Once Man United, Always Man United
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
2 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

20091102 วิพากษ์ MAN UTD. vs BLACKBURN ROVERS

ใครก็ด้ายยย....ขอหัวเชื้อแรงๆหน่อยเท้อออออ


สวัสดีครับ เป็นครั้งแรกของการเขียนบทวิพากษ์ของผมเลยนะครับเนี่ย ที่ไม่รู้จะขึ้นต้นยังไง แถมยังอยากจะไปวิพากษ์คู่อื่นแทนให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยด้วยซ้ำ หลังได้เห็นฟอร์มนักเตะทีมรักที่ในช่วงครึ่งชั่วโมงแรก พากันโชว์ฟอร์มเป็นเตาแก๊สกันอยู่นั่นแหละ (ไม่เอาถ่านนั่นไง) กว่าจะได้เรื่องได้ราวเข้าที่เข้าทางก็ทำเอาผมแทบจะเปลี่ยนช่องหนีให้พ้นๆไปซะ ดีนะครับ ที่ผมยังติดค้างภารกิจทุกๆท่านกับบทความนี้อยู่ แถมยังเพิ่งจะเบี้ยวเกมที่แล้วไปหมาดๆอีกต่างหาก ผมจึงตัดสินใจเอาไงเอากัน กล้าๆเล่นกันหงอยขนาดนี้ ผมก็กล้าๆดูจนจบให้ก็ได้ เอาล่ะครับ แล้วมาดูกัน ว่าเกมนี้มีอะไรให้พูดถึงบ้าง

การจัดทัพเกมนี้นั้น หลังจากที่ได้รับข่าวร้ายไปหมาดๆเรื่องริโอ เฟอร์ดินานด์กับเนมานย่า วิดิช ได้รับบาดเจ็บจนต้องพลาดเกมนี้เป็นอย่างน้อย เรายังได้รับอีกข่าวร้ายนั่นก็คือ กิ๊กส์และพาร์คก็ได้รับอาการบาดเจ็บเพิ่มอีก ทำให้การจัดทัพในช่วงนี้ต้องรอบคอบมากๆ ไหนจะยังมีเกมกลางสัปดาห์กับซีเอสเคเอ มอสโคว์ ต่อด้วยเกมวัดตำแหน่งจ่าฝูงกับเชลซีต่อในสุดสัปดาห์ที่จะถึง ท่านเซอร์จึงเลือกที่จะส่งพวกที่พร้อมเต็มที่เท่านั้นลงสนามแบบไม่เสี่ยง โดยมีน้าซาร์เฝ้าเสา แผงแบ๊กโฟรชุด “สะท้านทรวงในอกเรา” ประกอบไปด้วยจอห์น โอเช, เวส บราวน์, จอนนี่ เอแวนส์ และ ปาทริซ เอวร่า แผงมิดฟิลด์สี่คนมีอันโตนิโอ วาเลนเซีย, ไมเคิล คาร์ริค, อันแดร์สัน และ นานี่ คู่กองหน้าเลือกเวย์น รูนี่ย์ และดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ลงสนาม

ส่วนทางฝั่งกุหลาบเพลิง ทีมที่เป็นถึงอดีตแชมป์พรีเมียร์ลีกหนึ่งสมัยนั้น นัดนี้หลังจากบรรดาทัพนักเตะและกุนซือทยอยหายป่วยกลับมาจากการติดเขื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ 2009 (แน่ะ...อินเทรนด์ซะด้วย) นัดนี้แซม อัลลาร์ไดซ์ก็ยังจัดทีมชุดที่พอจะแข็งแกร่งได้อยู่ เพียงแต่สถิติการเป็นทีมเยือนปีนี้ของแกออกจะขี้ริ้วไปสักนิด เมื่อพ่ายแพ้มาตลอดในซีซั่นนี้นั่นเอง บิ๊กแซมเลือก พอล โรบินสันเฝ้าเสา แผงแบ๊กโฟร์ประกอบไปด้วยปาสกาล ชิมบงด้า, ไรอัน นีลเซ่น, คริสโตเฟอร์ แซมบ้า และ กาแอล ฌิเวต์นัดนี้ กุหลาบเพลิงเริ่มต้นด้วยแท็คติคกลางห้าคน ไล่เรียงดังนี้ สตีเฟ่น เอ็นซองซี่, เบร็ตต์ เอเมอร์ตัน, เดวิด ดันน์, คีธ แอนดรูวส์ และ เอล ฮัดจิ ดิยุฟ ส่วนหน้าเป้าเป็น ฟรังโก ดิ ซานโต ซึ่งยืมมาจากเชลซีนั่นเอง

