พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทุกรกิริยา
.
(วาระที่ ๑) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง .. - ขบฟันด้วยฟัน - อัดเพดานด้วยลิ้น - ข่มจิตด้วยจิต - บีบให้แน่นจนร้อนจัดดูที.
ราชกุมาร ! ครั้นเราคิดดังนั้นแล้ว จึง .. - ขบฟันด้วยฟัง - อัดเพดานด้วยลิ้น - ข่มจิตด้วยจิต - บีบให้แน่นจนร้อนจัดแล้ว เหงื่อไหลออกจากรักแร้ทั้งสอง,
ราชกุมาร ! เปรียบเหมือนคนที่แข็งแรงจับคนกำลังน้อยที่ศีรษะหรือที่คอ บีบให้แน่นจนร้อนจัดฉะนั้น.
ราชกุมาร ! แต่ความเพียรที่เราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะฟั่นเฟือนไปก็หาไม่, เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะกำลังความเพียรที่ทนได้ยากเสียดแทงเอา.
(วาระที่ ๒) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง .. - เพ่งฌาน เอาการไม่หายใจเป็นอารมณ์เถิด.
ราชกุมาร ! ครั้นคิดดังนั้นแล้วเราจึงกลั้นลมหายใจออกเข้าทั้งทางจมูกและทางปาก.
ราชกุมาร ! ครั้นเรากลั้นลมหายใจทั้งทางจมูกและทางปาก เสียงลมออกทางช่องหูทั้งสองดังเหลือประมาณเหมือนเสียงลมในสูบแห่งนายช่องทองที่สูบไปสูบมาฉะนั้น.
ราชกุมาร ! แต่ความเพียรที่เราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะฟั่นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะกำลังแห่งความเพียรที่ทนได้ยากเสียดแทงเอา.
(วาระที่ ๓) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง .. - เพ่งฌาน มีการไม่หายใจนั่นแหละ (ให้ยิ่งขึ้น)* เป็นอารมณ์เถิด.
ราชกุมาร ! ครั้นคิดดังนั้นแล้ว เราจึงกลั้นลมหายใจออกเข้า ทั้งทางจมูกทางปากและทางช่องหูทั้งสองแล้ว.
ราชกุมาร ! ครั้นเรากลั้นลมหายใจออกเข้า ทั้งทางจมูกทางปากและทางช่องหูทั้งสองแล้ว ลมกล้าเหลือประมาณ แทงเซาะขึ้นไปทางบนกระหม่อมเหมือนถูกบุรุษแข็งแรง เชือดเอาที่แสกกระหม่อมด้วยมีดโกนอันคม ฉะนั้น.
ราชกุมาร ! แต่ความเพียรที่เราปรารภแล้วจะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะได้ฟั่นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะความเพียรที่ทนได้แสนยากเสียดแทงเอา.
(วาระที่ ๔) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง .. - เพ่งฌาน มีการไม่หายใจนั่นแหละ (ให้ยิ่งขึ้นไปอีก) เป็นอารมณ์เถิด.
ราชกุมาร ! ครั้นคิดดังนั้นแล้ว เราได้กลั้นลมหายใจออกเข้า ทั้งทางจมูกทางปากและทางช่องหูทั้งสองแล้ว.
ราชกุมาร ! ครั้นเรากลั้นลมหายใจออกเข้า ทั้งทางจมูกทางปากและทางช่องหูทั้งสองแล้ว รู้สึกปวดศีรษะทั่วไปทั้งศีรษะ เหลือประมาณ เปรียบปานถูกบุรุษแข็งแรง รัดศีรษะเข้าทั้งศรีษะด้วยเชือกมีเกลียวอันเขม็งฉะนั้น.
ราชกุมาร ! แต่ความเพียรที่เราปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะฟั่นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะความเพียรที่ทนได้แสนยากเสียดแทงเอา.
(วาระที่ ๕) ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง .. - เพ่งฌานมีการไม่หายใจนั่นแหละ (ให้ยิ่งขึ้นไปอีก) เป็นอารมณ์เถิด.
ราชกุมาร ! ครั้นคิดดังนั้นแล้ว เราได้กลั้นลมหายใจออกเข้า ทั้งทางจมูกและทางปากและทางช่องหูทั้งสอง. ราชกุมาร! ครั้นเรากลั้นลมหายใจออกเข้าทั้งทางจมูกและทางปากและทางช่องหูทั้งสองแล้ว ลมกล้าเหลือประมาณหวนกลับลงแทงเอาพื้นท้อง ดุจถูกคนฆ่าโคหรือลูกมือตัวขยันของเขา เฉือนเนื้อพื้นท้องด้วยมีดสำหรับเฉือนเนื้อโคอันคมฉะนั้น.
ราชกุมาร ! แต่ความเพียรของเราจะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะได้ฟั่นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระสับกระส่ายไม่สงบ เพราะกำลังแห่งความเพียรที่ทนได้แสนยากเสียดแทงเอา.
(วาระที่ ๖) ราชกุมาร ! ความคิดอันนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึง .. - เพ่งฌานมีการไม่หายใจนั่นแหละ (ให้ยิ่งขึ้นไปอีก) เป็นอารมณ์เถิด.
ราชกุมาร ! ครั้นคิดดังนั้นแล้ว เราได้กลั้นลมหายใจออกเข้าไว้ทั้งทางจมูกและทางปากและทางช่องหูทั้งสอง.
ราชกุมาร ! ครั้นเรากลั้นลมหายใจออกเข้าไว้ทั้งทางจมูกทางปากและทางช่องหูทั้งสอง ก็เกิดความร้อนกล้าขึ้นทั่วกาย ดุจถูกคนแข็งแรงสองคนช่วยกันจับคนที่กำลังน้อยที่แขนข้างละคนแล้ว ย่างรมไว้เหนือหลุมถ่านเพลิงอันระอุฉะนั้น.
ราชกุมาร ! แต่ความเพียรที่เราปรารภแล้วจะได้ย่อหย่อนก็หาไม่ สติจะฟั่นเฟือนไปก็หาไม่ เป็นแต่กายกระวนกระวายไม่สงบ เพราะกำลังแห่งความเพียรที่ทนได้แสนยากเสียดแทงเอา.
โอ ราชกุมาร ! พวกเทวดาเห็นเราแล้วพากันกล่าวว่า .. - พระสมณโคดมทำกาละเสียแล้ว, - บางพวกกล่าวว่า พระสมณโคดมไม่ใช่ทำกาละแล้ว เป็นแต่กำลังทำกาละอยู่, - บางพวกกล่าวว่า ไม่ใช่เช่นนั้น จะว่าพระสมณโคดมทำกาละแล้วหรือกำลังทำกาละอยู่ ก็ไม่ชอบทั้งสองสถาน พระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์ นั่นเป็นการอยู่ของท่าน, การอยู่เช่นนั้นเป็นการอยู่ของพระอรหันต์ ดังนี้.
( หมายเหตุ .. จขบ.
จะเห็นได้ว่า แม้ในการมองเห็นกาละแห่งการปฏิบัติความเพียรของพระพุทธองค์ซึ่งหน้า .. ผู้มองเห็นยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน .. ด้วยจริตและพื้นความคิดที่ต่างกัน ..
ในช่วงยามการกระทำทุกรกิริยา จิตของพระสมณะโคดมยังไม่บรรลุอรหันต์ เพราะยังไม่แจ้งซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท อย่างถูกต้อง .. แต่ "ความเห็น" ของบางคนที่มองเรื่องราวอยู่นั้นไม่สามารถเข้าใจได้ ก็เข้าใจว่านั่นเป็นความเป็นอยู่ของพระอรหันต์ ! ..
ตรงนี้เองที่เปรียบได้กับภาวะ "ตาบอดคลำช้าง" คือคนที่มีปัญญาต่างๆกัน ย่อมมองสิ่งๆเดียวกันไปคนละอย่าง .. เหมือนคนตาบอดคลำไปที่ตัวช้างแล้วพยายามอธิบายลักษณะช้างที่ตนจับต้องอยู่ .. ที่จับหางก็ว่าช้างมีลักษณะกลมเหมือนงู .. ที่จับหู ก็ว่าช้างมีลักษณะแบนเหมือนกระด้ง ..
การเที่ยวพูด หรือ การได้ยินคำพูดของผู้อื่นว่า พระ-องค์นั้นองค์นี้ เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ ก็ทำนองเดียวกับหมู่เหล่าที่มองว่า การกระทำทุกรกิริยาของพระสมณะโคดมคือ พฤติแห่งพระอรหันต์ นั่นเอง ..
คือเป็นความเห็นของ มิจฉาทิฏฐิ
พระพุทธองค์จึงให้ใช้หลักกาลามสูตร ในการแยกแยะเรื่องราวที่ได้รู้ได้ฟังมาก่อนจะลงความเห็นทางใดทางหนึ่ง เสมอไป
ดังนั้น การอ่านหลักธรรมที่ถ่ายทอดสืบมานับพันปี จะให้มีความเห็นไปในทางเดียวกันทั้งหมดได้อย่างไร ..
ความแตกต่างของการตึความ รวมทั้งเข้าใจความหมายในหลักธรรมที่ต่างกัน จึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา .. ทั้งๆที่ต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การถอนอาสวะออกจากจิตได้ หรือ การบรรลุอรหันต์นั่นเอง
ขณะที่หลักธรรมสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งในคืนตรัสรู้คือ "ปฏิจจสมุปบาท" .. ได้ถูกตีความเป็น 2 ลักษณะ คือ คร่อมภพคร่อมชาติตามแบบวิสุทธิมรรค โดยพระพุทธโฆษาจารย์ และ แบบปัจจุบันขณะตามแบบสวนโมกขพลาราม โดยท่านพุทธทาสภิกขุ
มีสำนักมากมายในเมืองไทยที่แทบไม่กล้าแตะต้องหลักธรรมนี้เลย .. หรือ ไม่ปรากฎเป็นลายลักษณ์อักษรแม้สักตัวที่จะใช้ "ปัญญาวิมุติ" เข้าจับและอธิบายความต่อโลก อย่างมีเหตุมีผล
"เจโตวิมุติ" กลับเป็นภาวะที่หลากหลายสำนักใช้ "แอบ..บังหลัง" เพื่อให้ "ชนทั้งหลายเข้าใจเอาเอง" ว่า สำนักตน"เน้น" และเจ้าสำนักนั้นๆ "น่าจะ" บรรลุธรรมแล้ว !
รวมทั้งไปเน้น เรื่อง บุญนิยม สร้างบารมี ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำ .. รวมทั้งไม่ใช่ประเด็นที่คนในสมัยพุทธกาลกล่าวถึงกันแม้แต่น้อย !
ก็ในเมื่อหลักธรรมสำคัญ เช่น ปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นแก่นหลักในคืนแห่งการตรัสรู้นั้นยังมีความเห็นที่แตกต่างกันเป็น 2 มติ ดังนั้นแล้ว .. ไฉนบรรพชิตในขอบเขตแห่งพุทธาวาส จึงไม่ยกขึ้นเป็นประเด็นถกเถียง โต้แย้ง กันให้กระจ่างเสียทีเล่า ?
เพื่อจะได้หยุดมิจฉาทิฏฐิ ที่สืบทอดมา เป็นพันปีลงเสียที .. ? )
(วาระที่ ๗) ราชกุมาร ! ความคิดอันนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้ากระไรเราพึงปฏิบัติการอดอาหารโดยประการทั้งปวงเสีย.
ราชกุมาร ! ครั้งนั้นพวกเทวดาเข้ามาหาเราแล้วกล่าวว่า .. "ท่านผู้นิรทุกข์ ! ท่านอย่าปฏิบัติการอดอาหารโดยประการทั้งปวงเลย ถ้าท่านจักปฏิบัติการอดอาหารโดยประการทั้งปวงไซร้ พวกข้าพเจ้าจักแทรกโอชาอันเป็นทิพย์ลงตามขุมขนของท่าน ท่านจักมีชีวิตอยู่ได้ด้วยโอชาทิพย์นั้น".
ราชกุมาร ! ความคิดนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เราปฏิญญาการไม่บริโภคอาหารด้วยประการทั้งปวงด้วยตนเอง ถ้าเทวดาเหล่านี้แทรกโอชาอันเป็นทิพย์ลงตามขุมขนแห่งเราแล้ว ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ด้วยโอชานั้น ข้อนั้นจักเป็นมุสาแก่เราไปดังนี้.
ราชกุมาร ! เราบอกห้ามกะเทวดาเหล่านั้นว่าอย่าเลย.
ราชกุมาร ! ความคิดอันนี้ได้เกิดมีแก่เราว่า ถ้ากระไรเราบริโภคอาหารผ่อนให้น้อยลง วันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้างดังนี้.
ราชกุมาร ! เราได้บริโภคอาหารผ่อนน้อยลง วันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง แล้ว.
ราชกุมาร ! เมื่อเป็นเช่นนั้นร่างกายของเราได้ถึงการซูบผอมลงยิ่งนัก. เพราะโทษที่เรามีอาหารน้อย - อวัยวะใหญ่น้อยของเราเป็นเหมือนเถาวัลย์อาสีติกบรรพ หรือเถากาฬบรรพ, - เนื้อที่ตะโพกที่นั่งทับของเรา มีสัณฐานดังเท้าอูฐ, - ข้อกระดูกสันหลังของเราผุดขึ้นระกะราวกะเถาวัลย์วัฏฏนาวลี, - ซี่โครงของเราโหรงเหรงเหมือนกลอนศาลาอันเก่าคร่ำคร่า, - ดาวคือดวงตาของเรา ถล่มลึกอยู่ในกระบอกตา ดุจเงาแห่งดวงดาวที่ปรากฏอยู่ในบ่อน้ำอันลึกฉะนั้น, - ผิวหนังศีรษะของเรา เหี่ยวย่นเหมือนน้ำเต้าอ่อนที่ตัดมาแต่ยังสด ถูกแดดเผาเหี่ยวย่นเช่นเดียวกัน.
ราชกุมาร ! เราคิดว่าจะจับพื้นท้องครั้นจับเข้าก็ถูกถึงกระดูกสันหลังตลอดไป, คิดว่าจะจับกระดูกสันหลัง ครั้นจับเข้าก็ถูกถึงพื้นท้องด้วย.
ราชกุมาร ! ตถาคตคิดจะถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ ก็เซล้มราบอยู่ ณ ที่นั้นเอง.
ราชกุมาร ! ตถาคตหวังจะให้กายมีความสุขบ้าง จึงลูบไปตามตัวด้วยฝ่ามือ ขนมีรากอันเน่าหลุดตกลงจากกาย.
โอ ราชกุมาร ! มนุษย์ทั้งหลายเห็นเราแล้วกล่าวว่า .. - พระสมณโคดมดูดำไป, - บางพวกกล่าวว่า พระสมณโคดมไม่ดำ เป็นแต่คล้ำไป, - บางพวกกล่าวว่าจะดำก็ไม่เชิง จะคล้ำก็ไม่เชิง พระสมณโคดมมีผิวเผือดไปเท่านั้น.
ราชกุมาร ! ผิวพรรณที่เคยบริสุทธิ์ผุดผ่องของตถาคต มากลายเป็นถูกทำลายลงแล้ว เพราะความที่ตนมีอาหารน้อยนั้น. . . . บาลี โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค ม.ม. ๑๓/๔๕๒/๔๙๕; และสคารวสูตร ม.ม. ๑๓/๖๗๘/๗๔๔; มหาสัจจกสูตร มู.ม. ๑๒/๔๕๐/๔๑๗. ความตอนนี้ ปาสราสิสูตรไม่มี.
----------------------------------------------- * แปลกจากวาระที่สองด้วย เอว ศัพท์ศัพท์เดียว.
Create Date : 19 พฤษภาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2555 8:49:38 น. |
Counter : 1300 Pageviews. |
|
|
|