|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
เที่ยวแดนใต้ส่งท้ายปี (พังงา-ภูเก็ต-กระบี่)
ทริปปีใหม่มาแล้วจ้า!!! (เร็วมั้ย?) อันที่จริงช่วงวันพ่อผมก็ลงใต้แถวสงขลาไปแล้ว แต่ขอดองไว้ก่อนครับ เพราะมันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เยอะ ผมยังอ่านประวัติศาสตร์ภาคใต้ไม่จบ เอามาทำบล็อกเดี๋ยวไม่ได้อรรถรส ก็ขอลัดคิวมาอัพทริปปีใหม่เลยแล้วกัน
ปีใหม่แต่ละปีที่บ้านจะเลือกเที่ยวจังหวัดเด็ดๆไกลๆ เป็นสุดยอดทริปเที่ยวไทยของปีนั้นๆครับ อย่างปี 2555 เป็นหนองคาย, 2556 เชียงราย, 2557 กาฬสินธุ์ และ 2558 ครั้งนี้....ภูเก็ต ชั้นเลือกนาย! (ทำเสียงแบบซาโตชิ) จะว่าไปที่บ้านก็ไม่ได้ลงใต้มานานแล้วเหมือนกัน ครั้งล่าสุดก็ปี 2550 นู่นเลยครับ คือรอบนั้นขากลับดันรถคว่ำน่ะ ผมเลยไม่ชอบภาคใต้ เพราะเที่ยวแล้วรถคว่ำ
คว่ำเสร็จฝนตกซ้ำอีกต่างหาก รถจมบุ๋งๆ~
อันที่จริงหลังจากนั้นมีลงใต้อยู่สองครั้ง คือพาแขกไปประชุมที่กระบี่ (ทำงานจ้ะ ไม่ได้เที่ยว) และไปบ้านเพื่อนที่ระนอง (ไม่นับเป็นทริป เพราะไปเปลี่ยนที่เล่นเกมเฉยๆ) แต่หนนี้ละครับ เราจะได้ลงใต้ครั้งใหญ่!! เราออกเดินทางวันที่ 29 ธ.ค. ช่วงบ่ายครับ เพราะน้องสะใภ้ยังทำงานที่โรงไฟฟ้าราชบุรีถึงวันจันทร์เช้า ไปกันสี่คน (ผม-แม่-น้อง-น้องสะใภ้) สลับกับน้องขับ ทริปนี้จองที่พักไว้ตลอดทาง นั่นคือต้องกะเวลาแม่นพอสมควรเลยนะครับ ถ้าค่ำแล้วยังขับไม่ถึงที่หมายก็เสียค่าโรงแรมฟรีจ้ะ ยิ่งวันแรกไม่แน่ใจว่ารถจะติดแค่ไหน เลยเซ็ตจุดหมายไว้ใกล้ๆแค่ทับสะแก เลยตัวเมืองประจวบไปนิดหน่อยพอ
DAY 1
วันนี้เดินทางอย่างเดียว ใช้เวลาครึ่งวัน วิ่งไป 388 กม. โชคดีที่รถไม่ติดมาก เพราะคนส่วนใหญ่จะออกกันวันที่ 27 หรือไม่ก็ 31 ธ.ค. มากกว่า
ระหว่างทางเห็นปากแม่น้ำปราณเลยแวะชมทะเลกันสักหน่อย หาดตรงเอวาซอนคลื่นกระแทกขอบคอนกรีตเสียงดังสนั่นสะใจมากเลยครับ นี่แหละ ทะเลภาคใต้มันต้องแบบนี้!
คืนแรกเราพักกันที่ซันไชน์พาราไดซ์รีสอร์ทครับ ติดหาดส่วนตัว ถึงคนจะจองกันเต็มทุกห้องแต่บรรยากาศก็ยังคงเงียบสงบ ห้องพักแบบถูกสุดคืนละ 1,318 บาทจ้า ราคานี้ไม่รวมอาหารเช้า (อาหารเช้าหัวละ 200.- เลยไปกินข้างทางเอาดีกว่า) เป็นราคาเทศกาล+จองผ่าน agoda นะ ถ้าเที่ยวช่วงอื่นและ walk in น่าจะถูกกว่านี้ แต่ก็คุ้มราคาครับ มีสายฉีดตูด //เลิกรีวิวสายฉีดตูดได้แล้วว้อย!! เอาเป็นว่ารู้กันว่าโรงแรมทุกแห่งที่ผมพักเลือกมาแล้วว่ามีสายฉีดตูดแน่นอนแล้วกัน
ใน GPS ไม่ค่อยมีข้อมูลโรงแรม กลัวจะหาโรงแรมไม่เจอเลยหาพิกัดในกูเกิ้ลไว้คีย์ลง GPS ครับ ใครสนใจซันไชน์พาราไดซ์รีสอร์ทแห่งนี้จดพิกัดไปเลยจ้า 11.411894, 99.597715
บรรยากาศยามเย็นและยามเช้าริมทะเลดีมั่กๆ แต่ดื่มด่ำบรรยากาศนานไม่ได้ครับ เดี๋ยวเที่ยวไม่ได้ตามเป้า วันที่ 30 ธ.ค. เป็นวันที่เราจะเริ่มเที่ยวจริงๆแล้วนะ วันนี้เราตั้งเป้าจะดิ่งลงให้ถึงภูเก็ต!! ไม่รู้ aim high ไปหรือเปล่านะครับ เพราะต้องผ่านระนองและพังงา ระยะทางไม่สั้น และเส้นทางส่วนใหญ่เป็นภูเขาคดเคี้ยว แต่โปรแกรมเที่ยววันนี้ยังน้อยอยู่ก็น่าจะทำเวลาได้ละน่า
DAY 2
วันนี้ระยะทางที่วิ่ง 568 กม. ครับ (ส่วนไอ้เลขที่บอกว่ากี่ชั่วโมงในกูเกิ้ลไม่ต้องไปสนใจนะ อันนั้นตะบี้ตะบันขับอย่างเดียว ไม่ยอมดื่มด่ำธรรมชาติ) หลังกินอาหารเช้าข้างทางจนสมใจแล้วเราก็เข้าเขตบ้านกรูด ไปชมเจดีย์ภักดีประกาศที่ใหญ่โตสวยงามของวัดทางสาย อยู่บนเขาธงชัย ขับรถขึ้นไปถึงด้านบนได้เลยครับ ลานด้านบนมีพระพุทธกิติสิริชัยสูง 13 เมตร ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ สร้างในปี 2535 ฉลองราชินีครบรอบ 60 พรรษาครับ
จากลานจอดรถ เดินขึ้นบันไดไปนิดหน่อยก็จะมาถึงพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ สร้างในปี 2539 ฉลองในหลวงครองราชย์ครบ 50 ปี เป็นกลุ่มเจดีย์ 9 องค์ สื่อถึงรัชกาลที่ 9 เข้าไปด้านในมี 5 ชั้น แต่ห้ามถ่ายรูปยกเว้นกระจกสีถ่ายภาพได้ครับ หรือจะเข้าไปชมวิวหาดบ้านกรูดก็ได้ทิวทัศน์สวยงามจากยอดเขาธงชัย
จบจากการแวะเที่ยวข้างทางโทษฐานอยู่ใกล้ที่พักไปแล้ว คราวนี้จะดิ่งลงใต้ของจริงละครับ เราขับผ่านชุมพร (ซึ่งเที่ยวจนหนำใจไปแล้วช่วงวันพ่อ แต่ดองไว้ไม่ยอมเอามาลงบล็อก) ถ้าตรงต่อมันเป็นสาย 41 ดิ่งลงสุราษฎร์ครับ แต่เราไม่เอา เราจะเที่ยวพังงาเลยไปต่อสาย 4 ออกทางตะวันตกไประนอง ตัวจังหวัดระนองแทบไม่มีที่เที่ยวอะไรเลยครับ มีแต่ที่เล่นเกมบ้านเพื่อน เอ้ย! มีบ่อน้ำร้อนรักษะวารินแล้วก็น้ำตกหงาว แต่เคยไปแล้วเรารู้สึกเฉยๆ คงเป็นเพราะช่วงนั้นเที่ยวหน้าแล้ง น้ำตกหงาวจึงมีลักษณะคล้ายฉี่แมว