เริ่มเกม ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนพยายามตั้งเกมรุกกดดันเข้าใส่อีกฝ่าย แต่ยังแฝงไปด้วยความระแวดระวัง ยิ่งเจ้าบ้านนั้น แผงกองหลังค่อนข้างพิกลพิการพอสมควร เพราะดันเป็นตัวทดแทนตั้งสามตำแหน่งเข้าไปแล้ว ทำให้เกมของเจ้าบ้านออกจะกั๊กๆอยู่ในการดันเกมรุกเข้าใส่ รูปเกมที่ออกมาจึงค่อนข้างตะกุกตะกัก จะรุกก็ไม่เต็มสูบ จะรับก็ไม่เต็มที่เพราะทางแบล๊คเบิร์นเองนั้นก็ไม่ได้กดดันอะไรมากนักให้เราต้องถอยร่นลงไปตั้งรับ ยิ่งรูปเกมในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกนั้น ยิ่งชวนให้ปิดทีวีนอนเป็นอย่างมาก ไม่ได้ชวนให้สนุก ตื่นเต้น หรือลุ้นหวาดเสียวอะไรเท่าไหร่เลย บอลไปไม่ค่อยถึงแดนหน้า ไปถึงก็ไม่ค่อยได้จบ เพราะเหมือนต่างคนต่างเล่น ไม่ค่อยวิ่ง ไม่ค่อยไล่ ผมร่ำๆจะเปลี่ยนช่องหนีหลายทีแล้วครับ เพราะป๋าเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะออกมาโหวกเหวกโวยวายอะไรเป็นการกระตุ้นลูกทีมเลยด้วยซ้ำ

หลังจากผ่านพ้นครึ่งชั่วโมงแรกที่น่าอึดอัดไปได้ เกมของเจ้าบ้านก็เริ่มดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาบ้าง เกมตรงกลางหลังจากที่น้องแอนเลิกคิดจะเป็นอาเสี่ยที่ส่งเสียเพื่อนๆมานาน แอนนี่ก็เริ่มเปลี่ยนมาจ่ายสั้นลง และเน้นให้เข้าเป้ามากขึ้น ไมเคิล คาร์ริค ปักหลักต่ำหน้าแผงหลังเป็นตัวเก็บกวาดหน้าบ้านอย่างมั่นคงมากขึ้น ผมเองไม่ทราบว่าอยู่ๆมันเกิดอะไรขึ้น หรือเพิ่งตื่นนอนกันหรือไงก็ไม่ทราบนะครับ จากที่เล่นกันเนือยๆ ประมาณวงปี่พาทย์งานศพที่เล่นเรื่อยๆมาเรียงๆนั้น จู่ๆก็กลับกลายเป็นเนอร์วาน่าของเคิร์ท โคเบนไปซะงั้น เล่นรุกกดดัน ขึงทีมเยือนได้เรื่อยๆ และพยายามโหมเพื่อยิงประตูให้ได้ เรียกได้ว่าถ้าไม่นับจังหวะสุดท้ายที่พากันไปลอยกระทงกลางอ่าวกันหมดนั้น ผมคิดว่าเราน่าจะมีโอกาสสร้างสรรค์การทำประตูสวยๆได้ไม่ต่ำกว่าห้าหกจังหวะทีเดียว เพียงแต่เราทำกันไม่ดีพอจนจังหวะสุดท้ายไม่เกิดเท่านั้น

