๆ มีเพียงรถพระที่นั่ง 1 คันกับรถตำรวจนำอีก 1 ที่ไม่เคยเปิดไซเรน ไม่เคยเปิดโทรโข่ง
ไม่เคยฝ่าไฟแดง เห็นพวกนักการเมือง มีตำรวจนำตำรวจตาม วิ่งย้อนศร กั้นรถให้แซงลัดคิวแล้วนึกถึงสิ่งที่พระองค์ปฏิบัติทุกครั้ง
เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสได้ชมพระบารมีอย่างใกล้ๆ
ในงานรับพระราชทานปริญญาบัตร...
ทูลกระหม่อมของคนไทย เสด็จจากราชกิจที่ลำปาง ตรงเข้ามาที่เชียงใหม่ ณ หอประชุม ม.ช.
โดยที่ไม่มีการหยุดพัก ทรงเสด็จเข้าหอประชุมโดยที่ไม่มีการปล่อยให้ บรรดาบัณฑิตต้องรอคอยนาน
ในวันนั้น พระเกศายุ่ง พระพักตร์มันชุ่มเหงื่อ
แต่.. ทรงงามเหลือเกิน ในใจของบัณฑิตทุกคน จากนั้น
พระองค์ก็ยังต้องทรงเสด็จไปทรงราชกิจต่อที่หอดูดาว...
ภูมิใจในองค์พระเทพฯของชาวไทยมากค่ะ
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ยังจำได้ไม่ลืมว่าวันที่รับพระราชทานปริญญา
ท่านประชวรเป็นหวัดมาก ทรงนั่งแจกปริญญาให้กับนักศึกษา
ด้วยอาการหลับๆตื่นๆ..หลายครั้งที่เกือบจะฟุบลงกับพื้น
พอแจกปริญญาเสร็จมีหมายกำหนดการไปงานที่เมืองทองธานีต่อ ไม่ได้พักผ่อนเลย คิดถึงทีไร...ห่วงท่านทุกทีเลย...อยากให้ท่านพักผ่อนบ้าง

fw mail



Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 22:38:25 น.
Counter : 643 Pageviews.

0 comment
สองคน สองเมือง
สองคน สองเมือง
กาลครั้งหนึ่ง...
มีเมือง2เมืองชื่อว่าเมืองA และเมืองB อยู่ไม่ห่างกันมากนัก
ระหว่างเมือง2เมืองนี้จะมีปั๊มน้ำมันปั๊มหนึ่งคั่นกลางอยู่
ฉะนั้นคนที่จะเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งจะผ่านปั๊มน้ำมันนี้เสมอ
อยู่มาวันหนึ่งมีชายจากเมืองA จะเดินทางไปอาศัยที่เมืองB จึงแวะถามเด็กปั๊มว่า
"เราจะไปอาศัยอยู่ที่เมืองBนั่นน่ะ เธอพอจะรู้ไหมว่าคนที่นั่น เขานิสัยเป็นยังไงกันบ้าง"
เด็กปั๊มได้ยินดังนั้นจึงถามกลับไปว่า " แล้วเมืองA ที่ท่านเคยอยู่ล่ะ เป็นยังไง"
เขาจึงตอบไปว่า "โห! ไม่อยากจะพูด เนี่ยนะ มีแต่คนเห็นแก่ตัว แก่งแย่งชิงดี ให้ร้ายนินทากัน
ไม่มีน้ำใจให้กันเลย หน้าไหว้หลังหลอก..."
เด็กปั๊มก็ตอบเขากลับไปว่า "งั้นผมคงต้องแสดงความเสียใจด้วยนะครับ
เมืองB ที่ท่านกำลังจะไปอยู่
ก็ไม่ต่างอะไรจากที่ท่านเล่ามาเลยสักน้อย"
แล้วเขาก็จากปั๊มแห่งนั้นไปยังเมืองBด้วยความรู้สึกเลวร้ายที่ไม่ต่างกับเมืองเดิม
...
เวลาผ่านไปไม่นานก็มีชายอีกคนเดินทางมาจากเมืองB กำลังมุ่งหน้าไปเมืองA
ระหว่างทางก็มาแวะปั๊มนี้เช่นกัน และก็ถามเด็กปั๊มไปว่า
"เออนี่ เธอพอจะรู้รึเปล่าว่าคนที่เมืองA เขานิสัยเป็นยังไงกันบ้างหรือ
ฉันกำลังจะไปอาศัยอยู่ที่นั่นน่ะ"
เช่นเคยแล้วเด็กปั๊มก็ถามกลับไปว่า" แล้วเมืองB ที่ท่านเคยอยู่ล่ะ เป็นยังไงหรือครับ"
เขาก็ตอบทันทีเลยว่า "ผมเสียดายมากครับ เพราะคนที่เมืองผมนะ มีแต่คนใจดี จริงใจ มีน้ำใจ
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผมรักพวกเขามากเลย แต่ผมต้องย้ายไปอยู่เมืองA เพราะบริษัทส่งผมไปเป็นผู้จัดการ
สาขาที่เมืองAน่ะ" เมื่อเด็กปั๊มได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับไปว่า
"งั้นก็ยินดีด้วยครับ เมืองA ที่ท่านกำลังจะไป
ก็มีแต่คนดีๆ เหมือนเมืองB ที่ท่านจากมาแหละครับ"
ได้ยินเช่นนั้นเขาก็จากปั๊มแห่งนั้นมุ่งหน้าไปเมืองA ด้วยความรู้สึกดีๆ