สรุปว่ารอบนี้แวะซื้อซาละเปาทับหลีแล้วดิ่งลงใต้ไปพังงาต่อเลยจ้า ถึงจะบอกว่าดิ่งแต่มันก็ทำความเร็วไม่ได้เท่าไหร่ละนะ เพราะเส้นทางเป็นภูเขาคดเคี้ยวตลอดทาง ถ้าไปภูเก็ตทางสุราษฎร์อาจระยะทางไกลกว่าแต่ทำเวลาง่ายกว่า แต่เชื่อผมเถอะว่าคนระนอง-พังงาขับรถน่ารักกว่าฝั่งนั้นเยอะ วิวก็สวยกว่าด้วยนะ และที่สำคัญเราจะเที่ยวพังงาฝั่งอันดามันที่มีเมืองตะกั่วป่าและแหลมปะการังที่น่าสนใจครับ
สมัยก่อนภาคใต้เป็นแหล่งค้าดีบุกที่สำคัญ และเมืองตะกั่วป่าก็เป็นเมืองการค้าที่มีชาวจีนเข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ที่ชื่อเมืองตะกั่วป่าเพราะคนสมัยก่อนเรียกดีบุกว่า "ตะกั่วดำ" แต่บางส่วนเชื่อว่ามาจากคำอินเดียว่าตะโกลาซึ่งแปลว่าดำ ในสมัยอยุธยาเมืองนี้มีฐานะเป็นหัวเมืองทางใต้ที่ขึ้นกับนครศรีธรรมราช แต่ถูกพม่าทำลายในศึกเมืองถลาง ผู้คนจึงอพยพไปอยู่บริเวณที่เป็นจังหวัดพังงาในปัจจุบัน แต่การค้าดีบุกก็ทำให้ตะกั่วป่าฟื้นตัวกลับมาอีกรอบ และพอ ร.6 แบ่งการปกครองเป็นจังหวัดแล้วที่นี่ก็กลายเป็นจังหวัดตะกั่วป่า จนกระทั่ง ร.7 ยุบตะกั่วป่าไปรวมกับจังหวัดพังงาเพราะความตกต่ำทางเศรษฐกิจในยุคนั้น ยิ่งช่วงหลัง พ.ศ. 2524 เป็นต้นมาราคาดีบุกในตลาดโลกต่ำลงจนการค้าดีบุกซบเซาลงไป เมืองการค้าที่สำคัญอย่างตะกั่วป่าก็หมดบทบาท พื้นที่แถบนี้หันมาพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนเมืองตะกั่วป่าก็ย้ายเมืองไปที่เทศบาลตะกั่วป่าปัจจุบัน ห่างจากเมืองเดิม 7 กม.
เมืองเก่าตะกั่วป่าคือที่นี่ครับ ตลาดใหญ่ตะกั่วป่า ใน ต.ตลาดใหญ่ ขับรถจากตัว อ.ตะกั่วปาตามถนน 4090 มา 7 กม. ก็ถึง ขับรถชมวิวอาคารเก่าตามแนวถนนศรีตะกั่วป่าและถนนอุดมธาราได้สบายๆเลย ที่นี่ปลอดรถและไร้ผู้คนมากๆ พูดถึงตลาดร้อยปีที่มีอยู่เกลื่อนทั่วประเทศไปแล้วตอนนี้ใครอยากเห็นตลาดเก่าของแท้มาที่นี่เลยดีกว่าครับ เป็นตลาดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่หลังจากย้ายเมืองตะกั่วป่าไปที่เทศบาลตะกั่วป่าปัจจุบันแล้ว เมืองเก่าก็เกือบรกร้าง มีเฉพาะวันอาทิตย์ที่จะจัดถนนคนเดิน ...แต่เราไม่ได้ผ่านเมืองนี้วันอาทิตย์นี่นะ
จุดสำคัญคือเมืองตะกั่วป่าเก่าแห่งนี้ยังคงสภาพอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส (จีนผสมโปรตุเกส) ที่สวยงามและมีอายุเกือบร้อยปีไว้มากมาย คล้ายเมืองภูเก็ต แต่ด้วยความเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โลว์โปรไฟล์กว่าเมืองภูเก็ต ทำให้ตะกั่วป่าหลงเหลือกลิ่นอายเก่าๆไว้มากกว่าด้วย
| | อิ่มเอมกับบรรยากาศเก่าๆไปแล้วต่อไปชมธรรมชาติอันวิจิตรของภาคใต้กันบ้างครับ ที่เที่ยวทางธรรมชาติที่แรกของทริปนี้ TADA~ แหลมปะการังครับ อยู่ระหว่างหาดบางสักและหาดคึกคัก กม.ที่ 67-68 แยกจากถนนสาย 4 ออกไป 5 กม. วิวนี้คือทะเลอันดามันครับ เดี๋ยวทริปนี้เราจะได้เห็นอันดามันแห่งมหาสมุทรอินเดียกันจุใจเลยทีเดียว ใครเบื่ออ่าวไทยและมหาสมุทรแปซิฟิคแล้วโปรดติดตามชม
พื้นหาดนี้มีซากปะการังทับถมจำนวนมาก เดิมทะเลแถวนี้มีแนวปะการังอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อ 30 ปีก่อนถูกพายุซัดทำลายปะการังจนขึ้นมาเกยตื้นทับถมเป็นหาดปะการังที่แปลกตาเช่นนี้เอง ที่นี่ไม่มีใครเฝ้าดูแลด้วยครับ ผมเคยเห็นภาพสมัยก่อนยิ่งทับถมเป็นเนินจนไม่เหลือพื้นทรายเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าใครมาโกยไปขายใส่ตู้ปลาบ้างหรือเปล่า ยิ่งหาดไร้ผู้คนและเจ้าหน้าที่เฝ้าด้วยแบบนี้ยิ่งโกยง่าย
ออกมาสาย 4 แล้วลงใต้ต่อครับ ขับรถข้ามสะพานท้าวเทพกระษัตรีเข้าเกาะภูเก็ตมาตอน 5 โมงเย็นกะว่าทำเวลาได้ชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพได้เป๊ะๆ ที่ไหนได้ รถติดสาหัสมากครับ! ติดยิ่งกว่าชีริวติดเกม Brave Frontier จนไม่ได้มาอัพบล็อก เอ้ย! ติดยิ่งกว่ากรุงเทพชั่วโมงเร่งด่วนซะอีก ได้ข่าวว่ามีคนมาพักแถวหาดป่าตองเยอะเพราะงานเคาท์ดาวน์ที่นี่สุดยอด แถมมีตำรวจเฝ้ารายทางไม่รู้ใครเสด็จ (ไม่อยากรถติดก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์เถอะครับ จะได้ไม่เป็นภาระประชาชน) สุดท้ายทำเวลาไม่ทัน เลยต้องแว่บเข้าหาดสุรินทร์ที่ใกล้ที่สุดแทน พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเห็นแค่แสงทไวไลท์แว้บๆ มันก็พอจะสวยอยู่บ้างอะนะ
จากหาดฝ่าดงรถติดมาอีก 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงตัวเมือง โรงแรมนี้พักสองคืนเพราะพรุ่งนี้จะเที่ยวภูเก็ตเต็มวันครับ เลือกพักโรงแรมที่อยู่ในตัวเมืองเพราะอยากเดินเที่ยวเมืองเก่าภูเก็ตให้หายอยาก เลยพักที่ลามูนรีโซเทล (La Moon @Phuket) เพราะโรงแรมอื่นๆ ดูรีวิวใน agoda แล้วสภาพเกินทานทน บางอันเป็นหอพักรวมอีกต่างหาก อันไหนดีหน่อยก็เต็มเร็ว ช่วงปีใหม่นี่ภูเก็ตฮิตจริงๆ คิดว่าคนแห่ขึ้นเหนือกันไปหมดแล้วซะอีก โรงแรมลามูนเองก็ไมได้ยอดเยี่ยมนักหรอกครับ ถึงจะรีโนเวทใหม่แต่ด้านในโดยเฉพาะห้องน้ำและลิฟท์ก็ยังเก่าเหมือนเดิม น้ำไหลเอื่อยเหมือนน้ำตกหงาว คืนละ 1,050 บาทรวมอาหารเช้านะครับ
GPS: 7.885899, 98.393461
ฝั่งตรงข้ามโรงแรมมีร้านหนังสือเส้งโห เป็นร้านหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย มี 10 สาขาทั่วภาคใต้ แต่ที่แรกก็คือที่ภูเก็ตนี้ครับ ร้านนี้ก่อตั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468 ดำเนินกิจการส่งและจำหน่ายหนังสือตั้งแต่ยุคขนส่งด้วยรถไฟและเรือไฟกันเลย เส้งโหกลายเป็นศูนย์หนังสือเต็มรูปแบบในปี 2529 จุดดีที่เหนือกว่าซีเอ็ดหรือ B2S ก็คือร้านนี้มีการ์ตูนญี่ปุ่นขายแบบร้านการ์ตูนใหญ่ๆเลย เปิดถึงสามทุ่มครึ่งครับ
(ภาพนี้ถ่ายตอนเช้าของอีกวัน)
กว่าจะฝ่ารถติดถึงที่พักมาได้ก็หิวแล้วหิวอีก โชคดีในรถมีเดนม่าคุกกี้รองท้อง วันนี้กินข้าวเย็นสามทุ่มครับ แวะมั่วมาร้านขนมจีนแถวน้ำ ปรากฏว่าอร่อยครับ อร่อยจนต้องลงรูปในบล็อกเป็นร้านแรกของทริปนี้เลย เมนูมีทั้งขนมจีน ขาหมู ก๋วยเตี๋ยว ราดหน้า อาหารตามสั่ง และอร่อยทุกอย่าง ขนมจีนมีผักแถมให้เพียบสมเป็นอาหารภาคใต้
จากนั้นก็เดินชมเมืองภูเก็ตครับ ที่นี่คล้ายๆกับตะกั่วป่าคือเป็นเมืองเก่าที่มีคนจีนเข้ามาค้าขายมาก เมืองภูเก็ตเป็นเมืองการค้าที่สำคัญของแหลมมลายูเช่นเดียวกับมะละกา สิงคโปร์ ปีนัง และมีอาคารสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีสยุคอาณานิคมหลงเหลือให้ชมมากมายตามแนวถนนถลาง ถนนกระบี่ ถนนดีบุก ถนนภูเก็ต และถนนเยาวราช ผิดกันตรงที่ภูเก็ตกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ร้านรวงและโรงแรมต่างๆก็ยังคงเปิดกันอย่างคึกคัก ใครชอบแนวย้อนยุคมากๆพักโรงแรมบางแห่งที่ใช้อาคารเก่าเปิดเป็นที่พักอย่างโรงแรมถาวรหรือไชน่าอินน์ก็ได้
DAY 3
วันที่ 31 ธ.ค. วันสุดท้ายของปี 2557 แล้วจ้า... วันนี้ขับรถเที่ยวในภูเก็ต ถ้าเทียบระยะทางกับวันอื่นๆนับว่าน้อยครับ 126 กม. เท่านั้นเอง ขนาดวนไปวนมาตั้งครึ่งเกาะแล้วนะ ถ้าเทียบให้สเกลเดียวกับแผนที่อื่นๆแล้วมันแค่นี้
แต่เนื่องจากกลัวเพื่อนๆจะเข้าใจว่าเจ้าของบล็อกเอาขี้มูกมาแปะ เลยขอขยายสเกลสิบเท่า แผนที่่ท่องเที่ยววันนี้ก็ตามนี้ครับ
ช่วงเช้าเราไปที่วัดฉลองหรือวัดไชยธาราราม วัดที่โด่งดังอลังการที่สุดของภูเก็ต อยู่ห่างตัวเมืองไปตามถนน 4021 แค่ 8 กม. วัดนี้โด่งดังตั้งแต่หลวงพ่อแช่มเจ้าอาวาสได้นำผู้คนปราบกบฏอั้งยี่ในสมัย ร.5
สิ่งก่อสร้างไฮไลท์ในยุคนี้ของวัดนี้คือพระมหาเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ สูง 61 เมตร ยอดคล้ายพระธาตุพนม ด้านในเจดีย์มีสามชั้น ชั้นบนสุดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากศรีลังกาในปี 2545
ขับรถต่อมาแถวหาดราไวย์ระหว่างทางไปแหลมพรหมเทพ จะมาถึงพิพิธภัณฑ์หอยภูเก็ตซีเชลล์ และนี่คือเป้าหมายหลักของทริปภาคใต้ครั้งนี้ครับ เพราะช่วง มิ.ย. ปีก่อนที่บ้านได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เปลือกหอยที่ถนนสีลม แล้วหลงใหลในความงดงามของเหล่าน้องหอย ชวนให้นึกถึงพิพิธภัณฑ์เปลือกหอยที่เคยเที่ยวที่ภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2546 ตอนนั้นค่าเข้าจัดว่าแพงเหมือนกัน หัวละ 200 บาท แต่เข้ามาแล้วคุ้มค่าเพราะได้เห็นเปลือกหอยหลากชนิดรวมถึงฟอสซิลสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ ชิ้นนึงก็ราคาเป็นแสนเป็นล้านแล้ว เปิดพิพิธภัณฑ์แบบนี้ใจรักอย่างเดียวครับ ให้ตายก็ไม่คุ้มทุนหรอก
แต่ที่เที่ยวนี้ก็ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ไม่ปิดตัวลงครับ ค่าเข้าลดเหลือ 100 บาท ยิ่งคุ้มค่าขึ้นไปอีก เปิดตั้งแต่ 8.00 - 19.00 น. สะดวกสำหรับการเซ็ตโปรแกรมเที่ยวมากเลยครับ ไม่ต้องรอให้สายค่อยไปเที่ยว ของจัดแสดงต่างๆก็ยังคงครบถ้วน เพียงแต่ป้ายอธิบายต่างๆซีดจางลงไปตามกาลเวลา และไม่ได้เปิดเสียงคลื่นทะเลคลอแบบแต่ก่อนแล้ว
ไฮไลท์ก็คือชิ้นนี้ครับ ไข่มุกสีทองจากหอยสังข์ทะนาน ขนาด 140 กะรัต พบที่ภูเก็ตนี่ละครับ แค่ชิ้นนี้ชิ้นเดียวก็ราคาหลายล้านแล้ว นอกจากนี้พวกฟอสซิลแอมโมไนท์หรือหอยกาบสองฝายุคแรกตัวสมบูรณ์ๆ อายุเป็นร้อยล้านปีก็มีให้ดูจำนวนมาก
เปลือกหอยที่นี่นอกจากเป็นชนิดที่หายากแล้ว ยังคัดเฉพาะตัวที่สมบูรณ์ๆ ซึ่งหาซื้อไม่ได้ตามร้านค้าเปลือกหอยทั่วไปมาแสดง อย่างหอยหวีที่หายากและมีก้างละเอียดมากมายยังคัดมาเฉพาะตัวที่ก้างไม่หักแม้แต่เส้นเดียวมาทั้งนั้น หอยอื่นๆนอกจากไม่แตกหักแล้วสภาพเปลือกยังสมดุลซ้ายขวาสมบูรณ์ดี ไม่งั้นหมดสิทธิ์ขึ้นตู้ บางตัวก็สวยจนข้องใจว่าธรรมชาติทำไมสร้างสัตว์ที่วิเศษขนาดนี้ขึ้นมาได้ สัตว์ที่สวยที่สุดในโลกไม่ใช่ผีเสื้อหรือทาเนียมารีคารินกี้หรอกครับ หอยนี่แหละสวยที่สุดแล้ว อยากให้มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ไหนจัดแสดงหอยสวยๆแบบเป็นๆในตู้บ้าง
มุมจำหน่ายของที่ระลึกนี้มีเปลือกหอยนานาชนิดให้เลือกซื้อในราคาไม่แพง ตัวละ 5 บาทก็มี แถมมีฟอสซิลแอมโมไนท์ ไตรโลไบท์ และฟันปลาฉลากขายด้วยนะ ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น
ลงใต้ต่อจนสุดทางจะมาถึงแหลมพรหมเทพ ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกยอดนิยม แต่พระอาทิตย์ตกตอนสิ้นปีนี่คงไม่มีปัญญาแย่งที่จอดกับคนอื่นแน่ๆ เลยมาชมตอนเช้าแทน แหลมนี้เคยเห็นสมัยเด็กๆรู้สึกเฉยๆ แต่ดูดีๆแล้วก็สวยเหมือนกันนะครับ จุดปลายแหลมเป็นโขดหินลื่น มีป้ายปักให้ระวังอุบัติเหตุ แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวซ่าไปตกแหลมตายเป็นระยะๆ อันที่จริงเดินไปปลายแหลมก็เห็นแต่ทะเลน่ะ มุมนี้สวยที่สุดแล้วครับ
ก่อนเที่ยงยังคงมีเวลาก็เลาะริมทะเลไปเรื่อยๆ เจอตรงไหนสวยก็จอดถ่ายครับ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของภูเก็ตมีหาดดังๆมากมายทั้งหาดในหาน หาดกะตะน้อย หาดกะตะใหญ่ หาดกะรน หาดป่าตอง ฯลฯ ผมว่าหาดโนเนมที่ชื่อว่า "หาดยะนุ้ย" ที่อยู่ถัดจากแหลมพรหมเทพขึ้นไปนิดเดียวนี่แหละ สวยที่สุดแล้ว โขดหินเยอะแบบที่ชอบเลย ที่นี่เป็นอ่าวเล็กๆ มีหาดสั้นๆ ที่จอดรถน้อย คนนิยมมาตกปลาเพราะมีสัตว์น้ำตามแนวโขดหินมากมาย ด้านบนมองเห็นสถานีกังหันลมของ กฟผ. ด้วยนะ น้ำฝั่งอันดามันจะใสเพราะตะกอนดินไม่ได้ไหลลงมาจากปากแม่น้ำเหมือนฝั่งอ่าวไทยครับ
ขับรถขึ้นไปบนเขาจะมีสถานีพลังงานทดแทนแหลมพรหมเทพ ที่ กฟผ. มาติดตั้งกังหันลม กังหันตัวใหญ่สุดมีขนาด 0.15 MW นับว่าใหญ่มากๆเทียบกับที่อื่นแล้วนะครับ แต่ตัวขนาดนี้ก็ผลิตไฟฟ้าไม่ได้เท่าไหร่หรอกครับ ใช้ภายในสถานีเองก็หมดแล้ว สร้างไว้เอาใจ NGO เท่านั้นเอง จ.ภูเก็ตใช้ไฟฟ้า 322 MW ไฟฟ้าในภูเก็ตส่วนใหญ่ก็ส่งมาจากพังงาซึ่งมาจากแหล่งผลิตใหญ่ภาคใต้อย่างโรงไฟฟ้าขนอม, กระบี่, จะนะ, เขื่อนรัชประภา, ฯลฯ เช่นเคย แต่จุดชมวิวบนนี้ก็เห็นวิวทะเลสวยดี
อีกหนึ่งจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมมากคือจุดชมวิวสามอ่าวครับ อยู่ระหว่างหาดในหานกับหาดกะตะน้อย มองเห็นหาดกะตะน้อย หาดกะตะใหญ่ และหาดกะรนเรียงกันเลย แต่ตอนขึ้นไปบนหอชมวิวคนเยอะเหมือนกัน จะโพสต์ท่าถ่ายกับมุมสวยๆต้องรอคิวครับ
เที่ยงตั้งใจจะไปกินข้าวที่เซ็นทรัลภูเก็ต แต่รถเยอะมาก ไม่มีปัญญาหาที่จอดรถได้ เลยไปกินบิ๊กซีแทนครับ เอาเถอะ เข้าร้าน MK กินห้างไหนก็เหมือนกันแหละ เสร็จกิจหาข้าวกินกันตายไปแล้วเราก็ขับรถขึ้นไปตอนกลางเกาะ เข้าเขตถลางที่เป็นเมืองเก่าของภูเก็ตเดิม คิวเที่ยวต่อไปคือวัดพระทอง ที่มีพระผุดเก่าแก่ครับ เป็นอันซีนไทยแลนด์ที่มีพระผุดขึ้นมาจากดินครึ่งองค์ เชื่อกันว่าเป็นพระที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดินเองไม่ทราบว่าใครสร้างไว้ และไม่สามารถขุดเอาพระขึ้นมาทั้งองค์ได้เพราะมีตัวต่อตัวแตนเข้ามาทำร้าย สมัยนี้แล้วจะลองขุดดูเพราะอยากรู้ว่าจมอยู่หรือมีแค่ครึ่งองค์ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ให้ผุดมาครึ่งองค์เป็นสเน่ห์เอกลักษณ์ของวัดแห่งนี้แบบนี้ละดีแล้วครับ
ในเขตวัดมีพิพิธภัณฑสถานวัดพระทองที่รวบรวมของใช้เก่าๆไว้มากมาย คล้ายๆของที่บ้านยายผมเลย เข้าชมฟรีแต่ห้ามถ่ายรูปนะครับ (ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับไปถ่ายที่บ้านยายเอา)
ไม่ไกลจากวัดพระผุดเลี้ยวซ้ายตรงวงเวียนอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทรแล้วกลับรถ จะมีตรอกเล็กๆ แบบไม่มีป้ายบ่งชี้ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลางครับ
ทีแรกผมไม่ค่อยสนใจจะมาเพราะคิดว่าจะเน้นศึกถลางอย่างเดียว แต่เห็นว่ามันอยู่ทางผ่านอยู่แล้วก็เลยแวะมา ปรากฏว่ามีของดีเยอะเกินคาดครับ เพราะรวบรวมเอาโบราณคดีของพังงาและกระบี่ไว้ด้วย ไฮไลท์ก็คือรูปสลักพระวิษณุ ฤาษีมารกัณฑยะและนางภูเทวีจากเขาพระนารายณ์ที่พังงา เป็นศิลปะอินเดียพุทธศตวรรษที่ 14 มีรูปจำลองที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช แต่ของจริงอยู่ที่นี่แล้ว ห้องอื่นๆก็มีการจัดแสดงโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หุ่นจำลองเหตุการณ์ศึกถลาง และวิถีชีวิตของชาวภูเก็ต
ช่วงบ่ายเรามีเป้าหมายในการหาทำเลชมพระอาทิตย์ตกวันสิ้นปีนี้ครับ ทั้งที่พระอาทิตย์มันก็ตกอยู่ทุกวัน แต่วันนี้มันสำคัญเพราะมันเป็นวันสุดท้ายของปี พระอาทิตย์: เฮ้ นั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์พุงป่องอย่างพวกเจ้ากำหนดกันเองไม่ใช่รึ? จุดชมวิวที่คนล้านแตกแบบชัวร์ๆ ก็แหลมพรหมเทพกับหาดป่าตองครับ อย่าได้เฉียดไปทางนั้นเชียว ว่าแล้วก็หาเอาแถวๆใต้ตัวเมืองภูเก็ตนี่แหละ
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไปเคาท์ดาวน์กันที่หาดป่าตอง แต่จุดเคาท์ดาวน์ใหญ่ของชาวภูเก็ตคือสวนสาธารณะสะพานหินครับ ซึ่งกว่าจะเคาท์ดาวน์ผมก็คงอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว แต่ขอแว้บมาดูวิวหน่อย แถวสะพานหินมีแผงลอยอาหารมากมายให้เลือกชิม แต่เรายังไม่คิดจะกินมื้อเย็นที่นี่ เลยขับรถต่อไป
เป้าหมายที่คิดไว้ก็คือแหลมพันวาที่อยู่ตอนล่างสุดของภูเก็ตฝั่งตะวันออก แต่ข้างทางมีป้ายจุดชมวิวเขาขาด เลยลองขึ้นไปดู เห็นวิวทะเลรอบด้านจริงๆครับ มีป้ายอธิบายว่าจุดไหนคืออะไรด้วย อ่ะ ลองเทียบกับรูปจริงให้ดูเลย
ตอนนี้ 16.30 น. ถ้ารอชมพระอาทิตย์ตกที่นี่คงเห็นมันตกลงเกาะไหนสักเกาะ หรือไม่ก็โดนแหลมบัง เลยขับต่อไปถึงแหลมพันวาครับ นี่ปลายสุดของฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เกาะภูเก็ตแล้ว ก็เอามันตรงนี้แหละ แถวนี้มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำภูเก็ตอยู่ ช่วงปีใหม่เข้าฟรีด้วยนะ แต่มันปิดตั้งแต่ 4 โมงเย็นแล้วจ้า อดเข้า
ระหว่างรอพระอาทิตย์ตกก็หาอะไรรองท้องกันไปก่อน ปรากฏว่าโรตีอาบังแถวนี้อร่อยระดับที่ต้องเอามารีวิวในบล็อกกันเลยครับ ทั้งโรตีปกติ โรตีใส่กล้วย โรตีกรอบ ก็ล้วนอร่อยถึงขีดจำกัดของโรตีทั้งหมด ผมคิดว่าคงไม่มีโรตีที่สามารถอร่อยได้มากกว่านี้อีกแล้ว ใครสนใจขับรถไปลองชิมกันได้นะครับ ลุงแกขายอยู่ที่จุดชมทิวทัศน์แหลมพันวาที่ภูเก็ตน่ะ
และแล้วพระอาทิตย์ก็ตกลงในเวลา 18.00 น. มันตกลงเกาะโหลน แถมอีกฝั่งยังมีแหลมพรหมเทพมาบัง ชิส์ -3- แต่ก็เป็นแสงสุดท้ายของปีที่สวยที่สุดในรอบหลายปีเลย ปีก่อนๆพระอาทิตย์ตกลงหลังคาบ้านหมด
วันนี้ร้านค้าปิดตัวไปฉลองสิ้นปีกันเกือบหมด กว่าจะหาที่กินข้าวได้ก็ออกมาชานเมืองเลยครับ มีร้านตายันต์-ยายเอียด ขายขนมจีน ก๋วยเตี๋ยวเรือ และข้าวขาหมู มีอาหารตามสั่งด้วย โอ้ มาทรงเดียวกับร้านขนมจีนแถวน้ำเมื่อวานเลย แต่กินแล้วก็อร่อยเหมือนกันครับ คนใต้ทำอาหารเก่งนะ เชื่อมือได้เลย เขาแถมก๋วยเตี๋ยวเรือชามเล็กให้ลองชิมดูด้วย อร่อยเลือดเข้มข้นมากเลยครับ เห็นเจ้าของบอกว่าปีใหม่จะย้ายร้านแล้ว แต่อยู่ในภูเก็ตนี่ละครับ แถวๆฟาร์มจระเข้
พออิ่มก็เดินซื้อหนังสือที่ร้านเส้งโห จากนั้นก็เข้านอนแบบไม่สนใจจะเคาท์ดาวน์หรือสวดมนต์ข้ามปีครับ มาตื่นอีกทีเพราะเสียงพลุขึ้นปีใหม่ดังสนั่นหวั่นไหว มองจากห้องที่โรงแรมลามูนเห็นวิวพลุพอดี แต่อยู่คนละทิศกับสะพานหินนะครับ อันนี้ไม่รู้ว่าใครจุด
DAY 4
ช่วงเช้าเราไปใส่บาตรวันขึ้นปีใหม่ตามที่มีป้ายเชิญชวนครับ ได้ชมแสงอาทิตย์แรกบนหลังคาของเทศบาลสวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินีด้วย
พิธีใส่บาตรจัดโดยเทศบาลนครภูเก็ต เชิญพระสงฆ์ 199 รูป มีคนสนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลาม ตามกำหนดการจะใส่บาตรตอน 6.30 น. เลยกะว่าใส่เสร็จค่อยไปกินข้าว ที่ไหนได้ รองผู้ว่าฯภูเก็ต ซึ่งดำรงตำแหน่งทั่นประธานในพิธีมาซะ 7.00 น. สวดเสร็จ ต้องฟังคำปราศรัยโดยทั่นประธาน ต่อด้วยคำปราศรัยจากทั่นนายกเทศมนตรี ต่อด้วยคำปราศรัยจากกำนันผู้ใหญ่บ้าน คำปราศรัยจากเจ้าของร้านหนังสือเส้งโห และคำปราศรัยจากลุงขายโรตีที่แหลมพันวา (อันหลังๆผมล้อเล่น) ต่อด้วยการแสดงจากโรงเรียนอะไรสักอย่างแถวๆนั้น คนที่รอใส่บาตรเป็นชั่วโมงแล้วก็โห่สิครับ (สงสารเด็กอะ) เทศบาลเลยต้องปล่อยพระสงฆ์ออกมาประกอบการแสดงของเด็กๆ ให้คนใส่บาตรแล้วแยกย้ายไปปฏิบัติกิจวันปีใหม่กันสักที
เสร็จพิธีแปดโมงจ้า ใส่บาตรเชี่ยไรเสียเวลาโคตรๆ พอกินข้าวเช้าที่โรงแรมเสร็จก็บ๋ายบายภูเก็ตกันซะที
เราข้ามสะพานสารสินกลับมาพังงาแล้วก็ดิ่งไปอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาครับ ทะเลแถบนี้มีเกาะน่าเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะเขาตาปูที่โด่งดังเป็นสัญลักษณ์ของท้องทะเลไทยไปแล้ว หนนี้ไปขึ้นเรือหางยาวจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติเลย ราคาถูกกว่าท่าเรือเอกชนเยอะ แต่รอเรือนานหน่อย นั่งกินข้าวรอก็แล้ว จิ้มเกมรอก็แล้ว กว่าจะได้ขึ้นเรือหมดไปสองชั่วโมง อัตราค่าเรือหางยาวเหมาลำ 1500 บาทสำหรับ 1-4 คน ถ้า 5-10 คนก็ 2000 บาทครับ แต่ถ้าไปขึ้นเรือเอกชนแถวๆนี้หัวละ 800 บาทขาดตัว ถูกกว่าเกินครึ่งแบบนี้ก็รอไปเถอะ
เรือแล่นออกจากท่าผ่านเขาหมาจูและเกาะปันหยี ชมทิวทัศน์ระหว่างทางมีป่าชายเลน ทิวเขาสวยงาม เกาะแก่งรูปร่างแปลกตาน่าชมมากมาย บางเกาะก็มีหินงอกหินย้อยสวยงาม นานๆทีผมจะละวางจากซากอิฐมาเที่ยวทะเลสักหน ยิ่งนั่งเรือไปเกาะด้วยแบบนี้เป็นหนที่สามในชีวิตเลยครับ
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงมาถึงถ้ำลอดใหญ่ อันนี้เรือลอดผ่านได้สบายๆครับ ถ้ำลอดบางอันต้องผ่านช่วงน้ำลงแล้วต้องเอนกายลงหนุนตักคนข้างหลัง แบบนั้นไม่ต้องไปลอดหรอก แถวนี้มีบริการพายเรือแคนูรอบเกาะ ใครสนใจก็เล่นได้นะครับ เพิ่มอีกคนละ 200.- แต่ผมไม่สนใจ
นั่งเรือมาอีกสิบนาทีก็ถึงเขาพิงกัน-เขาตาปู เราลงจากเรือตรงนี้ เดินไปหาดของเกาะเขาพิงกันเป็นหาดสามด้านล้อมเขาตาปูที่เป็นแท่งขึ้นมาจากน้ำคล้ายตาปู จุดนี้นับว่าเป็นไฮไลท์ของอุทยานแห่งชาติเลยก็ได้
ถึงคนจะขึ้นเกาะนี้กันล้นหลาม แต่มีมุมสูงให้ถ่ายเขาตาปูได้รอบด้านแบบไม่ต้องกลัวติดคน ถ่ายรูปง่ายมากเลยครับ
เกาะเขาพิงกันนี่เป็นเกาะเล็กๆ เดินลึกเข้าไปด้านหลังเกาะจะเห็นเขาพิงกันที่เขาลูกหนึ่งเกิดการทรุดตัวของเปลือกโลกลงมาพิงเขาอีกลูกหนึ่ง แปลกตาดีแท้
มีเวลาให้เดินเที่ยวเกาะ 30 นาที แล้วกลับมาที่เรือลำเดิม ตีกลับมาขึ้นเกาะปันหยีอีก 30 นาทีครับ ที่นี่มีชุมชนชาวมุสลิมทำการประมงเป็นอาชีพหลัก ร้านค้าขายของนักท่องเที่ยวก็เยอะ สินค้าที่น่าซื้อก็อาหารจำพวกกุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง ปลากรอบ น้ำพริกกุ้งเสียบ ฯลฯ จะเดินชมวิถีชีวิตชาวปันหยีก็ได้นะ เหมือนหมู่บ้านชาวเลทั่วไปนั่นละ ที่ปลายเกาะมีโรงเรียน และมีสนามฟุตบอลกลางน้ำด้วย
เสร็จแล้วก็นั่งเรือกลับเข้าฝั่ง รวมเวลาเที่ยวราวๆ 3 ชั่วโมงครับ เทียบค่าเรือไปเกาะทั่วๆไปแล้วนับว่าคุ้มมากๆ
ทีแรกตั้งใจจะขึ้นเรือที่กระบี่ไปเที่ยวชมทะเลแหวกต่อ แต่กว่าจะขึ้นฝั่งพังงาก็ล่อไปบ่ายสามโมงครึ่ง กว่าจะไปกระบี่แล้วออกเรือไปที่เกาะปอดะอีกไม่ทันน้ำลงตอนสี่โมงแน่ๆครับ เลยขอไว้โอกาสหน้าแล้วกัน เรื่องนี้ต้องโทษอีตารองผู้ว่าภูเก็ตเลย ว่าแล้วก็ลัดคิวเที่ยวไปสุสานหอย 75 ล้านปีเลยดีกว่า อยู่ที่บ้านแหลมโพธิ์ติดเมืองกระบี่เลยครับ เป็นฟอสซิลเปลือกหอยที่ทับถมกันเป็นแผ่นคอนกรีตตามธรรมชาติหนาชั้น เดิมเชื่อว่ามีอายุ 75 ล้านปี แต่จากการศึกษาล่าสุดพบว่ามันมีอายุประมาณ 30-40 ล้านปีนะ จุดที่เป็นสุสานหอยกระจายอยู่สามจุด แต่ละจุดห่างกันประมาณ 1 กม. แต่ที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปมากที่สุดคือจุดที่ 2 หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครับ ส่วนจุดที่ 1 และ 3 เข้าไปได้เฉพาะตอนน้ำลงจ้า แต่นี่เย็นแล้ว น้ำขึ้นมิดหอยแล้วจ้า (โทษรองผู้ว่าภูเก็ตเลยจ้า)
หอยพวกนี้ตายยังไง? ยกเลิก 112 สิแล้วผมจะเล่า...//ไม่เกี่ยวว้อย!! คือเดิมบริเวณนี้เป็นหนองน้ำจืดครับ พวกหอยๆก็เข้ามาอยู่อาศัยแพร่พันธุ์กัน แต่แผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลงน้ำทะเลเข้าท่วมหนองน้ำจนน้องหอยล้มตายอย่างน่าสงสาร กลายเป็นฟอสซิลหินปูน จากนั้นทะเลเปลี่ยนระดับ ซากหอยก็ยกตัวขึ้นมาเป็นแผ่นโชว์นักท่องเที่ยว
สุสานหอยนี้ผมเคยมาหนนึง ตอนนั้นรู้สึกว่าหอยจะดูเป็นตัวกว่านี้หรือเปล่านะ? ตอนนี้คนเดินกันซะจนไม่เห็นเป็นตัวหอยแล้วครับ บางส่วนก็โดนน้ำกัดเซาะบ้าง โดนคนขึ้นไปกระทืบหักบ้าง เขากั้นเชือกไว้คงไม่ให้ลงไปเหยียบแล้วละ แต่ก็ลงไปเดินกันปกติ รวมทั้งเจ้าของบล็อกนี้ด้วย
แถวนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึกเรียงราย สินค้าพวกเปลือกหอยราคาถูกดีครับ แต่ไม่ได้มีให้เลือกหลากหลายเท่าที่พิพิธภัณฑ์หอยภูเก็ต
ทีแรกตั้งใจจะไปกินข้าวเย็นแถวหาดนพรัตน์ธารา แต่หลงเข้าไปในอ่าวนาง โอววววว รถติดนรกเลยครับ ติดน้อยกว่าที่หาดป่าตองหน่อยเดียว อ่าวนางมีคนต่างชาติเยอะมากๆ ร้านอาหารเยอะก็จริง แต่ราคาขายต่างชาติทั้งนั้นละน่อ อาหารอินเดียก็เยอะนะครับ ตั้งแต่เที่ยวฝั่งอันดามันมา แถวไหนที่ต่างชาติเที่ยวกันเยอะๆต้องเจอร้านอาหารอินเดียทุกที่ แสดงว่าฝรั่งชอบกินอาหารอินเดียกันเยอะเหมือนกัน
สังเกตนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นต่างชาตินะครับ มีทั้งฝรั่งและจีน คนจีนมาเลย์เที่ยวภาคใต้กันเยอะมากๆ (ทะเลบ้านลื้อสวยสู้ที่นี่ไม่ได้ละซี แบร่ๆ :P) โดยเฉพาะช่วงหยุดยาวๆแบบนี้ ภาคใต้อย่างกับต่างประเทศเลยครับ ส่วนคนไทยขึ้นเหนือหมด
หลุดจากอ่าวนาง เข้าหาดนพรัตน์ธาราได้ แต่รถก็ยังไม่เลิกติดครับ ร้านดังของกระบี่อย่างร้านวังทรายก็มีลูกค้าล้นทะลัก ที่จอดรถเต็มจนล้นออกไปนอกร้าน แล้วที่นั่งยังเต็ม หมดสิทธิ์ลุ้นครับ ว่าแล้วก็ตระเวนหาร้านมั่วๆต่อไป สุดท้ายก็ไปนั่งกินอาหารไทยฝีมือมุสลิมที่ร้านริมเลแถวๆนั้นแหละ คนไทยลดให้ 15% นะ สรุปว่าลงใต้มา 4 วัน ยังไม่ได้กินอาหารทะเลสักมื้อเลยครับ (ได้ยินเสียงแว่วๆว่าถ้าอยากกินอาหารทะเลถูกๆอร่อยๆให้เดินมากินบางอ้อทะเลเผาหน้าปากซอยแถวบ้าน)
คืนนี้เราพักที่โรงแรมกระบี่แกรนด์เพลซ ไม่มีอาหารเช้า ไม่มี wifi แต่ราคาแค่คืนละ 670 นับว่าถูกที่สุดในทริปหนนี้เลย โรงแรมไม่หรู แต่ห้องกว้างและน้ำไหลแรงกว่าภูเก็ตคืนก่อนมากๆ
GPS: 8.430739, 99.971817
DAY 5
เช้าเราไปเดิน ตลาดสดมหาราช ตลาดใหญ่ของเมืองกระบี่กันครับ น้องสะใภ้อยากเห็นตลาดขายของทะเล แล้วก็ได้เห็นจุใจมีของทะเลสดขึ้นมาวางขายมากมาย โดยเฉพาะปลานานาชนิด ตัวใหญ่มั้กมั่ก บางตัวสงสัยเป็นพัน บรรยายไม่ถูกครับ ไม่เชี่ยวชาญพันธุ์ปลาเท่าไหร่ ใครจำหน้าพวกมันได้ช่วยบรรยายแทนที
ส่วนมื้อเช้าก็กินโจ๊ก ข้าวต้ม และติ่มซำร้านซิวหม่ายหยก ตรงข้ามตลาดสดมหาราชเลย อร่อยมว้ากกกกก!! สรุปว่าลงใต้อาหารอร่อยทุกอย่าง ยกเว้นอาหารทะเลยังไม่ได้กิน
กระบี่ได้รับโหวตเป็นจังหวัดน่าเที่ยวอันดับสองรองจากเชียงใหม่ เพราะที่นี่มีที่น่าเที่ยวเยอะมากๆครับ นอกจากทะเลแหวกที่ไม่ได้ไปเพราะรองผู้ว่าภูเก็ตแล้วยังมีเกาะน้อยใหญ่มากมาย รวมทั้งเกาะใหญ่ที่เที่ยวได้ทั้งวันอย่างเกาะลันตา และเมืองยังมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แถมเหลือบเห็นป้ายท่องเที่ยวแล้วอยากเที่ยวบ่อน้ำร้อนเค็ม และน้ำตกเค็มด้วย ไว้รอบหน้าขอเที่ยวกระบี่แบบจัดเต็มเลยดีกว่าครับ สำหรับทริปนี้ขอแวะหนึ่งที่ก่อนจากกระบี่ไป นั่นคือพิพิธภัณฑสถานวัดคลองท่อม ที่รวบรวมลูกปัดจำนวนมากที่พบบริเวณนี้ไว้ รวมทั้งลูกปัดสุริยเทพที่โด่งดังด้วย
ชุมชนโบราณคลองท่อมเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญเชื่อมสองฝั่งมหาสมุทร ลูกปัดและโบราณวัตถุต่างๆที่พบในพื้นที่นี้มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 10-12 และเป็นแหล่งอุตสาหกรรมลูกปัดที่ใหญ่ที่สุดของไทยเลยครับ พระครูอาทรสังวรกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดคลองท่อมได้สร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาในปี พ.ศ.2525 เพื่อรวบรวมโบราณวัตถุที่พบบริเวณนี้และโบราณวัตถุอื่นๆที่ชาวบ้านนำมาบริจาค พิพิธภัณฑ์ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐรวมทั้งกรมศิลปากร ทำให้การจัดแสดงดูดีมีความเป็นมืออาชีพมากๆ เพิ่งได้งบปรับปรุงจาก อบจ.กระบี่ด้วยเลยใหม่เอี่ยมน่าเที่ยวครับ ที่นี่เปิดทุกวันยกเว้นวันพุธ เวลา 8.30 - 16.30 น. ค่าเข้าชมแค่ 10 บาท ติดแอร์เย็นฉ่ำ ถ่ายรูปได้ไม่อั้นครับ
ไฮไลท์คือสองเม็ดนี้ครับ ลูกปัดแก้วโมเสกรูปหน้าคน คล้ายพระอาทิตย์จึงเรียกกันว่าลูกปัดสุริยเทพ พบที่นี่เป็นที่แรกของโลก และหายากมากทำให้ลูกปัดถูกประเมินราคาไว้หลักล้าน มีทั้งสิ้นสี่เม็ด จัดแสดงที่นี่สองเม็ด อีกสองเม็ดเป็นของส่วนบุคคล
ส่วนอันนี้ลูกแมวแถววัดครับ ถ่ายมาเพราะน่ารักดี ไม่เกี่ยวกับสุริยเทพหรือเทพเซอุสแต่ประการใด
จากนั้นก็ดิ่งเข้านครศรีธรรมราช เมืองนครศรีธรรมราชและเมืองไชยาที่สุราษฎร์เป็นเมืองเก่าแก่มีโบราณสถานจำนวนมาก วันที่ 5-6 นี่เราเที่ยวซากอิฐล้วนๆ ครับ ขอยกยอดไปบล็อกนครศรีธรรมราชและบล็อกไชยางวดนู้นนนนนเลยแล้วกัน รอผมอ่านประวัติศาสตร์ภาคใต้จบก่อน
นครศรีธรรมราช: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช-วัดท้าวโคตร-วัดพระมหาธาตุ-กำแพงเมืองเก่า-หอพระอิศวร-หอพระนารายณ์-เจดีย์ยักษ์
DAY 6
นครศรีธรรมราช: วัดโมคลาน-โบราณสถานเขาคา
สุราษฎร์ธานี: วัดถ้ำคูหา-พระบรมธาตุไชยา-พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา-วัดเวียง-วัดหลง-วัดแก้ว
แปะรูปเรียกน้ำย่อยไว้ก่อน อีก 2 ปี 2-3 เดือนค่อยอัพบล็อกนครศรีธรรมราช-ไชยา
คืนของวันที่ 6 เราไปไหว้ศาลกรมหลวงชุมพรที่หาดทรายรี เป็นที่เที่ยวสุดท้ายของทริปนี้ ก่อนไปพักในเมืองชุมพรแล้ววันที่ 7 ก็ตีกลับกรุงเทพครับ
DAY 7
วันสุดท้ายดิ่งยาวจากชุมพรเข้ากรุงเทพ ออกจากโรงแรมตอนตี 5 วิ่งสบายๆ รถไม่ติดเลยครับ น้องขับครึ่งวันถึง
สรุปทริปปีใหม่ปีนี้รวมทั้งสิ้น 6 วันครึ่ง วิ่งได้ระยะทาง 2,344 กม. ส่วนแผนที่รวมจากกูเกิ้ลนี้ลงจุดแวะคร่าวๆ ระยะทางเลยหายไปหลายร้อยกิโลครับ
สรุปว่าทริปปีใหม่ปีนี้สนุกมั้กมั่ก คนก็ไม่แออัด ฝนก็ไม่ตก ไม่เจอน้ำท่วมด้วยครับ เสียแค่ว่าไม่มีอาหารทะเลกินเท่าไหร่ เพราะช่วงนี้ลมทะเลแรง เรือหาปลาไม่ค่อยออกกัน ผมนี้ต้องกลับมากินปูนึ่ง อตก. เลย
Create Date : 13 มกราคม 2558 |
Last Update : 5 มีนาคม 2560 18:53:38 น. |
|
43 comments
|
Counter : 2950 Pageviews. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 13 มกราคม 2558 เวลา:21:26:35 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 มกราคม 2558 เวลา:22:11:18 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 14 มกราคม 2558 เวลา:4:44:22 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 มกราคม 2558 เวลา:6:07:57 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 14 มกราคม 2558 เวลา:12:07:19 น. |
|
|
|
โดย: anigia วันที่: 14 มกราคม 2558 เวลา:22:16:26 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 15 มกราคม 2558 เวลา:2:31:43 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มกราคม 2558 เวลา:5:56:59 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 15 มกราคม 2558 เวลา:6:52:23 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 15 มกราคม 2558 เวลา:13:43:15 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 15 มกราคม 2558 เวลา:22:12:23 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มกราคม 2558 เวลา:23:03:10 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 มกราคม 2558 เวลา:6:55:31 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 16 มกราคม 2558 เวลา:17:31:54 น. |
|
|
|
โดย: anigia วันที่: 16 มกราคม 2558 เวลา:21:44:28 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 16 มกราคม 2558 เวลา:22:36:25 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 17 มกราคม 2558 เวลา:20:20:59 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 18 มกราคม 2558 เวลา:3:00:51 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 18 มกราคม 2558 เวลา:11:34:35 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 19 มกราคม 2558 เวลา:23:42:34 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 21 มกราคม 2558 เวลา:13:34:06 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 มกราคม 2558 เวลา:14:06:37 น. |
|
|
|
โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 21 มกราคม 2558 เวลา:15:46:42 น. |
|
|
|
โดย: anigia วันที่: 21 มกราคม 2558 เวลา:22:51:00 น. |
|
|
|
โดย: Opey วันที่: 22 มกราคม 2558 เวลา:9:23:22 น. |
|
|
|
โดย: ถปรร วันที่: 22 มกราคม 2558 เวลา:11:41:13 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 22 มกราคม 2558 เวลา:13:18:35 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 22 มกราคม 2558 เวลา:13:47:51 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ชีริว Travel Blog ดู Blog
พี่อุ้มแวะมาเกาะเรือตะลอนเที่ยวแดนใต้ด้วยคนจ้า
แถมโหวตท่องเที่ยวให้ด้วยจ๊ะ