ช่วงที่เราทำงานกันได้ดีมากๆก็เป็นช่วงท้ายของครึ่งแรกอย่างที่บอกไป แต่การที่วาเลนเซียยังต้องเคลียร์เส้นทางกับโอเชก่อนในทุกๆจังหวะที่ขึ้นเกมของทั้งคู่ คือไม่ว่าวาเลนเซียขึ้น หรือโอเชขึ้น ต่างก็เล่นไปคนละทางตลอด ตรงนั้นกลับทำให้เกมทางด้านขวาที่ขึ้นมาได้สวยๆต้องเสียโอกาสไปแทบทุกครั้ง ยิ่งฌิเวต์ที่ดันมาเข้าฟอร์มหยุดยั้งเราได้บ่อยๆ เราก็ยิ่งตัน การหุบเข้าในของวาเลนเซียโดยโอเชไม่เติมหลังช่วย ทำให้กองหลังไม่หลงทางและรุมกดดันวาเลนเซียได้ตลอด หรือจังหวะที่โอเชสอดเติมหลังขึ้นไป แต่วาเลนเซียไม่รู้จังหวะ กลับจ่ายคืนเข้ากลาง ก็ทำให้เสียจังหวะที่ควรจะอันตรายไปอีกบ่อยๆ ทางด้านซ้ายนั่นเล่า อาการน้ำผึ้งขมของนานี่และเบอร์บาตอฟยังคงไม่จางหายไปไหน เบอร์บาตอฟจ่ายบอลให้นานี่แทบนับครั้งได้เลย แถมหลายครั้งที่เบิร์บไม่ให้นั้น นานี่ก็อยู่ในตำแหน่งที่ดีต่อการเข้าโจมตีซะด้วย แต่ก็นะ...นานี่เองก็ใช่ย่อย จังหวะควรจ่ายไม่จ่าย จังหวะควรไปก็ดันไปหยุดล่อหลอกก่อน พอจ่ายก็ผิดจังหวะ หรือจังหวะลากไปยิง คู่แข่งเขาก็รู้ทางแล้วและวิ่งปิดทางสับไกได้ตลอดจนเสียบอล ตรงนั้นมั้ง ที่ทำให้เบอร์บาตอฟที่มีความอาร์ตสูงส่งจึงออกอาการเอือมตลอด

นอกจากปีกสองข้างที่ทำบอลเสียในจังหวะเข้าทำบ่อยๆแล้ว ตรงกลางเองก็ยังทำงานกันได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าไหร่นัก คาร์ริคยังคงยืนต่ำ ซึ่งจุดมุ่งหมายหลักนั้นก็คงเป็นการช่วยแผงหลังชุดสะท้านทรวงนี้นั่นเองครับ ทำให้เกมรุกนั้นต้องพึ่งพาแอนนี่เป็นหลัก จังหวะไหนไม่เน้นเราจึงไม่เห็นคาร์ริคขึ้นเติมสูงเท่าไหร่ การปั้นเกมรุกของแอนนี่นั้นก็ยังเป็นแอนนี่คนเดิม ที่ดูเหมือนเซนส์เกมรุกของเขาจะเร็วกว่าเพื่อนครี่งก้าว บอลจากเท้าของแอนนี่จึงดูเหลื่อมเพื่อนไปตลอด จนมาช่วงท้ายครึ่งแรกนั่นแหละ ที่แอนนี่เริ่มให้บอลสั้นลง และเน้นแน่นอนมากขึ้น แต่ยังเจาะกำแพงสองชั้นของแบล๊คเบิร์นเข้าไปไม่ได้สวยๆเลย รูนี่ย์และเบอร์บาตอฟยังคงลงมาปั้นเกมรุกต่ำกันทั้งคู่ ทำให้การเข้าทำต้องอาศัยความเข้าใจกันมากหน่อย และจังหวะให้สุดท้ายก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง บอลจากรูนี่ย์ไปถึงเบอร์บาตอฟไม่กี่ครั้ง และบอลจากเบอร์บาตอฟก็ไปไม่ค่อยถึงรูนี่ย์ เพราะดันลงไปปั้นเกมรุกอยู่ต่ำทั้งคู่นั่นเอง

เกมในครึ่งหลังก็ทำให้ผมเริ่มที่จะสนุกขึ้นมาบ้าง หลังจากได้ลุ้นนิดๆหน่อยๆช่วงท้ายครึ่งแรก พอเข้าครึ่งหลังนี้ ดูเหมือนยูไนเต็ดจะเน้นเกมรุกมากขึ้น การครองเกมรุกดูจะทำได้ละเอียดและเนียนตามากขึ้น เกมของแบล๊คเบิร์นเริ่มที่จะถูกกลืนหายไปเรื่อยๆ การทิ้งดิ ซานโตไว้คนเดียวโดยที่เจ้าตัวไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ที่จะมาต่อกรกับแผงหลังทั้งสี่และคาร์ริคนั้น ทำให้ดิ ซานโตไม่สามารถสร้างอันตรายใดๆได้เลย ความเร็วก็ไม่พอจะสลัดเอวร่าหรือเอแวนส์หรือแม้แต่บราวน์ ลูกกลางอากาศก็ไม่สามารถแย่งเอแวนส์และบราวน์เล่นได้เลย หากจะดูการต่อเกมรุกให้ดิ ซานโต นั่นก็ยิ่งไม่เกิดขึ้น เพราะบรรดาแผงกองกลางแบล็คเบิร์นมัวแต่ง่วนอยู่กับการตั้งการ์ดหน้าแผงหลังและปิดทางเกมรุกของเจ้าบ้านมากกว่า จะมีก็เพียงดิยุฟเท่านั้น ที่ถูกวางไว้ริมเส้นเพื่อรับบอลจังหวะสวนกลับตะลุยฉีกแนวรับเจ้าบ้านไป แต่ดิยุฟเองก็ไม่สามารถทำได้ดีไปกว่าการลากเข้ามาและมาได้ฟาล์วในระยะสามสิบสี่สิบหลา ซึ่งแบล็คเบิร์นเองก็สร้างโอกาสจากตรงนั้นไม่ได้มากนัก

ตอนนี้ ปัญหาของเกมนี้จึงอยู่เพียงแค่ว่า เจ้าบ้านจะทำประตูได้ไหม และแบล็คเบิร์นนั้นจะยันสกอร์นี้ไว้ได้จนจบเกมหรือไม่ เกมจึงกลายเป็นการขึงของเจ้าบ้าน ชักเย่อไปๆมาๆกับกำแพงสองชั้นของทีมเยือน จังหวะสุดท้ายเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น แต่เบอร์บาตอฟยังพลาด รูนี่ย์และวาเลนเซียยังพลาด ทำให้สกอร์ยังคงอยู่ที่ 0:0 จะดีขึ้นก็เพียงรูปเกม, การเข้าทำและโอกาสในการครอบครองบอลของเจ้าถิ่นเท่านั้น ตอนนี้จากที่ผมเซ็งเป็ดช่วงแรก ก็เริ่มมาสบายใจ พอครึ่งหลังเปลี่ยนมาเป็นชิลด์ๆ แต่พอมันยิงไม่ได้สักที ผมเองก็เริ่มร้อนรนเหมือนกันนะเนี่ย แต่เพียงแค่ไม่นานหลังจากร้อนรน Evra ได้โอกาสเปิดบอลต่ำพุ่งเข้ามาในกรอบ บอลพุ่งเข้ามาค่อนข้างเร็ว เบอร์บาตอฟที่ถูกประกบติดอยู่ ใช้เท้าซ้ายจับบอล แต่ด้วยความอาร์ต จะจับให้นิ่งแล้วถูกแซะไปก็ใช่ที่ จึงจับให้กระดอนขึ้นมาสูงประมาณหน้าขา แล้วเอี้ยวตัวโดดวอลเลย์ด้วยขวาทันทีแบบอาร์ตๆ บอลพุ่งเสียบเสาชนิดโรบินสันไม่ได้ทำอะไรเลย ลูกนี้เฮียเบิร์บโชว์ความอาร์ตออกมาแบบเต็มๆอีกครั้ง

