|
 |
 |
 |
 |
|
คุณอยากให้บ้านและที่ดินราคาถูกลงมากๆ ไหม?
คุณอยากให้บ้านและที่ดินราคาถูกลงมากๆ ไหม?
คนมากหลายไม่อาจซื้อบ้านและที่ดินมาเป็นของตนและครอบครัวได้ตลอดทั้งชีวิตเพราะราคาแพงเกินกำลังของเขา แต่เชื่อไหม ว่าเราสามารถทำให้ที่ดินมีราคาเป็นศูนย์ได้ หรือไม่ก็แทบไม่มีราคาเลยในการซื้อขายกัน คนซื้อที่ดินและบ้านก็จะจ่ายแทบจะเฉพาะราคาบ้านเท่านั้น บ้านเองจะมีราคาถูกลง รวมทั้งสินค้าอื่นๆ มิหนำซ้ำค่าแรงเงินเดือนและผลตอบแทนการลงทุนก็สูงขึ้น เรียกได้ว่าเข้ายุคพระศรีอารยเมตไตรยกันทีเดียว
แต่เรื่องใหญ่ๆ กระทบคนจำนวนมากมายอย่างนี้ ควรค่อยทำค่อยไป น่าจะใช้เวลา ๒๐๓๐ ปี วิธีการนั้นง่ายมาก คือให้รัฐยกเลิกภาษีอื่นๆ ทั้งสิ้นพร้อมกันไปกับการเก็บ ภาษีที่ดิน อย่างเดียว แต่เก็บในอัตราที่สูงเท่ากับค่าเช่าแบบที่เอกชนเขาทำกัน
แต่ถ้าภาษีที่ดิน รวมทั้งค่าสัมปทาน ค่าภาคหลวงทรัพยากรธรรมชาติ ยังน้อยไป ไม่เพียงพอกับรายจ่ายของรัฐ ผมก็ยังเห็นว่าต้องเก็บเป็นอันดับแรก แลัวถึงยังต้องมีเก็บภาษีอย่างอื่นบางอย่างด้วยบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ถือว่ารัฐบาลต้องพยายามตัดค่าใช้จ่ายให้พอดีกับรายรับที่ชอบธรรมของรัฐ (คือภาษีที่ดินกับค่าทรัพยากรนั่นละ ซึ่งถือว่าเป็นของทุกคนเท่ากัน แล้วยินยอมยกให้เป็นค่าใช้จ่ายของรัฐบาล) ส่วนการทำงานและการลงทุนที่จริงไม่ควรถูกเก็บภาษี
นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ๓ ท่านพูดไว้ดังนี้ (จาก //www.schalkenbach.org/library/SaratogaBatt.pdf ) ๑. Franco Modigliani: เป็นเรื่องสำคัญที่จะรักษาค่าเช่า [ภาษี] ที่ดินไว้เป็นแหล่งรายได้แหล่งหนึ่งของรัฐ บางคนที่สามารถจะใช้ประโยชน์ที่ดินได้เป็นเลิศอาจไม่สามารถหาเงินได้มากพอสำหรับราคาซื้อ การเก็บค่าเช่า [ภาษี] เป็นรายปีจะช่วยให้ผู้ที่มีขีดจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อสามารถเข้าถึงที่ดินได้ ๒. Robert Solow: ผู้ใช้ที่ดินไม่ควรได้สิทธิ์ที่ไม่จำกัดระยะเวลาเพียงเพราะการจ่ายเงินครั้งเดียว เพื่อประสิทธิภาพ เพื่อให้มีรายได้เพียงพอ และเพื่อความยุติธรรม ผู้ใช้ที่ดินทุกคนควรจะต้องจ่ายเป็นรายปีให้แก่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเท่ากับมูลค่าของค่าเช่าในขณะนั้นสำหรับที่ดินซึ่งเขาทำให้ผู้อื่นหมดสิทธิที่จะใช้ ๓. William Vickrey: มัน [ภาษีมูลค่าที่ดิน] เป็นสิ่งประกันว่าจะไม่มีผู้ใดพรากสิทธิของเพื่อนพลเมืองด้วยกันโดยการแสวงหาส่วนแบ่งที่มากเกินควรในสิ่งที่ธรรมชาติได้จัดเตรียมไว้ให้แก่มนุษยชาติ
ผลร้ายของระบบภาษีปัจจุบัน (เก็บภาษีที่ดินน้อยไป เก็บภาษีอื่นๆ มากไป) คือ ๑. ผิดศีลข้ออทินนาทาน เอาจากกลุ่มอื่นไปให้แก่กลุ่มเจ้าของที่ดินด้วยวิธีการภาษี โดยภาษีและกิจกรรมของส่วนรวมไปทำให้สังคมมีความน่าอยู่และปลอดภัยขึ้น ที่ดินก็เลยแพง โดยฉะนี้ถึงได้มีการเก็งกำไรแสวงหาครอบครองที่ดินกันในวงกว้างทั่วไป ที่ดินก็ยิ่งแพงขึ้น คนยากคนจนหรือจะแข่งขันด้วยได้ จำใจต้องยอมเป็นผู้เช่า จ่ายทั้งค่าเช่าที่ดิน ทั้งภาษีอื่นๆ ๒. ภาษีปัจจุบันเป็นตัวถ่วง แทนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ดูตัวอย่างสหรัฐฯ เขากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีลดภาษีอื่นๆ มาหลายต่อหลายหนแล้ว ๓. การไม่เก็บภาษีที่ดินหรือเก็บน้อยไปก็กลับเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจซ้ำเข้าไปอีก เพราะที่ดินถูกเก็งกำไรเก็บกักกันไว้เฉยๆ มากมาย หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ ทำให้การจ้างงานน้อย และค่าแรงต่ำ ผลตอบแทนต่อการใช้ทุนเครื่องทุ่นแรงก็ต่ำ ๔. ภาษีเงินได้ ภาษีกำไร พวกนี้ไปลดรายได้จริงของคนทำงานและผู้ลงทุน ๕. ภาษีทางอ้อมจำพวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีขาเข้า ไปทำให้ของแพง และทำให้ความสามารถแข่งขันกับต่างประเทศลด ไม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเหมือนฮ่องกง สิงคโปร์ ๖. ราคา/ค่าเช่าที่ดินและบ้านแพงกว่าที่ควร แฟลต/คอนโดในเมืองก็มีน้อย เกิดปัญหาต้องเดินทางเช้าเข้าเมืองเย็นกลับออกนอกเมืองติดขัดอัดแอเสียเวลามาก เกิดปัญหาแหล่งเสื่อมโทรมหรือชุมชนแออัดในเมือง การย้ายบ้านก็ยากเพราะต้องใช้เงินมาก ๗. เพราะที่ดินมีราคา จึงมีคดีที่ดินเป็นภาระแก่ศาลยุติธรรมมากมาย คนจำนวนมากต้องเสียเงินเสียเวลาขึ้นศาลกันนานๆ ระหว่างนั้นที่ดินก็อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์ ๘. สังคมมีความแตกต่าง เกิดการแตกแยก ส่วนหนึ่งเพราะความไม่เป็นธรรมด้วยวิธีการภาษีดังข้อ ๑.