...
นิทานเรื่องนี้บอกเราให้รู้ว่า
"สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา มันจะดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา
เรากระทำกับสิ่งแวดล้อมรอบเรายังไง สภาพรอบตัวเราก็เป็นเช่นนั้น
แล้วเราก็ต้องอยู่กับสภาพเช่นนั้น ที่เกิดจากการกระทำของเราเอง
ทั้งเมืองA และ B มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเลือกมองสิ่งที่ดีหรือที่ไม่ดี
ที่อยู่ในเมืองของเขา และเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นในสังคมของเขา"

fw mail



Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 22:37:43 น.
Counter : 626 Pageviews.

0 comment
ดอกหญ้าและก้อนเมฆ
ดอกหญ้าและก้อนเมฆ
บนพื้นดินที่แสนกว้างใหญ่......มีต้นหญ้าอยู่ต้นนึงซึ่ง
เป็นต้นหญ้าที่แสนจะอ่อนแอและอ่อนไหว....เมื่อลมพัดมาทีไร
ต้นหญ้าก็จะปลิวไหวไปตามสายลมเสมอ.....
แต่ต้นหญ้าก็ไม่เคยล้มเพราะต้นหญ้ายังมีผืนดินที่แสนอบอุ่นโอบอุ้มไว้
พื้นดินที่กว้างใหญ่จะคอยดูแลต้นหญ้าอยู่เสมอ..อยู่มาวันนึง..ต้นหญ้าได้มองขึ้นไปบนท้องฟ้า และมองเห็นก้อนเมฆ ต้นหญ้าได้คิดว่าบนฟ้าช่างน่าอยู่
ก้อนเมฆ..ช่างดูนุ่มนวล อบอุ่น สบายจัง..ถ้าเราได้ไปอยู่บนนั้น
เราคงจะได้เป็นอิสระ และสนุกสนานไม่ต้องทนติดอยู่กับพื้นดินที่น่าเบื่อนี้อีกต่อไป
เมื่อคิดได้ดังนั้น ต้นหญ้าก็ได้พยายามที่จะปลิวไปตามสายลม ตายล่ะ!!
เราไปไม่ได้ พื้นดินนี่ช่างทำให้เราไม่เป็นอิสระเลย น่ารำคาญจริง ต้นหญ้าคิด
ต้นหญ้าพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะได้เป็นอิสระ และแล้ว ต้นหญ้าก็ทำได้
ต้นหญ้าได้เปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่...ในที่สุด..ต้นหญ้าก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นดอกหญ้าได้......เมื่อลมพัดมาคราวนี้
ต้นหญ้าไม่เพียงแต่อ่อนไหวไปตามสายลม เมื่อเป็นดอกหญ้า
กระแสลมได้ทำให้ดอกหญ้าฟ้งกระจายไปได้ทุกที่ ต้นหญ้าเป็นอิสระแล้ว
และต้นหญ้าก็พยายามปลิวขึ้นไปให้สูงขึ้น สูงขึ้น.........
......... บนท้องฟ้ากว้างใหญ่มีก้อนเมฆลอยไปลอยมา
ก้อนเมฆซึ่งเงียบเหงาและเคว้งคว้างมานาน ได้สังเกตเห็นดอกหญ้าปลิวมา
จึงได้เกิดความสนใจ...ตัวก้อนเมฆเอง ก็ไม่เคยได้รับรู้ถึงความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่อยู่รายล้อม