หลังจากได้ประตูขึ้นนำ แมนฯยูไนเต็ดยังคงโหมต่อเนื่องต่อไป บิ๊กแซมรีบเปลี่ยนตัวทันที โดยถอดคีธ แอนดรูวส์ ออก แล้วส่งมอร์เตน กั๊มพส์ พีเดอร์เซ่นลงมาแทน เท่ากับว่าตอนนี้บิ๊กแซมมีตัวลากเลื้อยคือดิยุฟ แล้วยังมีตัวเปิดป้อนชั้นเซียนคือกั๊มพส์อีกคน การเปลี่ยนตัวครั้งนี้ก็เท่ากับเป็นการเปิดเกมรุกมากขึ้นนั่นเอง เกมเริ่มจะแลกกันได้สนุกมากขึ้น ท่านเซอร์ที่เปรยๆไว้ล่วงหน้าว่าจะส่งโอแบร์กตองลงมาสัมผัสเกมนั้น ก็ทำตามสัญญาทันที ด้วยการถอดนานี่ออกแล้วส่งโอแบร์กตองลงมาแทน ถือเป็นการเปิดตัวในนามทีมชุดใหญ่ในเกมลีกเป็นนัดแรกของเจ้าตัว รูปเกมของโอแบร์กตองนั้น คนละเรื่องกับนานี่อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่นานี่เล่นเป็นมิดฟิลด์ริมเส้นในท่วงทำนองของโรนัลโด้, ร็อบเบน หรือเดเมี่ยน ดัฟฟ์ (อย่านับประสิทธิภาพ) แต่โอแบร์กตองกลับเล่นในอีกท่วงทำนองหนึ่ง ถึงดูแล้วจะไม่ละม้ายปีกแท้ๆอย่างอดีตที่กิ๊กส์เคยเป็นเท่าไหร่นัก แต่การเล่นมิดฟิลด์ริมเส้นของโอแบร์กตองมันดูแล้วออกแนวแบบคลาสสิคมากกว่า และดูแล้วไม่ฝืน

โอแบร์กตองนั้นสามารถเปลี่ยนมิติเกมรุกได้ดีมากๆ ในเกมที่นานี่ตื้อๆเหมือนเกมนี้ การเอาโอแบรก์ตองลงมาก็เท่ากับเป็นการเปลี่ยนจังหวะเกม เปลี่ยนจังหวะโจมตีแผงหลังคู่ต่อสู้ โอแบร์กตองมีความเร็วที่พาบอลกระชากหนีได้ มีการประสานงานกับเพื่อนดีกว่านานี่ ถึงแม้ทักษะการเล่นกับบอลอาจจะด้อยกว่า แต่สิ่งที่เขาทำได้ดีกว่านานี่ก็คือ การเล่นอย่างเป็นธรรมชาตินั่นเอง โอแบร์กตองรู้ทันทีเมื่อได้บอลว่า เขาจะเล่นอย่างไร จะกระชากไปเอง หรือชิ่งหนึ่งสองกับเอวร่าหรือดึงบอล จ่ายเข้ากลาง ส่วนนานี่นั้น ดูจะออกแนวติดกับดักความคิดตัวเองมากเกินไปหน่อย การลังเลในการตัดสินใจทุกๆครั้งเมื่อได้บอล จะลาก จะจ่าย จะเปิด คือมันยังไม่เป็นธรรมชาติ ไม่รู้เป็นไง ทุกครั้งที่ได้บอล เขาต้องดึงจังหวะก่อน เหมือนรอตัวประกบเข้ามาเผชิญหน้า แล้วก็พยายามโยก พยายามหลอก เพื่อจะทำอะไรสักอย่าง ที่สุดท้ายมัน...แป้ก ถ้าหากนานี่สังเกตจังหวะของโอแบร์กตองให้ดี เขาอาจค้นพบทางสว่างทำให้ไม่ต้องคิดมากก็เป็นได้ ซึ่งเราต้องลุ้นกันต่อไป

