เมื่อปลายเดือนที่แล้วผมกำลังหากล้องตัวใหม่ทดแทนตัวเดิม Sony RX100 ที่ชักเกเร เปิดติดมั่งไม่ติดมั่ง ตั้งใจว่าจะเอาไปเก็บภาพทริปตุรกีให้แจ่มๆ เลยอยากได้กล้อง spec เหนือขึ้นมาหน่อย สุดท้ายก็เลือกเอา Sony RX10 II (Brand Loyalty สูงครับ ยังไม่กล้าโดดไปใช้ตัวยากๆ) ก็นับเป็นกล้องอเนกประสงค์ที่ถ่ายมืดก็ได้ สปีดชัตเตอร์ก็แจ่ม ซูมก็ดี มาโครก็แจ๋ว เรียกว่าพกอันเดียวไม่ต้องเอาเลนส์ไปเปลี่ยนให้วุ่นวาย แต่ก่อนเอาไปเก็บภาพตุรกีก็เอาไปทดลองถ่ายรูปเที่ยวแถวๆนี้ก่อนครับ ผนวกกับวันลาปีนี้เหลืออีกบานเบอะ ยกไปปีหน้าได้ไม่หมด ถ้าไม่ลาก็โดนตัดทิ้ง เลยเที่ยวดีกว่า ชะลาล่า ~♥ และแล้วทริปหัดใช้กล้อง + เผาผลาญวันลาก็เกิดขึ้น ทริปสั้นๆนี้ผมเลือกแม่สอดเป็นจุดหมายปลายทางครับ เพราะมันไม่ใกล้จนน่าเบื่อ แล้วก็ไม่ไกลเกินไปจนเที่ยวไม่เสร็จภายในสองวัน
คุ้นๆในแบบเรียนมันให้ท่องไปสอบว่าเหนือสุดของไทยคือ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ใต้สุดคือ อ.เบตง จ.ยะลา ตะวันออกสุดคือ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี และตะวันตกสุดคือ อ.แม่สอด จ.ตาก
แต่พอดูแผนที่ดีๆแล้ว ตำแหน่งที่อยู่ลองติจูดตะวันตกสุดของไทยมัน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน นี่หว่า ...เศร้าใจมากที่ตะวันตกสุดของไทยไปอยู่ภาคเหนือ
ทริปนี้ไปกับแม่สองคนครับ ออกเดินทาง 7 โมงเช้าวันที่ 27 พ.ย. ไม่ใช่เทศกาลอะไรเลยไม่ต้องรีบออกจากบ้านมาก เส้นทางก็ง่ายแสนง่าย ขับตามถนนสาย 1 มาจนถึงตัวเมืองตาก แล้วแยกไปสาย 12 ไปทางแม่สอด ระหว่างทางมีจุดแวะเที่ยวที่น่าสนใจคืออุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช และตลาดดอยมูเซอ ส่วนศาลต่างๆที่โด่งดังอย่างศาลเจ้าพ่อพระวอ หรือศาลเจ้าพ่อขุนสามชน ล้วนเป็นศาลที่เพิ่งตั้งขึ้นมาไม่กี่ปี และไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อะไร (ตั้งศาลเพราะผู้หลักผู้ใหญ่ฝันเห็นคนมาสั่งให้ตั้งแค่นั้น) เลยไม่ได้สนใจแวะเท่าไหร่
อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราชตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร มีจุดขายคือต้นกระบากใหญ่ ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยเท่าที่มีการค้นพบ (ใครมีข่าวใหม่เจอต้นใหญ่กว่านี้ช่วยแจ้งที เราจะเดินทางไปดู)
รถไปได้สุดที่ลานจอดรถใกล้ต้นกระบากใหญ่ที่มีต้นไทรตั้งตระหง่านอยู่ต้นนึง จากจุดนี้ต้องเดินต่อไปอีก 400 เมตรถึงจะเห็นต้นกระบากใหญ่ครับ (หรือถ้าใครรักการผจญภัยจะเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวถึงต้นกระบากใหญ่ 2.5 km ก็ย่อมได้) ทีแรกก็คิดว่า 400 เมตรมันสิวๆ เพราะพระบาทหลังเต่าเดิน 2.5 km ขึ้นเขาไปดูยังเคยเดินไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องเทียบกับนักเดินป่าเป็นอาชีพอย่างพี่หยีเลย แต่เดินมาสักพักก็พบว่าคิดผิด (ฮึ่ม...เราประเมินอุทยานแห่งนี้ต่ำเกินไป...*กระอักโลหิต*) ด้วยความที่เส้นทางเดินเป็นทางขึ้น-ลงเขาตลอด และอากาศที่เบาบาง ทำให้กินแรงกว่าที่คิดมาก โชคดีที่มีร่มไม้บังแดดให้ตลอดเส้นทาง และอุณหภูมิเฉลี่ยของที่นี่ 25 องศา กำลังสบายๆ
จากจุดจอดรถเดินลงมา 400 เมตรก็เห็นต้นกระบากใหญ่ครับ นี่คือต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คิดว่าดีแล้วที่เขาไม่ทำถนนเข้ามาลึกกว่านี้ การที่มันเติบโตขึ้นมากลางป่าดิบทำให้สูงใหญ่ได้ถึงเพียงนี้
ต้นนี้รอบเอว 16 เมตร คนโอบได้สิบคน สูง 50 เมตร บิ๊กขนาดไหนก็เทียบกับเจ้าของบล็อกดูครับ
ขามาเป้นทางลงซะส่วนใหญ่ แต่ขากลับยิ่งสาหัสพราะต้องเดินขึ้นเพื่อกลับไปยังที่จอดรถ เดินมาจะพบป้ายให้กำลังใจนักท่องเที่ยวเป็นระยะๆ เช่น "ค่อยๆเดิน เหนื่อยก็พัก" "ใกล้จุดหมายแล้วอีกนิดเดียว" "ถ้าตายก็เขียนพินัยกรรมให้ด้วย" ...เจ้ย! อันนี้ไม่มี!
ออกจากอุทยานตากสินมหาราชขับตามสาย 12 มาอีกไม่ไกลจะพบตลาดดอยมูเซอที่มีชาวเขาเอาของป่ามาขายในราคาถูก อันที่จริงร้านส่วนใหญ่ก็ไปรับมาอีกต่อนึง แต่ก็ถูกอยู่ดีนั่นละครับ ผักถูกกว่าในโลตัส 3 เท่าได้ อย่างฟักทองอะ แม่ค้าบอกว่ารับมาโลละสี่บาทขายห้าบาท โอเชเลยครับ มาร์คจุดนี้ไว้ก่อน เดี๋ยวขากลับจะมาแวะซื้อ
ทางไปแม่สอดเป็นทางขึ้นลงเขาที่คดเคี้ยวนิดหน่อย พอๆกับช่วงลำปาง-ลำพูน จากตลอดดอยมูเซอขับมาอีกชั่วโมงเดียวก็ถึงแม่สอดครับ
แผนที่แม่สอดจากหนังสือแผนที่ทางหลวงของ NOSTRA (คลิ๊กเพื่อชมภาพขยาย)
ที่นี่คนนุ่งโสร่งกันทั่วบ้านทั่วเมือง นี่มันเมืองพม่าชัดๆ จุดแรกที่จะแวะเที่ยวคือโบราณสถานคอกช้างเผือก แต่หลงเข้าไปในวัดคอกช้างเผือก ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับตัวโบราณสถาน แต่มีจุดชมวิวที่สวยดี ที่เห็นนี้คือแม่น้ำเมยที่กั้นพรมแดนไทย-พม่า อีกฝั่งนั่นประเทศพม่าแล้วนะ
ออกจากวัดแล้วขับไปตามป้าย จะพบแนวกำแพงโบราณที่เรียกว่าโบราณสถานคอกช้างเผือก เป็นกำแพงอิฐสูง 1 เมตร กว้าง 80 เมตร ล้อมสี่ด้าน เชื่อว่าเป็นเพนียดช้างเผือกของเมืองตากที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขทัย อันที่จริงบริเวณนี้ก็เป็นเมืองโบราณนะครับ เป็นเมืองฉอดของขุนสามชนที่ชนช้างแพ้พ่อขุนรามคำแหงนั่นไง แต่ไม่ค่อยมีโบราณสถานให้ดูเลย
ขับตามถนนชนบทขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปยังพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ ก่อนถึงมีบ้านชาวกะเหรี่ยงและพวกเด็กๆลูกบ้านวิ่งตามรถเข้ามาจนถึงทางขึ้นพระธาตุ กลัวขับทับเอาจังลูกเอ๊ย
พวกเด็กชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้พูดไทยได้ชัดถ้อยชัดคำ เด็กกลุ่มนี้จะวิ่งหานักท่องเที่ยวเพื่ออาสาเป็นไกด์นำขึ้นไปชมพระธาตุและจุดที่น่าสนใจต่างๆ แล้วให้เราแจกค่าขนมตามศรัทธา (มีเด็กโตในกลุ่มทำหน้าที่เหรัญญิกคอยกระจายรายได้ด้วย) แต่ผมอยากเดินเที่ยวเรื่อยเปื่อยถ่ายรูปนานๆ เลยขอขึ้นไปเองจ้า แล้วให้ค่าขนมคนละบาทสองบาทเพื่อไล่ไปให้พ้น ชิ่วๆ
ดอยแห่งนี้เรียกว่าดอยดินจี่ (ดินไฟไหม้) เนื่องจากหินมีลักษณะสีน้ำตาลไหม้ ไม่มั่นใจว่าจะขึ้นไปถึงพระธาตุไหวไหม เพราะเพิ่งเสียพลังชีวิตมาจากเส้นทางสู่ต้นกระบากใหญ่ พอถามน้องเขาว่าขึ้นไปถึงพระธาตุไกลไหม น้องเขาบอกว่าไม่ไกลมาก แบบนี้มีแรงขึ้นแน่นอนครับ
จุดแวะมีหลายจุด แต่ผมสนใจแค่ตัวพระธาตุ (หมายเลข 5) นั่นละ
เดินขึ้นบันไดมานานก็แล้วสองนานก็แล้ว ก็ยังคงไม่เห็นยอดดอย รู้สึกว่ามันสูงไม่แพ้พระบาทภูพานคำที่ขอนแก่นเลย แล้วผมก็นึกทบทวนประโยคที่น้องกะเหรี่ยงบอกไว้....
450 ขั้น... มันเท่ากับเดินขึ้นตึก 20 ชั้นเลยนี่หว่า!!! สำหรับน้องๆที่วิ่งตามรถเป็นว่าเล่นแล้วก็คงจิ๊บๆละนะ แต่สำหรับเจ้าของบล็อกที่เพิ่งพ้นวัยเด็กมาหลายสิบปีแล้วกระอักโลหิตซ้ำรอบสองจ้ะ *อะเฮื้อ*
เดินผ่านถ้ำพระพุทธรูปหลวง (เป็นพระศิลปะพม่า) ไปอีกนิดในที่สุดก็ถึงองค์พระธาตุครับ เป็นพระธาตุบนก้อนหินที่ตั้งริมผาแบบจะร่วงมิร่วงแล้วแต่จะโปรด อันนี้หละใกล้เคียงพระธาตุอินทร์แขวนของพม่าที่สุดแล้ว ว่ากันว่าสร้างโดยชาวกะเหรี่ยงชื่อพะส่วยจาพอมาพบหินก้อนนี้และสร้างพระธาตุตามพระธาตุอินทร์แขวน แล้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในองค์เจดีย์
ทิวทัศน์ด้านบน มองเห็นพม่าด้วย