ถ้ารัฐประเมินเก็บภาษีที่ดินเท่าค่าเช่าแบบที่เอกชนเขาคิดกัน ราคาที่ดินจะเป็นศูนย์หรือเกือบศูนย์ คนเราจะเลือกซื้อขายที่ดินได้ง่าย รวมทั้งผู้ลงทุนสร้างบ้านขายพร้อมที่ดิน แม้ราคาที่ดินจะเป็นศูนย์ เอาเป็นหลักทรัพย์ค้ำกู้ไม่ได้ แต่การซื้อขายที่ดินเองก็คงแทบไม่ต้องกู้แล้ว และก็จะทำให้คนเรากู้หนี้เพื่อลงทุนอย่างอื่นเกินตัวได้ยาก ถือว่าถูกหลักเศรษฐกิจพอเพียง แต่การลงทุนอย่างอื่นก็ยังคงมีวิธีทำได้ด้วยการเสนอโครงการที่ดีเป็นที่ยอมรับแก่ผู้ให้กู้ เช่น ธนาคาร การใช้เครื่องจักรกลหรืออาคารเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน การร่วมทุนกัน การเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น และศูนย์ให้คำปรึกษาทางการเงินสำหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และประชาชน (ศงป.) //www.sfac.or.th ก็พร้อมช่วยเหลือ
หลายคนมีความเห็นค้านเพราะคิดว่าที่ดินลดความสำคัญลงเรื่อยๆ เราสามารถสร้างตึกสูงเป็นคอนโดมิเนียมหลายสิบชั้นซ้อนกันขึ้นไปให้ผู้คนเข้าอาศัยอยู่ได้จำนวนมาก เทคโนโลยีเจริญก้าวไกล บริษัทผลิตซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมแบบไมโครซอฟต์ทำเงินได้มหาศาล ไม่เห็นจะต้องใช้ที่ดินมากเลย ก็ถูกครับ แต่ถูกเป็นบางส่วน เทคนิคการสร้างตึกสูงทำให้ใช้ที่ดินน้อยลงได้ แต่มันก็ต้องใช้ต้นทุนสูงคุ้มเฉพาะกับที่ดินราคาแพงย่านชุมชนหนาแน่นเท่านั้น ซ้ำยังทำให้ราคาที่ดินย่านนั้นสูงขึ้นไปอีก ส่วนซอฟต์แวร์นั้นคนก็กินแทนข้าวปลาไม่ได้ ของกินของใช้ยังต้องอาศัยที่ดินผลิตขึ้นมา โดยการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ และวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าก็กลับไปเพิ่มความสามารถสนองความต้องการทางวัตถุให้แก่มนุษย์มากขึ้นดีขึ้น คนมีอันจะกินก็ต้องการการพักผ่อน ท่องเที่ยว ผจญภัย หาความสำราญมากขึ้น ต้องการเครื่องเล่น สวนสนุก บ้านที่สอง เรือสำราญ เรือยอช์ต รถนอนหรือบ้านเคลื่อนที่ เครื่องบินส่วนตัว บัลลูน เดี๋ยวนี้ก็ถึงขั้นขึ้นอวกาศกันแล้ว ซึ่งทั้งหลายที่ว่านี้ล้วนใช้ที่ดินและทรัพยากรสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นทั้งนั้น
อัจฉริยบุคคลมักเห็นแย้งกัน แต่ในปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดปัญหาหนึ่งของมนุษย์ จะแบ่งที่ดินอย่างไรให้ยุติธรรม มีบางท่านได้ข้อยุติเหมือนกัน:- ผู้ใช้เสียค่าชดเชยให้แก่ผู้ที่หมดสิทธิการใช้ พวกเขาได้ข้อยุตินี้ด้วยเหตุผลจากลักษณะพิเศษเฉพาะของที่ดิน เจ้าของที่ดินบางคนยังไม่ใช้ที่ดิน เพื่อรอราคาที่จะสูงขึ้นในอนาคต ทำให้ที่ดินมีราคาสูงยิ่งขึ้นไปอีก
การมีสิทธิในที่ดินต่างกับสิทธิในทรัพย์สินอื่น (จาก //www.progress.org/geonomy/thinkers.html) ๑. ผู้ควรได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินคือผู้ที่ลงแรงลงทุนผลิตมัน แต่ไม่มีใครในพวกเราผลิตที่ดิน ๒. การลงทุนซื้อบางสิ่งจากผู้ผลิตหรือเจ้าของที่ชอบธรรมทำให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ แต่ที่ดินไม่มีผู้ผลิตหรือเจ้าของที่ชอบธรรมมาก่อน ๓. สินค้าและบริการเมื่อแพงขึ้นเพราะมีผู้ต้องการเพิ่ม ก็สามารถผลิตเพิ่มทำให้ราคากลับสู่ดุล แต่สถานที่หรือทรัพยากรผลิตเพิ่มไม่ได้ เมื่อความต้องการเพิ่ม ราคาจึงเพิ่ม ๔. ถ้าเราต้องการทรัพย์สินชิ้นหนึ่ง เราก็จำเป็นต้องมีที่ดิน อันเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและทรัพย์สิน ถ้ามีการกักตุนสินค้า แม้จะเป็นจำนวนมาก ผู้อื่นสามารถผลิตเพิ่ม แต่ถ้ากักตุนทรัพยากร แหล่งที่มาของทรัพย์สิน และที่ดิน สถานที่ซึ่งใช้ทำงาน จะเป็นการกีดกันผู้อื่นมิให้ทำงานผลิต
Karl Marx จากมุมมองของรูปแบบทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นของสังคม การให้เอกชนบางคนมีกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินโลกเป็นความเฉาโฉดเหมือนกับการให้บุคคลหนึ่งมีกรรมสิทธิ์ในอีกบุคคลหนึ่ง แม้แต่สังคมหนึ่ง หรือแม้แต่ทุกสังคมรวมกัน ก็ไม่ใช่เจ้าของแผ่นดินโลก พวกเขาเป็นเพียงผู้ครอบครอง ผู้ใช้แผ่นดินโลก และจะต้องส่งต่อไปยังชนรุ่นหลังๆ ในภาวะที่ดีขึ้น เสมือนบิดาที่ดีของครอบครัว (Das Kapital, vol. III, p. 901-2 อ้างโดย //www.progress.org/geonomy/thinkers.html)
Winston Churchill กล่าวไว้ว่า (จาก //www.earthsharing.org.au/winston.html) การผูกขาดที่ดินมิใช่การผูกขาดเพียงชนิดเดียวที่มีอยู่ แต่ก็เป็นการผูกขาดที่ใหญ่หลวงที่สุด เป็นการผูกขาดตลอดกาล และเป็นต้นกำเนิดของการผูกขาดอื่นๆ ทุกรูปแบบ . . . . ที่ดิน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแหล่งที่มาแห่งทรัพย์สินทั้งสิ้น ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งมีตำบลที่ทางภูมิศาสตร์คงที่ ที่ดิน ข้าพเจ้าขอกล่าว แตกต่างจากทรัพย์สินในรูปแบบอื่นๆ ทั้งมวล . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . ข้าพเจ้าหมายถึงกระบวนการมากกว่าตัวเจ้าของที่ดินแต่ละคน ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะทำให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังชนชั้นหนึ่งชั้นใดขึ้น ข้าพเจ้ามิได้คิดว่าผู้ที่หาเงินจากส่วนเพิ่มของราคาในที่ดิน อันมิใช่เกิดจากการลงทุนลงแรง นั้น เลวกว่าบุคคลอื่นที่หากำไรเท่าที่อาจจะหาได้ในโลกที่มีความลำบากนี้โดยไม่เป็นการผิดกฎหมายและเป็นไปตามที่ปฏิบัติกันทั่วไป ที่ข้าพเจ้าโจมตีนั้นไม่ใช่บุคคล แต่เป็นระบบ ไม่ใช่บุคคลเลว แต่เป็นกฎหมายต่างหากที่เลว ที่ควรจะถูกติเตียนนั้นไม่ใช่บุคคลผู้กระทำการอันกฎหมายได้อนุญาตไว้และผู้อื่นก็กระทำกัน แต่ควรจะเป็นรัฐที่ถูกตำหนิหากไม่หาทางปฏิรูปกฎหมายและแก้ไขการปฏิบัติ เราไม่ต้องการจะลงโทษเจ้าของที่ดิน แต่เราต้องการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
ครับ และเจ้าของที่ดินปัจจุบันก็มักจะมิใช่มีฐานะเจ้าของที่ดินเพียงฐานะเดียว บางทีก็เป็นผู้ลงแรงด้วย บางทีก็เป็นผู้ลงทุนด้วย บางทีก็เป็นทั้ง ๓ ฐานะเลย ดังนั้นพวกเขาคงไม่เดือดร้อนมากถ้ามีการเปลี่ยนแปลงระบบภาษีดังกล่าว พวกเขาส่วนใหญ่อาจดีขึ้นอีกด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นรัฐก็ควรมีการสวัสดิการไว้รองรับผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ไว้ด้วย.
จาก //geocities.com/utopiathai
Create Date : 09 กันยายน 2549 |
Last Update : 23 กันยายน 2549 23:11:24 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1113 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: สุธน หิญ วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:22:36:01 น. |
|
|
|
โดย: สุธน หิญ วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:22:45:19 น. |
|
|
|
โดย: สุธน หิญ วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:22:53:36 น. |
|
|
|
โดย: สุธน หิญ วันที่: 13 สิงหาคม 2554 เวลา:23:07:37 น. |
|
|
|
|
|
|
|
 |
 |
 |
 |
|
|
ความคิดเห็นที่ 1
ผมไม่เห็นด้วยครับ การคิดมูลค่าที่ดินอย่างนั้น เป็นการทำลายความมั่นคงทางจิตใจ เกิดความกลัว เพราะมีรายจ่ายตลอดชีพ คนแก่จะอยู่อย่างไร รัฐไม่สนับสนุนโอกาสในการสร้างอาชีพ เพราะไม่มีผลประโยชน์ อาชีพเกษตรกรรมเสียเปรียบ จะตายเพราะอดข้าวกันหละครับ
จากคุณ : Hunkeak - [ 16 ก.ค. 47 15:58:02 ]
ความคิดเห็นที่ 2
น่าสนใจ แต่ยังไม่เห็นทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และเชื่อว่าเป็นไปได้ยากมาก ที่เมืองไทยจะมีการออกกฎหมายนี้ เพราะผู้ออกกฎหมาย แทบจะทั้งสภา และผู้สนับสนุกพรรคการเมืองทั้งหลาย คือ ราชาที่ดินตัวจริง ของประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างที่น่าศึกษาอีกมาก เช่น ภาคเกษตรกรรม จะทำอย่างไร ที่ดินที่ให้ผลผลิตต่ำจะทำอย่างไร ที่ดินในเมืองจะทำอย่างไร อันนี้เป็นเรื่องเทคนิค
ความคิดนักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกที่ว่ามา โดยส่วนตัวผมว่าแทบจะรับฟังไม่ค่อยได้ ในแง่การจัดสรรที่ดินแบบเมืองไทย เพราะนักคิดตะวันตก ในยุคก่อนนั้น เขาเอาพื้นฐาน การคิดเรื่องความเป็นเจ้าของที่ดิน มาจากความคิดของ ฟิวดัลด์ลอร์ด คือ ขุนนางเจ้าของผืนดินขนาดใหญ่ และแพลนเตชั่น ไร่การค้า ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ในยุโรป อเมริกาบางส่วน อาฟริกา แต่ไม่ใช่ในเมืองไทย
ที่ดินในเมืองไทยมีการตกทอดกันมาแบบครอบครัว ตะกูลชาวสวนชาวนา ไม่ใช่ระบบฟิวดัลด์ลอร์ด ที่ชาวนาไม่มีสิทธิในที่ทำกิน ไม่เหมือนในรัสเซีย ในอังกฤษ หรือที่อื่นๆ ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีเพิ่ม ในขณะที่ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ก็ยิ่งจะทำให้ชาวนา ชาวสวน ขายที่ดินมากขึ้น และที่ดินตกไปอยู่ในมือของนายทุนมากขึ้น ชาวนา ชาวสวนจะกลายมาเป็นกรรมกรในเมือง ที่ต้องจ่ายค่าเช่าต่อหน่วยสูงขึ้น สังคมจะแออัดมากขึ้น หากผืนดินนั้นทำประโยชน์ไม่คุ้มกับค่าภาษีต่อหน่วย หรือราคาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ เพราะอัตราภาษี ไม่ได้มาจากรายได้ แต่มาจากปริมาณการถือครองที่ดิน
เชอร์ชิล พูดแบบนั้น เพราะหกสิบปีก่อน ชาวนา ชาวไร่ ในอังกฤษแทบไม่ได้เป็นเจ้าของผืนดินทำกินเลย เลยต้องใช้วิธีแบบที่ว่า หรือคาร์ล มาร์กซ์ มองแบบนั้น ก็เพราะได้ความคิดแย้งระบบคลาสสิค ของ อดัมส์ สมิทธิ์ ที่มองว่าที่ดินเป็นทุนประกอบการ ที่คนชั้นแรงงาน ไม่มีทางลงทุนเลย แต่ในเมืองไทย คนชั้นแรงงานในเมือง อาจมีที่ดินต่างจังหวัด ให้พ่อแม่ทำนาอยู่บ้าน หรือให้คนอื่นเช่านา ก็ได้ ซึ่งมันตรงข้ามกัน
มอดิกลิอานีนั้น มองว่า ไลฟ์ ไซเคิล ของชีวิตคนฝรั่งนั้น ไม่ต้องเก็บเงินให้ลูกหลาน ดังนั้น ที่ดินไม่มีบริบทในด้าน การมอบให้ลูกหลานเป็นมรดกอยู่แล้ว ตายแล้วก็ขาย แบบฝรั่งทั่วไป คือใช้เงินตอนแก่ให้หมด เก็บออมเพื่ออนาคตของตัวเอง ไม่ใช่ลูกหลาน
ทฤษฎีที่ว่ามาทั้งหมด มีจุดอ่อนมากมายในการนำมาใช้กับประเทศตะวันออก ที่มีค่านิยม และประวัติศาสตร์แตกต่างกัน การจัดการเรือ่งที่ดินนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นเรื่องทั้งรัฐศาสตร์ และนิติปรัชญา มันเกี่ยวพันกับกฏหมาย และที่มาของกฏหมายอีกมาก ไม่ใช่แค่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สองสามทฤษฎีแล้วจะอธิบายความเป็นไปทั้งสังคมได้
ประเทศไทยออกโฉนดที่ดิน แก่ชาวบ้านทั่วไปมาร่วมร้อยปีแล้ว ก่อนหลายประเทศด้วยซ้ำ จริงอยู่ที่การจัดการยังไม่ดี แต่ก็ยังไม่เห็นด้วยว่าการแก้ปัญหาตรงไปตรงมา แบบกำปั้นทุบดิน แค่เพิ่มอัตราภาษี แล้วจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ เพราะทำแบบนั้น คนรวยบนยอด ก็ยังจ่ายได้ เพราะใช้การถัวเฉลี่ยจากที่ดินที่ทำรายได้ หรืออาจใช้วิธีแบบปัจจุบัน คือ ออกกฎหมายหรือความคุ้มครองนายทุนออกมา แต่คนจน จะจ่ายไม่ไหว เพราะกลายเป็นภาษีทางตรง และต้องเช่าที่ดิน หรือเช่าบ้านแทน ซึ่งจะทำให้ราคาค่าเช่าสูง และค่าเช่านั้นจะตกกับเจ้าของที่ดินรายใหญ่อยู่ดี การกระจายรายได้ ก็ไม่เกิดขึ้น และน่าจะลำบากมากขึ้น รวมศูนย์มากขึ้น
จากคุณ : De Burgh - [ 17 ก.ค. 47 04:43:01 ]
ความคิดเห็นที่ 3
กรณีซื้อย้าน หรืออสังหามือสอง
ค่าโอนกับค่าภาษีเฉพาะ(ถ้าคนขายซื้อมาไม่เกิน5ปี)แพงจังครับ
ราคาประเมินจากแบ็งค์ให้ต่ำ กว่าราคาประเมินกรมที่ดินมากแถมยังให้กู้แค่ 70-80%ของราคาที่แบ็งค์ประเมินอีก(ถ้าไม่ใช่ข้าราชการก.บ.ข.) และ คนขายมักบวกเพิ่มให้คุมกับที่ต้องเสียภาษี และคนซื้อต้องเพิ่มเงินส่วนต่างมากขึ้น ทำให้คนจนได้ที่อยู่ยากขึ้น
จากคุณ : ThaiHomeMart.com (ยุ่น) - [ 17 ก.ค. 47 15:09:41 ]
ความคิดเห็นที่ 4
ขอบคุณทั้งสามท่านที่มาร่วมให้ข้อคิดเห็นครับ
ที่ดินปัจจุบันราคา/ค่าเช่าสูงเกินจริงเพราะปัจจัยของการเก็งกำไร ภาษีที่ดินจะทำให้คนที่ใช้ที่ดินไม่คุ้มค่าต้องคายที่ดินออกมา การเก็งกำไรเก็บกักที่ดินจะหายไป พวกเขาจะไม่สามารถขึ้นราคา/ค่าเช่าได้ เพราะที่ดินที่ใช้ไม่คุ้มค่าจะถูกขายออกมาทำให้ราคาลด ถ้าพวกเขาไม่อยากขายก็ต้องทำประโยชน์ให้คุ้ม นั่นคือจะต้องมีการใช้แรงงานและการใช้ทุนเพิ่มขึ้น การว่างงานจะลด ค่าแรงจะสูงขึ้น และจะมีที่ดินให้เช่ามากขึ้น โดยอาจออกมาในรูปที่ดินพร้อมบ้านหรืออาคารพาณิชย์ ค่าเช่าที่ดินก็จะต่ำลง ซึ่งไม่เหมือนกับการเก็บภาษีอื่นๆ ที่ผลักภาระให้ผู้ซื้อไป
นายทุนก็จะไม่ซื้อหาที่ดินไว้เกินกำลังที่เขาจะทำประโยชน์ให้คุ้มกับภาษีที่ดินที่สูงเท่าค่าเช่าได้ ต่อเมื่อเขาจะทำประโยชน์ให้คุ้มภาษีที่ดินได้เท่านั้นเขาจึงจะซื้อที่ดิน
ภาษีที่ดินไม่ได้คิดตามปริมาณที่ดินอย่างเดียวครับ ต้องคูณด้วยราคาที่ดินต่อหน่วยด้วย คือคิดตาม ราคา ของที่ดินในครอบครอง
ที่ดินซึ่งการเพาะปลูกไม่ค่อยได้ผลปกติราคาก็น่าจะต่ำ ภาษีที่ดินก็จะต่ำด้วยอยู่แล้ว ราคาที่ดินในเมืองแพงกว่าที่ดินไร่นาในชนบทมากมายเป็นร้อยพันหรือหมื่นเท่า ดังนั้นในเมืองต้องเสียภาษีที่ดินแพงกว่าเป็นร้อยพันหรือหมื่นเท่าด้วย
คนจนด้อยโอกาสนั้นต้องเช่าเขาทั้งที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน พวกเขาเป็นคนส่วนใหญ่ที่เป็นฐานรากขั้นต่ำสุดของสังคม เช่านาเขาทำหรือเป็นลูกจ้างทำไร่นาสวน หรือไม่ก็เป็นผู้ใช้แรงงานในอาชีพอื่นๆ ทั้งในเมืองและชนบท เราต้องนึกถึงพวกนี้เป็นหลัก ถ้าคนมีที่ดินบ่นว่าลำบากแล้ว พวกนี้มิยิ่งลำบากมากกว่าหรือ?
ถ้าค่าเช่าที่ดินถูกเก็บโดยชุมชนหรือรัฐ มันก็ใช้แทนภาษีอื่นๆ ทำให้ยกเลิกภาษีอื่นๆ ได้ การเก็งกำไรเก็บกักที่ดินก็หมดไป ราคา/ค่าเช่าที่ดินก็ต่ำลง คนยากคนจนก็ไม่ต้องเสียภาษีอื่นๆ เขาก็จะซื้อของได้ถูกลงด้วย ภาษีเงินได้สำหรับแรงงานทุกระดับไปจนถึงระดับแรงงานสมองไม่ต้องเสีย การลงทุนผลิตที่แท้ก็ไม่ต้องเสียภาษี
การซื้อที่ดินเพื่อสืบต่อสิทธิเรียกเอาส่วนหนึ่งจากผลตอบแทนการผลิตของแรงงานและทุนไปเป็นของตนนั้น ไม่ใช่การลงทุนผลิตที่แท้
เจ้าของที่ดินทำอะไรที่ทำให้ที่ดินในครอบครองของตนมีคุณค่าขึ้นมา? ถ้าทำเขาก็ทำ มิใช่ในฐานะเจ้าของที่ดิน แต่ในฐานะผู้ใช้แรงงาน หรือ ผู้ลงทุน ซึ่งก็ย่อมจะได้รับผลตอบแทนในฐานะทั้งสองนี้
โดยไม่ควรได้ในฐานะเจ้าของที่ดิน
เพราะที่ดินมีราคาขึ้นมาได้ก็โดยการรวมตัวกันเป็นชุมชน เพราะการทำงานของส่วนรวมร่วมกัน คือต่างทำในสิ่งที่ถนัดหรือเห็นช่องทาง แล้วเอาผลผลิต/บริการมาแลกเปลี่ยนกัน ฝ่ายปกครองชุมชนหรือรัฐเรียกเก็บภาษีเอาไปบริหาร/บริการอำนวยความสะดวกปลอดภัยแก่ประชาชน ราคาที่ดินที่มีระดับสูงสุดอยู่ในย่านที่ประชากรหนาแน่นและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งทำให้การแลกเปลี่ยนผลผลิต (คือการซื้อขายในปัจจุบัน) เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
ราคาที่ดินเช่นนี้เจ้าของที่ดินไม่ได้ทำให้เกิด แต่ได้รับไป เพราะระบบภาษีของเราและแทบทุกประเทศมันเข้าข้างเจ้าของที่ดิน คือเก็บภาษีที่ดินน้อยไป และเก็บภาษีอื่นๆ มาก
เราเคยชินอยู่กับระบบภาษีเช่นนี้มานาน เลยไม่ได้คิดกันถึงว่าแรงงานและผู้ลงทุนต้องรับภาระอุ้มชูเจ้าของที่ดินอยู่ คือปล่อยให้มีชนชั้นหนึ่งได้อยู่สบายโดยไม่ทำงานผลิตเป็นการแลกเปลี่ยนกับส่วนที่ได้ไป เราพากันคิดว่าภาษีอื่นๆ เป็นเรื่องเล็กน้อย เราเกรงว่าเจ้าของที่ดินซึ่งเพิ่งจ่ายเงินซื้อหาที่ดินมาใหม่ๆ จะขาดทุน ก็เลยปล่อยให้ระบบภาษีเช่นนี้คงอยู่ต่อไป
แต่ผมเห็นว่าเราควรค่อยๆ เพิ่มภาษีที่ดินและค่อยๆ เลิกภาษีอื่นๆ ใช้เวลาสัก ๒๐-๓๐ ปี เพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครไปอุ้มใคร แต่ถ้ามีคนที่ยังต้องให้อุ้มอยู่เพราะไม่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ซึ่งมีแต่ผู้ลงแรงและผู้ลงทุนที่แท้แล้ว โดยเฉพาะคนชรา คนพิการ ก็ควรให้ความช่วยเหลือด้วยการสวัสดิการตามควร
คุณความคิดเห็นที่ ๓ น้นผมเห็นด้วยครับ ที่ดินและบ้านอาคารควรให้ซื้อง่ายขายคล่องเพราะจะช่วยคนจำนวนมากซึ่งต้องการย้ายด้วยเหตุผลต่างๆ กัน ไม่ควรเก็บภาษีกำไร หรือค่าธรรมเนียมการขายหรือโอนสูง และควรให้รวดเร็วมากๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นคนซื้อคนขายก็เสียหาย ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มระหว่างรอบ้านอาคารใหม่ ที่ดินผืนใหม่
จากคุณ : สุธน หิญ - [ 17 ก.ค. 47 22:58:46 ]
ความคิดเห็นที่ 5
สุดยอดมากๆๆๆๆ
ความมั่นคงหายวัตถุจะลดลง เหลือแต่ฝีมือ ทุกคนต้องทำงาน
จากคุณ : อาเล่อ - [ 18 ก.ค. 47 00:15:01 ]
ความคิดเห็นที่ 6
เห็นด้วยกับความเห็นที่ 2 ครับ
ความคิดจากทางตะวันตกที่ยกตัวอย่างมานั้นใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน แม้กระทั่งประเทศจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันรัฐบาลยังสนับสนุนให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดิน
การเก็บ ภาษีที่ดิน อย่างเดียว แต่เก็บในอัตราที่สูง ในทางปฏิบัติภาระจะตกอยู่กับผู้มีรายได้ปานกลางและผู้มีรายได้น้อยเหมือนเดิม
พวกราชาที่ดินซึ่งถือครองที่ดินในรูปของบริษัทก็ยังสามารถนำเอาภาระภาษีที่ดินไปหักออกจากกำไรสุทธิได้.....ก่อนเสียภาษีรายได้นิติบุคคล และถ้าพวกราชาที่ดินถือครองในรูปบุคคลธรรมดาก็ยังสามารถผลักภาระให้ผู้เช่าได้ตามความเห็นที่ 2
ถามว่าคนที่ถือครองที่ดินจำนวนมากหรือที่เรียกว่า "ราชาที่ดิน" นั้น.....มีจำนวนเท่าไหร่ในประเทศไทย ผมว่าน้อยกว่า 0.1% ถ้าเราออกภาษีในลักษณะนี้ถามว่าใครเดือดร้อน......คนอีก 99.9% ของประเทศจะต้องเดือดร้อน
ผมว่า
1. ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่แพงมากเพราะการเก็งกำไร ถ้าเราพยายามป้องกันการเก็งกำไรได้ ราคาที่ดินก็จะไม่เพิ่มขึ้นมาก
ผมเห็นด้วยในการเก็บภาษีการโอน และภาษีเฉพาะสำหรับผู้ขายที่ซื้อสินทรัพย์มาไม่เกิน 5 ปี จริงๆ เราต้องเพิ่มภาษีประเภทนี้......มากกว่าการเพิ่มภาษีที่ดินแบบเหวี่ยงแหให้คนเดือดร้อนกันไปทั่วประเทศ
ถามว่าคนไทยในชีวิตนึงย้ายบ้านกันกี่ครั้งครับ บางคนอยู่ที่เดียวตั้งแต่เกิดจนตาย
คนที่ย้ายข้ามจังหวัด (เช่นอพยพจากที่อื่นมาอยู่กรุงเทพฯ) เมื่อซื้อบ้านแล้วก็ไม่ขายภายใน 5 ปี
คนรายได้ปานกลางซื้อบ้านมา 15 ปี ยังผ่อนไม่หมดเลยครับ
พวกที่ซื้อแล้วขายภายในระยะเวลาน้อยกว่า 5 ปี......เชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายเก็งกำไร
2. ในความเป็นจริงราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถลดลงได้มากนักและไม่มีทางเป็นศูนย์ แต่ถ้าเราป้องกันไม่ให้ราคาเพิ่มขึ้นได้ อัตราเงินเฟ้อที่ทำให้มูลค่าของเงินลดลงในแต่ละปี จะทำให้มีคนจำนวนมากขึ้นสามารถครอบครองที่ดินและที่พักอาศัยได้
3. พื้นที่แต่ละแห่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่เท่ากัน ควรเพิ่มภาษีบำรุงท้องที่ในพื้นที่ๆ รัฐเห็นว่าใช้ที่ดินไม่คุ้มกับมูลค่า
4. การทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง.....ทำได้จากการเพิ่ม Supply ในตลาด....ไม่ใช่การขึ้นภาษี
สังเกตได้จากช่วงหลังฟองสบู่แตก อาคารสำนักงานมี Supply ล้นตลาดถึงกว่า 1 ล้านตารางเมตร ทำให้ราคาค่าเช่าต่อตารางเมตรลดลงมากในช่วงปี 1997-1999 นี่ยังไม่รวมถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ในโครงการพักอาศัยอย่างแฟลตปลาทองหรือคอนโดที่เมืองทองธานี ซึ่งลดลงมากในช่วงเดียวกัน
นอกจากนี้โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการต่างๆ ของการเคหะแห่งชาติสามารถช่วยเพิ่ม Supply ได้
อย่างเช่น แฟลตของการเคหะฯ สูงแค่ 4-5 ชั้น ต้องทุบทิ้งให้หมดเพราะปัจจุบันการใช้ประโยชน์ไม่คุ้มมูลค่าและมีปัญหาความสะอาด ความปลอดภัยในชุมชน
ต้องสร้างใหม่ให้สูง 20-30 ชั้น เพื่อให้สามารถรองรับคนจำนวนมากขึ้น...โดยไม่เพิ่มราคาค่าเช่ามากนัก (ไม่เกิน 10%) เพื่อให้คนรายได้น้อยสามารถจ่ายได้
หากมีปริมาณ Supply ในตลาดมากๆ การเก็งกำไรก็จะลดลง ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็จะลดลงด้วย
ขอบคุณคุณสุธนที่ช่วยจุดประกายความคิดในห้องสีลมครับ
จากคุณ : academician - [ 18 ก.ค. 47 03:42:37 A:130.18.158.202 X: ]
ความคิดเห็นที่ 7
ผมก็ขอบคุณที่ให้ความสนใจครับ
เอ! ผมว่าภาษีที่ดินที่ผมเสนอเก็บเท่าค่าเช่าที่ดินตามที่ประเมินว่าควรเป็นเท่าไรก็เก็บเท่านั้นนี่ เก็บทั้งนั้นไม่ว่าใครครอบครอง คือทั้งบุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล ซึ่งรวมทั้งบริษัทด้วย และไม่ว่าจะให้เช่าหรือไม่ก็ตาม ก็เก็บทั้งนั้น
ต้องแยกค่าเช่าที่ดินออกต่างหาก ค่าเช่าอาคารคือผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งผมเสนอไม่ให้เก็บภาษีครับ
ภาษีที่ดินไม่สามารถผลักภาระได้ (ตรงข้ามกับภาษีอื่นๆ) เพราะ
ภาษีที่ดินจะทำให้คนที่ใช้ที่ดินไม่คุ้มค่าต้องคายที่ดินออกมา (ไม่ว่ารายใหญ่หรือรายเล็ก) การเก็งกำไรเก็บกักที่ดินจะหายไป พวกเขาจะไม่สามารถขึ้นราคา/ค่าเช่าได้ เพราะคนอื่นซึ่งใช้ที่ดินไม่คุ้มค่าจะขายที่ดินออกมาทำให้ราคาลด ถ้าพวกเขาไม่อยากขายก็ต้องทำประโยชน์ให้คุ้ม นั่นคือจะต้องมีการใช้แรงงานและการใช้ทุนเพิ่มขึ้น การว่างงานจะลด ค่าแรงจะสูงขึ้น และจะมีที่ดินให้เช่ามากขึ้น โดยส่วนหนึ่งอาจออกมาในรูปที่ดินพร้อมบ้านหรืออาคารพาณิชย์ ค่าเช่าที่ดินก็จะต่ำลง ซึ่งไม่เหมือนกับการเก็บภาษีอื่นๆ ที่ผลักภาระให้ผู้ซื้อไป
นายทุนก็จะไม่ซื้อหาที่ดินไว้เกินกำลังที่เขาจะทำประโยชน์ให้คุ้มกับภาษีที่ดินที่สูงเท่าค่าเช่าได้ ต่อเมื่อเขาจะทำประโยชน์ให้คุ้มภาษีที่ดินได้เท่านั้นเขาจึงจะซื้อที่ดินครับ
ภาษีกำไรของบริษัทผมก็เสนอให้ยกเลิก เมื่อเก็บภาษีที่ดินเต็มที่แล้ว
(ค่อยๆ เลิก/ลดภาษีอื่นๆ ค่อยๆ เพิ่มภาษีที่ดินจนเต็มที่โดยใช้เวลา ๒๐-๓๐ ปี) เพราะกำไรก็คือผลตอบแทนจากการลงทุนเกิดผลผลิตและบริการซึ่งนำไปแลกเปลี่ยน (ซื้อขาย) กับผู้อื่นโดยสมัครใจทั้งสองฝ่าย เป็นการเอื้อประโยชน์กันตามหลักการแบ่งงานอยู่แล้ว
ในระบบภาษีใหม่ที่ผมเสนอ มีแต่ภาษีที่ดิน ไม่มีภาษีอื่นๆ หรือภาษีการลงแรงและการลงทุนครับ (ภาษีที่ดินหมายรวมถึงค่าภาคหลวงจากการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกนำขึ้นมาจากผืนแผ่นดินด้วย และยังมีค่าการให้สัมปทานชนิดที่เป็นการให้สิทธิพิเศษหรือค่อนข้างจะเป็นการผูกขาดด้วย)
จากคุณ : สุธน หิญ - [ 18 ก.ค. 47 12:48:06 ]
ความคิดเห็นที่ 8
ความคิดดีแต่ เมืองไทยคงเกิดยาก
จากคุณ : 3N - [ 18 ก.ค. 47 18:04:33 ]
ความคิดเห็นที่ 9
รับรองว่า ทำหมัน ทำแท้ง
ไม่ต้องมีลูก เดี๋ยวลูกออกมา ก็ต้องทำงาน
เพื่อเสียภาษี ลูกเกิดมาเพื่อคนอื่น
อยากให้ลูกได้สบายๆ เก็บค่าเช่าที่ทำสวน
ขืนไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินแก่มาก็ฆ่าตัวตาย
เพราะจะเอาแรงที่ไหนไปทำงานเสียภาษีที่ดินเป็นที่ซุกหัวนอน
เอาแค่ค่ายาก็จะตายอยู่แล้ว
จากคุณ : โลหการ4 - [ 19 ก.ค. 47 03:54:52 ]
ความคิดเห็นที่ 10
ตามความคิดนี้เท่ากับทุกคนมีความเป็นเจ้าของที่ดินเท่ากัน และใครใช้หรือครองที่ดินคิดเป็นค่าเช่าเท่าไรต่อปีก็เสียค่าเช่าเท่านั้น โดยท้องถิ่นหรือรัฐเป็นผู้เก็บค่าเช่า (ซึ่งเรียกว่าภาษีที่ดิน) แต่แทนที่จะเอาไปแจกให้ทุกคนเท่ากันในฐานะที่ทุกคนต่างก็เป็นเจ้าของที่ดิน ก็ให้นำไปใช้บริหาร/บริการท้องถิ่นและประเทศ แทนที่จะต้องเก็บภาษีอื่นๆ อย่างในปัจจุบัน
กำลังนี้คนจนด้อยโอกาสจำนวนมากซึ่งเป็นฐานรากชั้นต่ำสุดของสังคม รวมทั้งครอบครัวของพวกเขา ไม่มีที่ดิน ที่ดินต้องเช่าเขา แถมต้องเสียภาษีอื่นๆ พวกเขาไม่ลำบากยากแค้นกว่าครอบครัวของคุณโลหการ4 หรือครับ
ในระบบภาษีใหม่ที่มีแต่ภาษีที่ดินอย่างเดียว การเก็งกำไรเก็บกักที่ดินจะหมดไป ชนชั้นผู้ใช้แรงงานและผู้ลงทุนจะไม่ต้องถูกบังคับให้อุ้มชนชั้นเจ้าของที่ดินเอาไว้ รายได้ของเขาจะดีกว่าปัจจุบัน และจะหางานทำได้ง่ายกว่าปัจจุบัน การต้องพึ่งพาสวัสดิการของรัฐจะน้อยลง ดังนั้นผู้ที่จำเป็นต้องอาศัยสวัสดิการรวมทั้งการรักษาพยาบาลของรัฐจริงๆ จะลดจำนวนลงมาก ซึ่งจะทำให้ได้รับความช่วยเหลือทั่วถึงดีขึ้น รวมทั้งคนแก่ที่ไม่รู้จักเก็บออมตั้งแต่ตอนยังอยู่ในวัยทำงานด้วยครับ
จากคุณ : สุธน หิญ - [ 19 ก.ค. 47 06:47:14 ]
ความคิดเห็นที่ 11
1. มีคนไทยเพียงไม่ถึง 50% (เป็นข้าราชการและลูกจ้างบริษัท) ที่จ่ายภาษีรายได้บุคคลธรรมดาให้แก่รัฐบาล
อีกกว่า 50% มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ เป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ ร้านค้าโชวห่วย หาบเร่ แผงลอย ขายของตลาดนัด ทำนา ทำสวน ทำไร่ ซึ่งรัฐไม่บังคับให้เสียภาษี
2. มีชนชั้นแรงงาน ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ และชนชั้นกลางจำนวนมากที่มีรายได้น้อย แต่เป็นเจ้าของที่ดินในต่างจังหวัด
แรงงานและชนชั้นกลางในเมือง ให้คนรู้จักเช่าที่ดินในราคาถูกมาก (ไร่ละไม่ถึงพันบาทต่อปี)
3. ชนชั้นแรงงานส่วนใหญ่ไม่เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา เพราะรายได้ไม่ถึงเกณฑ์
4. คนที่อุ้มคนทั้งประเทศคือคนเพียงไม่ถึงครึ่งประเทศที่เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา คือข้าราชการและลูกจ้างบริษัท....ที่ถูกหักภาษีทุกเดือนก่อนได้รับเงินเดือน ไม่ใช่ชนชั้นแรงงาน ไม่ใช่ชาวนา ไม่ใช่ชนชั้นล่าง
อย่างที่ความเห็นที่สองบอกครับ
".....การเรียกเก็บภาษีเพิ่ม ในขณะที่ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ก็ยิ่งจะทำให้ชาวนา ชาวสวน ขายที่ดินมากขึ้น และที่ดินตกไปอยู่ในมือของนายทุนมากขึ้น ชาวนา ชาวสวนจะกลายมาเป็นกรรมกรในเมือง ที่ต้องจ่ายค่าเช่าต่อหน่วยสูงขึ้น สังคมจะแออัดมากขึ้น....."
".....ทำแบบนั้น คนรวยบนยอด ก็ยังจ่ายได้ เพราะใช้การถัวเฉลี่ยจากที่ดินที่ทำรายได้ หรืออาจใช้วิธีแบบปัจจุบัน คือ ออกกฎหมายหรือความคุ้มครองนายทุนออกมา แต่คนจน จะจ่ายไม่ไหว เพราะกลายเป็นภาษีทางตรง และต้องเช่าที่ดิน หรือเช่าบ้านแทน ซึ่งจะทำให้ราคาค่าเช่าสูง และค่าเช่านั้นจะตกกับเจ้าของที่ดินรายใหญ่อยู่ดี การกระจายรายได้ ก็ไม่เกิดขึ้น และน่าจะลำบากมากขึ้น....."
จากคุณ : academician - [ 19 ก.ค. 47 11:33:42 A:130.18.158.202 X: ]
ความคิดเห็นที่ 12
นอกจากพวกกรรมกร ชาวนา ชาวไร่ เด็กเลี้ยงควาย ฯลฯ แล้ว
................คนขับ Taxi คนขับสามล้อเครื่อง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขับรถสองแถว ลูกจ้างในร้านซักอบรีด ร้านถ่ายเอกสาร ร้านทำผม ร้านเสริมสวย ร้านตัดเสื้อปากซอย ช่างตัดผม ลูกจ้างยืนขายของตามแผงเช่าต่างๆ แม่ค้าขายข้าวแกง-ข้าวมันไก่-บะหมี่เกี๊ยว ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่ลูกจ้าง(พนักงาน)บริษัท ไม่เคยเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และรัฐไม่สามารถบังคับให้เสียภาษีได้เพราะไม่มีหลักฐานรายได้ที่แน่นอน
คนเหล่านี้...หลายคนมีบ้าน...มีที่ดินในต่างจังหวัด หากต้องมีภาระภาษีที่ดินเพิ่มขึ้น คงจะต้องอยู่อย่างลำบากมากขึ้น อาจต้องขายบ้าน ขายที่ดินเพราะไม่สามารถจ่ายภาษีที่ดินได้
ร้านอาหาร/ร้านค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนการค้า/ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม....ก็ไม่ต้องเสียภาษี
ร้านอาหารที่จดทะเบียนการค้า ก็สามารถจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชา เพื่อให้การประเมินรายได้ต่ำกว่าที่เป็นจริงมาก......เพื่อเลี่ยงภาษี......และถ้าจ่ายก็จ่ายน้อยกว่าความเป็นจริง แต่เจ้าของและลูกจ้างในร้านเหล่านี้ก็ไม่จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
คนที่อุ้มคนทั้งประเทศเอาไว้......มีไม่ถึงครึ่งนึงครับ อย่างที่บอกไปแล้ว
จากคุณ : academician - [ 19 ก.ค. 47 12:35:27 A:130.18.158.202 X: ]
ความคิดเห็นที่ 13
เราต้องเปลี่ยนหัวให้ทันแนวความคิดใหม่นะครับ อย่าเผลอเอาระบบเก่าบางเรื่องมาคิดกับระบบใหม่ด้วย ระบบใหม่ไม่มีภาษีอื่นๆ แล้ว นอกจากภาษีที่ดิน
ปัจจุบัน สมมตว่าคนจนได้ค่าแรงเดือนละ 5,000 บาท รวมทั้งปี 60,000 บาท รายได้เท่ารายจ่ายพอดี ภาษีมูลค่าเพิ่มเอาไปแล้ว 4,200 บาท แล้วภาษีสินค้าเข้า ภาษีสรรพสามิตหรือภาษีการผลิต ที่ผู้ผลิตผลักภาระมาให้อีก รวมแล้วอาจมากกว่าปีละหมื่น ถ้าทำงานสองคนทั้งสามีภรรยา ก็อาจเสียภาษีสองหมื่น ถ้าเป็นระบบใหม่เขาไม่ต้องเสีย
ท่านเองล่ะ? รวมภรรยาด้วย จ่ายภาษีเงินได้ปีละเท่าไร? ภาษีอย่างข้างบนนั่นอีกเท่าไร?