และคิดว่าตัวเองนั้นเงียบเหงา ลอยเคว้งคว้างอยู่โดดเดี่ยว เมื่อได้เห็นดอกหญ้า
จึงคิดว่าดอกหญ้าก็ต้องเป็นเหมือนก้อนเมฆ จึงรับดอกหญ้าไว้ ดอกหญ้า
เมื่อได้อยู่กับก้อนเมฆ ดอกหญ้าก็ได้รับความสนุกสนาน
และพอใจมากที่ได้อยู่บนท้องฟ้าและอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้ก้อนเมฆ.......ก้อนเมฆก็ดีใจที่มีดอกหญ้า
เพราะดอกหญ้าดูพลิ้วไหว ไม่หนักแน่นและร้อนแรงเหมือนแสงอาทิตย์
...วันเวลาผ่านไป....พื้นดิน ก็ได้รับรู้ ว่าต้นหญ้าตอนนี้ได้เป็นดอกหญ้า
พื้นดินก็กลัวจะสูญเสียต้นหญ้าอันเป็นที่รัก
เลยพยายามทำทุกวิธีให้ได้ต้นหญ้าคืนมา.......... อยู่มาวันนึง พื้นดินได้ขอร้องให้นกตัวน้อยบินขึ้นมาหาก้อนเมฆ
และบอกเรื่องราวระหว่างดินและต้นหญ้าให้ก้อนเมฆรับรู้.......
......เมื่อก้อนเมฆได้รับรู้ว่าดอกหญ้าเป็นของพื้นดิน
ก้อนเมฆก็รู้สึกเจ็บปวดเลยตัดสินใจบอกเรื่องราวให้ดอกหญ้าได้รับรู้เพื่อให้ดอกหญ้าได้ตัดสินใจ
เมื่อดอกหญ้าได้รับรู้ถึงความรู้สึกของพื้นดิน ดอกหญ้าก็สงสารพื้นดินจับใจ
และรู้สึกผิดที่ทำร้ายพื้นดินที่ให้ความอบอุ่นแก่ต้นหญ้ามาตลอด
ดอกหญ้าจำเป็นต้องเลือกระหว่าง ความสนุกสนานเป็นอิสระ กับความอบอุ่นและมั่นใจ
ดอกหญ้าไม่สามารถเลือกได้
..ก้อนเมฆเลยจำเป็นต้องตัดสินใจที่จะให้ดอกหญ้าจากไป.......กลับไปหาผืนดิน...แม้ก้อนเมฆจะเจ็บปวด...ดอกหญ้าไม่เคยรู้เลย
ว่าทำให้พื้นดินและก้อนเมฆเจ็บปวดเพียงใด......ในที่สุด..ดอกหญ้าก็ได้กลับไปหาพื้นดิน
ไม่ว่าดอกหญ้าจะเป็นเช่นไร
พื้นดินก็ยังคงให้อภัยกับทุกเรื่องที่ผ่านมา..และแล้วดอกหญ้า
ก้ได้ตัดสินใจที่จะฝังตัวลงบนพื้นดินกลายเป็นต้นหญ้าอีกครั้งหนึ่ง.....ก้อนเมฆเองก็รู้สึกสูญเสีย และรู้สึกโกรธดอกหญ้าเป็นอย่างมาก
ที่ดอกหญ้าไม่สามารถเลือกอะไรได้ และยังโกหกก้อนเมฆมาตลอด แต่ในวันนึง
ก้อนเมฆก็คิดได้ว่า ดอกหญ้าก็คือต้นหญ้าที่อ่อนแอ และอ่อนไหว
ไม่มีความมั่นคงและแน่นอน ในที่สุดก้อนเมฆก็สามารถทำใจได้ ..แต่ถึงกระนั้น
ก้อนเมฆก็ยังคงเจ็บปวด ในบางครั้งก้อนเมฆจึงร้องไห้
กลายเป็นหยาดฝนที่ตกลงมาบนพื้นดิน.......ที่อย่างน้อย..็ก็ได้ช่วยให้ต้นหญ้าได้มีน้ำมาหล่อเลี้ยง ณ
พื้นดินแห่งนั้น........

fw mail



Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 22:36:59 น.
Counter : 724 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend