ความมั่นคงอาหาร
เพื่อเป็นเวทีนำเสนอแลกเปลี่ยนข้อมูลมิติความมั่นคงระดับชาติ และการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่นและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ตลอดจนสื่อสารความเข้าใจในทุกมิติและทุกระดับ เพื่อให้เกิดแนวคิดและทิศทางในการจัดทำแผนงานเชิงปฏิบัติการในการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงอาหารในทุกระดับ...” ...นี่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของวัตถุประสงค์ในการจัดประชุมแสดงความคิดเห็น’การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ความมั่นคงอาหารจากชุมชนสู่ระดับชาติ“โดยฝ่ายเกษตร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)เมื่อต้นเดือนที่แล้ว
มาถึงตอนนี้...เรื่องนี้ดูจะยิ่งน่าติดตามมากขึ้น...
เพราะ... การประชุมในตอนนั้น มีประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงอาหารตลอดห่วงโซ่ เป็นประธานเปิดการประชุม โดยประธานผู้นี้คือ ยุคล ลิ้มแหลมทอง ที่ตอนนี้เป็น รมว.เกษตรฯ ดูแลกระทรวงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตอาหารตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งย่อมจะเกี่ยวกับเรื่อง “ความมั่นคงทางอาหาร”
ทั้งนี้ ย้อนไปในช่วงการประชุมในครั้งนั้น จากชุดข้อมูลที่หน่วยงานที่จัดได้เผยแพร่ต่อสื่อ ก็มีผู้สันทัดกรณีหลายคนแสดงความเห็นไว้อย่างน่าพิจารณา อย่าง ศ.นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัยแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ความมั่นคงอาหารประเทศไทย”ไว้ สรุปสาระสำคัญได้ว่า...สิ่งที่เป็นเรื่องใหญ่คือการประสาน
งานด้านข้อมูลที่ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการร่วมกันรวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ดินและน้ำ ตลอดจนโครงสร้าง
องค์กร ซึ่งทางสกว.จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดเวทีวิจัยและสนับสนุนงบประมาณเพื่อการทำวิจัย โดยมีสิ่งที่ยากที่สุดคือ การทำให้เกษตรกรยอมรับองค์ความรู้ใหม่ในการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารตลอดจนการทบทวนเรื่องการนำเข้าสารเคมี เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
ด้าน ลดาวัลย์ คำภา ในฐานะรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุไว้ในการเสวนาเรื่อง “พลวัตรด้านความมั่นคงอาหารของประเทศไทย”สรุปได้ว่า... ในไทยในปัจจุบันเกษตรกรมีอายุมากขึ้น ฐานทรัพยากรก็ประสบภัยพิบัติบ่อยขึ้นและรุนแรงมากขึ้น จึงต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบและสร้างภูมิคุ้มกันโดยตรง โดย สิ่งที่ต้องทำคือ สร้างความรู้และดูแลทรัพยากรหาแหล่งพลังงานทดแทน ผลิตอาหารสอดคล้องกับความต้องการของตลาดผู้บริโภคเข้าถึงได้ เกษตรกรต้องพึ่งตัวเองได้จากอาหารในท้องถิ่นตัวเองลดใช้สารเคมี สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอาหารและเกษตร รวมทั้งเน้นเรื่องการบริหารจัดการของภาครัฐที่ต้องบูรณาการมากขึ้น ทั้งความเหมาะสมของดิน น้ำ การแปรรูป การคมนาคมขนส่ง ซึ่งสภาพัฒน์ก็ผลักดันการบูรณาการทั้งระดับประเทศและจังหวัด
สำหรับ อภิชาต จงสกุล ในฐานะเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ก็ระบุไว้ในงานเดียวกันนี้ว่า...ภาคเกษตรยังคงเป็นภาคที่สำคัญสำหรับ เศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ในปัจจุบันมีข้อจำกัดทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินภาคการเกษตรและพื้นที่ชลประทาน การบุกรุกพื้นที่ทำกินและการเข้าครอบครองที่ดินของชาวต่างชาติ แรงงานภาคเกษตรลดลงจากการที่คนรุ่นใหม่ไม่สนใจทำเกษตร รวมถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะข้าว ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เป็นตัวชี้วัดด้านความมั่นคงอาหาร ที่ไทยจำเป็นจะต้องคำนึงถึง
ขณะที่ สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโสสถาบันคลังสมองของชาติ แสดงความเห็นประเด็น“ภาวะคุกคามของความมั่นคงอาหาร” เอาไว้ ซึ่งโดยสังเขปประกอบด้วย
1.ประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรของไทยกำลังก้าวสู่ภาวะลดต่ำลง การลงทุนวิจัยภาคเกษตรมีน้อยเกินไป การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเกษตรทำได้จำกัดและมักขาดความต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาคเกษตรไม่เข้มแข็ง
2.ขาดการส่งเสริมและพัฒนากลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลต่อการผลิตและการกระจายอาหารส่งผลต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค
3.นโยบายยกระดับรายได้เกษตรกร โดยรับจำนำในระดับราคาสูง ก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหารของชุมชนชนบทในอนาคต หากทำให้เกษตรกรละเลยการลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจุดเฝ้ามองที่สำคัญคือ การใช้นโยบายเกษตรไทยเพื่อความมั่นคงอาหาร ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
หากละเลย หรือให้ความสำคัญต่ำ ในมิติด้านความเข้มแข็งเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพทั้งด้านการผลิตและการ ตลาด ภาคเกษตรจะอ่อนแอและมีความเสี่ยงที่จะเกิดความไม่มั่นคงทางอาหาร
ทั้งนี้ สำหรับประธานเปิดประชุมแสดงความคิดเห็น ที่ตอนนี้เป็น รมว.เกษตรฯไปแล้ว ในตอนนั้นได้ระบุไว้บางช่วงบางตอนว่า...’การประชุมครั้งนี้คาดว่าจะมีตัวชี้ วัดที่สำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงอาหาร“
ขอบคุณ บทความ มั่นคง เรื่องอาหารยุทธศาสตร์ถึงไหน จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ด้วยความปรารถนาดี กานดา แสนมณี