ทั้งสองทีมมีการเปลี่ยนตัวอีกเรื่อยๆ บิ๊กแซมถอด ดิ ซานโต ที่แทบไม่ได้สร้างความหวาดเสียวอะไรนักออก แล้วส่งนิโคลา คาลินิชลงมาป่วนแทน ซึ่งผมมองว่าตรงนี้เวิร์คนะครับ คาลินิชดูจะแข็งแกร่งกว่า และเบียดสู้คู่เซ็นเตอร์ยูไนเต็ดได้ดีกว่า แถมยังมีดีที่สามารถเล่นลูกกลางอากาศได้ค่อนข้างอีกด้วย หลังจากนั้นท่านเซอร์ขยับตามบ้าง ด้วยการส่งไมเคิล โอเว่นลงมาแทนเบอร์บาตอฟ อีตรงนี้แหละครับ ที่ยืนยันความคิดผมอย่างหนึ่ง ว่าเบอร์บาตอฟ กับรูนี่ย์ ควรมีใครคนใดคนหนึ่งก็พอในสนาม แล้วจับกับโอเว่น มันดูลงตัวกว่าและมีประสิทธิภาพกว่ามาก แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะรูนี่ย์คือตัวยืนตัวหลัก เป็นตัวเลือกแรกของทีมป๋าเสมอ ส่วนเบอร์บาตอฟนั้นก็คือผลผลิตของสิ่งที่เรียกว่าอีโก้ของป๋า ซึ่งไม่ว่ายังไง ป๋าย่อมต้องจัดเบอร์บาตอฟลงมาคู่รูนี่ย์ไว้ก่อน ประกอบกับสภาพร่างกายของโอเว่นเองก็ไม่อำนวยให้คิดการใหญ่เช่นนั้นด้วย มันจึงลงตัวพอดีกับที่ท่านเซอร์วางระบบแนวคิดไว้นั่นเอง

โอเว่นลงมานั้น สามารถประสานงานกับกองหน้าสไตล์รูนี่ย์ได้ดีมากๆ หรือว่าจะประสานงานกับเบอร์บาตอฟ ผมว่าก็ไม่ต่างกัน เพราะรูนี่ย์กับเบิร์บนั้น เป็นกองหน้าสไตล์ปั้นเกมด้วยจึงมักทำได้ดีในตำแหน่งพุ่งมาจากหน้ากรอบมากกว่ายืนค้ำในกรอบ ส่วนโอเว่นนั้น สไตล์การเล่นคือพิงกองหลังตัวสุดท้ายเพิ่อชิงจังหวะสลัดหนีไปเอาบอลเพื่อทำประตู ซึ่งมันสอดคล้องลงตัวพอดีกับการเล่นของรูน-เบิร์บ หรือปีกสองข้างของเรา ซึ่งหลังจากเปลี่ยนเกมตรงนี้ โอเว่นก็สร้างโอกาสดีๆได้พอสมควร แถมโอแบร์กตองยังเกือบเปิดตัวแบบอลังการงานสร้างได้ด้วย เสียแต่ว่าเจ้าตัวอาจจะเกร็งจากการตื่นสนามไปหน่อย จึงยิงออกไปอย่างน่าเสียดาย แต่สุดท้ายเราก็ได้ประตูที่สองจนได้ เมื่อ Anderson สบโอกาสหลุดเข้ามาทางซ้าย เปิดเรียดเข้ากลาง ไม่รู้เจ้าหมูบินโผล่มาจากไหน พุ่งเข้ามาจากนอกกรอบชนิดตัวประกบตามไม่ทัน ก่อนจะยิงบิดนิดๆ ส่งบอลตุงตาข่ายได้สำเร็จก่อนหมดเวลาไม่นาน

ประตูที่สองนี้เองที่ปิดกล่องให้เรา และทำให้เราสามารถเล่นได้อย่างสบายใจมากขึ้น และก็มีลูกปัญหาเกิดขึ้นในช่วงท้าย เมื่อทีมเยือนสร้างโอกาสงามๆจากทางซ้าย ก่อนจะเปิดเข้ากลางมีขลุกขลิกเล็กน้อย ก่อนที่เบ็นนี่ แม็คคาร์ธี่ย์ ซึ่งลงมาแทน เดวิด ดันน์จะซ้ำเข้าไปได้ แต่ผู้ตัดสินกลับไม่ให้เป็นประตูโดยบอกว่าล้ำหน้า ทั้งๆที่จังหวะก่อนนั้น ยังมีผู้เล่นยูไนเต็ดนอนอยู่ที่พื้นเป็นตัวสุดท้าย ก็นับว่าเป็นโชคของเราอย่างแท้จริงที่ผู้กำกับเส้นมองลูกนี้พลาด ไม่งั้นเกมอาจพลิกโฉมหน้าได้เหมือนกัน ซึ่งสุดท้ายแล้วเกมก็จบไปด้วยสกอร์ 2:0 เป็นสามแต้มของเจ้าบ้านได้กดดันจ่าฝูงต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ทั้งๆที่เล่นกันได้ไม่ค่อยดุดัน ไม่ค่อยแข็งแกร่งน่าเกรงขามเท่าไหร่นัก จนผมอยากขอหัวเชื้อแรงๆสักหน่อย มาเร่งไฟให้เครื่องยนต์นักเตะแต่ละคนได้วิ่งกันดุๆตั้งแต่แรกบ้าง

เกมนี้ ไม่มีรายละเอียดทางแท็คติคให้พูดถึงมากนัก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างเล่นตามเกมไปเรื่อยๆ เร่งบ้างผ่อนบ้างตามจังหวะ เรียกได้ว่าเป็นเกมแบบหมากชั้นเดียวก็ว่าได้ครับ สิ่งหนึ่งที่ผมดีใจกับเกมนี้ก็คือโอแบร์กตองที่เล่นได้ค่อนข้างมีอนาคต กับสภาพความกระหายและทางบอลของโอเว่นที่ยังดูดีมีชาติตระกูลอยู่ รวมทั้งการยิงประตูของเบิร์บและรูน ที่น่าจะทำให้ทั้งสองคนมั่นใจมากขึ้น แต่สิ่งที่ไม่น่าประทับใจก็คือ บราวน์ครับ เทพน้ำตาลของเราคนเดิมได้กลับมาแล้ว แทนที่บราวน์จะประคองน้องอย่างโอเช อย่างเอแวนส์ ด้วยวัยวุฒิและประสบการณ์เกมที่สูงกว่ามาก แต่กลายเป็นว่า หลายครั้งที่เอแวนส์ต้องคอยประคองบราวน์ แถมโอเชยังมาซ้อนช่วยจังหวะสุดท้ายสองสามครั้ง นี่ยังไม่นับลูกคืนหลังที่หวาดเสียวอีกประปราย บราวน์เล่นนัดนี้ทำเอาผมใจหาย เพราะข่าวริโอเจ็บแปดวีคก็เพิ่งหลุดออกมาซึ่งยังต้องรอเช็คกันอีก เฮ้อ....ไม่รู้ว่าบราวน์จะกลับมาดีเหมือนปีที่ได้แชมป์ยุโรปไหมหนอ

เอาล่ะ จบเกมนี้ไปก็มาดูข้างหน้ากันบ้าง หวังว่าจะเก็บสามแต้มการันตีการเข้ารอบบอลยุโรปได้ในนัดนี้เลยนะครับ เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลและใส่ได้เต็มที่สำหรับเกมสุดสัปดาห์กับเชลซีในวันอาทิตย์นี้ สองเกมนี้นั้น ผมว่าต่อให้เอาไม้จิ้มฟันมาค้ำเปลือกตาไว้ เพื่อให้ดูได้จบเกม ผมก็ยอม โดยเฉพาะเกมสุดสัปดาห์นี้ หลังจากป๋าเคยโดนพิษรักของพี่แจ้เล่นงานเอาเมื่อสามปีก่อน มาปีนี้ได้พบกันอีกครั้ง แค่เปลี่ยนจากมิลานเป็นเชลซี จะได้มาดูกันครับ ว่าป๋าจะหาทางแก้ลำหมากกลของพี่แจ้ได้ไหม หรือจะโดนพิษรักฝังทรวงให้เจ็บใจกันต่อไปอีก

แล้วมาลุ้นกันครับ

สงบใจ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2552
1 comments
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2552 13:44:42 น.
Counter : 490 Pageviews.

 

ชะลอความแก่ด้วย b i o s p r a y

สามารถชะลอความชราได้ อ่อนวัยลง
ผมบาง ผมร่วง ดกดำขึ้น กล้ามเนื้อกระชับขึ้น
นอนหลับลึกขึ้น สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น

แค่ไปที่ Http://xyz.ph/beerm

 

โดย: beer IP: 58.8.173.24 2 พฤศจิกายน 2552 10:50:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สงบใจ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สงบใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.