สำหรับที่ไร่นาในชนบท ก็อย่างที่บอกไปแล้ว คือ ราคาที่ดินในเมืองแพงกว่าที่ดินไร่นาในชนบทมากมายเป็นร้อยพันหรือหมื่นเท่า ดังนั้นในเมืองต้องเสียภาษีที่ดินแพงกว่าเป็นร้อยพันหรือหมื่นเท่าด้วย
อย่างที่ผมบอกไว้แล้วว่า ภาษีที่ดินไม่สามารถผลักภาระได้ (ตรงข้ามกับภาษีอื่นๆ) เพราะภาษีที่ดินจะทำให้คนที่ใช้ที่ดินไม่คุ้มค่าต้องคายที่ดินออกมา (ไม่ว่ารายใหญ่หรือรายเล็ก) การเก็งกำไรเก็บกักที่ดินจะหายไป พวกเขาจะไม่สามารถขึ้นราคา/ค่าเช่าได้ เพราะคนอื่นซึ่งใช้ที่ดินไม่คุ้มค่าจะขายที่ดินออกมาทำให้ราคาลด ถ้าพวกเขาไม่อยากขายก็ต้องทำประโยชน์ให้คุ้ม นั่นคือจะต้องมีการใช้แรงงานและการใช้ทุนเพิ่มขึ้น การว่างงานจะลด ค่าแรงจะสูงขึ้น และจะมีที่ดินให้เช่ามากขึ้น โดยส่วนหนึ่งอาจออกมาในรูปที่ดินพร้อมบ้านหรืออาคารพาณิชย์ ค่าเช่าที่ดินก็จะต่ำลง ซึ่งไม่เหมือนกับการเก็บภาษีอื่นๆ ที่ผลักภาระให้ผู้ซื้อไป
นายทุนก็จะไม่ซื้อหาที่ดินไว้เกินกำลังที่เขาจะทำประโยชน์ให้คุ้มกับภาษีที่ดินที่สูงเท่าค่าเช่าได้ ต่อเมื่อเขาจะทำประโยชน์ให้คุ้มภาษีที่ดินได้เท่านั้นเขาจึงจะซื้อที่ดินครับ
พอถึงระบบใหม่เราต้องเลิกคิดแล้วครับถึงการจะได้เงินฟรีๆ สำหรับการเป็นเจ้าของที่ดิน เพราะว่ามันเป็นเสมือนชุมชนและรัฐเป็นเจ้าของที่ดินแทนแล้ว เป็นแทนทุกคน คือทำให้ทุกคนไม่ต้องเสียภาษีอื่นๆ เพราะได้ภาษีที่ดินเท่าค่าเช่ามาแทน
ไม่ต้องห่วงแล้วที่จะต้องเสียที่ดินไป
ถ้านายทุนสามารถซื้อที่ดินได้มากๆ โดยจ่ายภาษีที่ดินเท่าค่าเช่าได้ ก็ปล่อยให้เขาได้ที่ดินไปเถิด เพราะว่าเขาจะทำประโยชน์ให้แก่สังคมสองต่อ คือจ่ายภาษีที่ดินอย่างหนึ่ง อย่างที่ ๒ คือ เขาต้องทำประโยชน์ได้คุ้ม นั่นคือต้องมีการผลิต มีการใช้แรงงาน ผู้ใช้แรงงานก็ได้รับประโยชน์ จะเป็นในเมืองหรือชนบทก็ตาม
ไม่ต้องเกรงหรอกครับว่าเก็บภาษีที่ดินเท่าค่าเช่าแล้ว คนจนในชนบทจะต้องเข้ามาหากินในเมืองกันหมด ก็คนจนในชนบทไม่มีที่ดินก็มีอยู่มากที่เขาเป็นลูกมือในฟาร์มบ้าง รับจ้างทำนาบ้าง เช่านาเขาทำบ้าง แล้วก็ต้องจ่ายภาษีด้วย (ภาษีทางอ้อมพวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสินค้าเข้า ภาษีสรรพสามิต อย่างที่กล่าวแล้ว)
ปัญหาไม่มีที่ดินทำกินเป็นปัญหาใหญ่อันหนึ่ง ผมจำไม่ได้แล้วที่มาลงทะเบียนไว้กับรัฐบาลไม่กี่เดือนมานี้ กรณีที่ดินที่ลำพูนก็แสดงถึงปัญหานี้ แต่ก็เห็นเสนอกันให้เก็บภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า ตานี้ในกรณีบริษัทหรือนิติบุคคลเป็นเจ้าของที่ดิน เขาจะคิดยังไงครับว่าที่ดินเกินเท่าไรถึงจะเก็บภาษีก้าวหน้่า คนเดียวกันมีที่ดินของตัวเองด้วย มีที่ดินในอีก 5-6 บริษัทด้วย ยอมได้หรือ? คิดได้หรือ?
เรื่องออกกฎหมายคุ้มครองนายทุนที่ดิน (เจ้าของที่ดิน) ถ้าพวกเราประชาชนยอมเขา ก็คงต้องยอมครับ ก็แปลอยู่แล้วว่า เรายอมเขาอยู่แล้วทุกอย่าง เรื่องอื่นๆ ก็เลิกพูดได้
จากคุณ : สุธน หิญ - [ 19 ก.ค. 47 13:24:25 ]
ความคิดเห็นที่ 14
หึ หึ บ้านผมทุกคนเสียภาษีถูกต้องทุกรายการครับ ขอบคุณครับที่เป็นห่วง
ผมจ่ายภาษีมากกว่าที่รัฐบาลต้องการด้วยซ้ำ.....ผมไม่ได้ขอคืนภาษีมาหลายปีแล้วครับ
และภาษีที่ดินเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่า ผมเองก็ไม่เดือดร้อนครับ เพราะผมก็ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ที่ผมแสดงความเห็นข้างบน เพราะกลัวคนส่วนใหญ่จะเดือดร้อน ไม่ใช่ว่าผมคัดค้านนะครับ เพียงแต่ให้ข้อเท็จจริง
ความคิดที่แตกต่าง ไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกันเสมอไปนะครับ
คนไทย "เปลี่ยนหัวให้ทันแนวความคิดใหม่" อย่างที่คุณคิดได้ .....จะมีกี่คนนะครับ ในห้องสีลม และในประเทศไทย
จากคุณ : academician - [ 19 ก.ค. 47 14:25:32 A:130.18.158.202 X: ]