น้องๆที่นั่งคุยกับแม่ที่รออยู่ด้านล่าง (แม่ผมไม่ได้ขึ้นไปด้วย) สามคนนี้ดูจะเล็กว่าเพื่อน พอมีนักท่องเที่ยวมาก็แย่งพี่ๆไม่ค่อยจะทัน น้องดาวเรือง (น้องผู้หญิงที่ชูสองนิ้ว) เล่าว่าพ่อทำงานเป็นกรรมกรทำงานหนักมากแต่เงินน้อย เด็กๆหาทิปจากนักท่องเที่ยวก็เป็นรายได้ช่วยครอบครัวอีกทางหนึ่งนะ ถ้าจะทิปให้เป็นรายคนไปเลยนะครับ อย่าให้เด็กเอาไปแบ่งกันเองนะ ไม่งั้นไม่ถึงมือน้องเล็กๆจ้า
อันนี้วัดไทยวัฒนารามครับ ขับผ่านแล้วเห็นว่าสวยเลยแวะ เกือบจะพลาดจุดเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของแม่สอดไปซะแล้ว วัดนี้เป็นวัดพุทธมหายานของชาวไทยใหญ่ที่ได้รับอิทธิพลศิลปะจากพม่ามาก สร้างในปี พ.ศ.2400 เสียดายผมไปถึงห้าโมงเย็น หลายๆอาคารปิดแล้ว อย่างพระพุทธมหามุนีที่จำลองแบบจากพม่าก็ไม่ได้เห็น
พระพุทธไสยาสน์ที่ยาวที่สุดในจังหวัดตาก ยาว 46 เมตร พอๆกับพระนอนวัดโพธิ์ครับ ถ้า ranking พระนอนในประเทศไทยตามความยาวแล้วน่าจะอยู่อันดับ 5-6
ต้นศรีมหาโพธิ์
มื้อเย็นมาร้านข้าวเม่า-ข้าวฟ่าง ตรงทางไป อ.แม่ระมาดครับ นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมอยากมาแม่สอด เพราะหลังไปกินข้าวในร้านที่ตกแต่งสวยงามอย่างตำนานป่าที่ระยองมาแล้วก็มีคนเล่าว่าข้าวเม่า-ข้าวฟ่างที่แม่สอดสวยยิ่งกว่านี้อีก ผมนี้ขับรถมาแม่สอดเลยครับ
ข้าวเม่า-ข้าวฟ่าง ตกแต่งร้านด้วยบรรยากาศแบบป่าฝนอันอุดมสมบูรณ์สวยงามสมคำร่ำลือ ที่สำคัญอาหารราคาไม่แพงเลยครับ ไหนๆก็มาริมน้ำเมยแล้วอยากกินปลาน้ำจืด เลยจัดเมี่ยงข้าวเม่าปลาเมยกรอบ กับปลาเมยต้มยอดมะขาม (ในเมนูเขียนว่าปลาเมย -- คือปลาที่จับได้จากลำน้ำเมย ไม่บอกว่าปลาอะไร ไปลุ้นกันเอาครับ) รสชาติมาตรฐาน ...ไม่สิ ตกมีนด้วยซ้ำ ต้มยอดมะขามออกเค็ม ไม่แซ่บ เมี่ยงปลาขมเปลือกมะนาว และเห็ดอบแห้งเกิน แต่บริการดี วิวแจ่มเกินมาตรฐานไปเยอะ และราคาไม่แพง ระดับความพึงพอใจเลยอยู่ในเกณฑ์ดีครับ
|
|
|
|
ตอนนี้ตลาดริมเมยปิดไปเรียบร้อยแล้ว ถ่ายรูปสะพานมิตรภาพไทย-พม่ายามค่ำคืนท่ามกลางการจับตาของทหารพม่าที่เฝ้าดูอย่างกระชั้นชิดเสร็จแล้วก็ไปหาที่นอนกันครับ
ระหว่างทางแวะซื้อสบู่สักหน่อย เจอห้างฮงล้ง ผมชอบแวะห้างท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นั้นๆ อย่างห้างเสรีเซนเตอร์ของลำปาง มังกี้มอลของลพบุรี ฯลฯ ห้างฮงล้งนี้ของใช้ราคาถูกมากเลยครับ ลืมตลาดกิมหยงหรือตลาดท่าเสด็จที่แพงเกินความคาดหวังนักช้อปไปได้เลย ห้างนี้มันถูกกว่าตลาดนัดหลัง กฟผ. ด้วยซ้ำ!
วันนี้นอนฮอปอินน์ครับ หนนี้ไม่ได้จองโรงแรมในเน็ตมา แต่อันนี้มีโรงแรมในเครือหลายจังหวัดทั่วประเทศ เชื่อมั่นได้ ราคาห้องคืนละ 600 มีอาหารเช้าให้ด้วย นับว่าถูกเลยหละ ห้องก็สวยสะอาดไร้สิ่งกวนใจ ยกเว้นการที่สายฉีดตูดไปอยู่ด้านซ้ายมือ
ข้าวเช้ามีให้เลือกระหว่างเบรคฟาสต์กับข้าวต้ม
วันต่อมา (28 พ.ย.) ตื่นไปเดินเล่นริมเมยตอนหกโมงเช้า ตลาดริมเมยก็ยังไม่เปิด (เมิงจะขายกี่โมงครับพี่?) จุดที่คนเที่ยวแม่สอดต้องมาถ่ายกันก็คงเป็นป้ายนี้ละครับ สุดประจิมที่ริมเมย แต่นี่ก็ไม่ใช่จุดที่ตะวันตกสุดของแม่สอดอยู่ดีนั่นละ (ดอยหินกิ่วเมื่อวานยังจะตะวันตกซะกว่า) แต่ติดแม่น้ำเมยเฉยๆ
มีคนใช้สะพานมิตรภาพไทย-พม่าข้ามแดนกันตั้งแต่เช้า มีทั้งรถยนต์แล่นและคนเดินเท้าข้าม หนนี้ผมไม่มีกิจอะไรฝั่งโน้นเลยไม่ได้ทำบัตรผ่านแดนข้ามไป
หุ่นไล่การิมทาง
วันนี้เดินทางกลับกรุงเทพอย่างเดียวครับ ไม่มีโปรแกรมอื่นใด ยกเว้นแวะตลาดดอยมูเซอตามที่ทำสัญญาลงนาม MOU กับแม่ค้าไว้ ขับออกจากแม่สอดกลับไปทางตัวเมืองตากผ่านเส้นทางขึ้นเขายึกยือๆ ตามทางเดิมที่ขับมานั่นละครับ พอผ่านตลาดสดด้านซ้ายมือแล้วแป๊บนึงก็จะถึงตลาดดอยมูเซออยู่ทางขวา
"ฟักทองจ้า รับมาสี่บาทขายห้าบาทจ้า" โอเค ราคาเดิมไม่มั่วสคริปต์แบบนี้ซื้อครับซื้อ พวกเห็ดหลินจือหรือน้ำผึ้งป่าก็ถูกมากนะครับ แต่ไม่รู้จะซื้อมาทำอะไร
พวกผักกำใหญ่ๆ กำละ 20 ถูกใจพริกยักษ์ถุงละ 50 มาก ปกติในห้างขายลูกละ 50
ส้มปลูกบนเขาอร่อยอยู่แล้วครับ ซื้อไปโลด
เด็กๆชาวเขา
คุณแม่ค้าฟักทองให้ลูกไม้ที่เก็บจากป่ามาด้วย เรียกว่าพระเจ้าห้าพระองค์ ชาวเขานิยมพกไว้ป้องกันอันตรายเวลาเดินทาง ตอนนี้ก็ยังเก็บไว้ในรถคู่กับพระเครื่องที่พ่อให้มาครับ เรื่องศักดิ์สิทธิ์คงไม่ศักดิ์สิทธิ์หรอก (มีขายเป็นเข่งเลยจ้า) แต่ของเหล่านี้เต็มไปด้วยความปรารถนาดีของผู้คนที่เราพบเจอมา
ขอบคุณที่เดินขึ้นไปถ่ายรูปมาให้ชมค่ะ อิอิ เราบ่ได้ไป