|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
20100504 วิพากษ์ SUNDERLAND vs MAN. UNITED
H
.O
.P
.E
สวัสดีครับ ก็ผ่านพ้นกันไปในแบบที่หลายฝ่ายคาดล่วงหน้ากัน ยูไนเต็ดกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการจาก สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ ก็แทบรากเลือด ทั้งๆที่จริงๆมันไม่ควรจะต้องรากเลือดด้วยซ้ำไป ส่วนอีกสนามที่ตามไปลุ้นกันก่อนหน้านี้นั้น หงส์แดงก็พกพาความเมื่อยล้าจากเกมมาราธอนยูโรป้ามาเต็มพิกัด ทำให้เชลซีสามารถบดนิ่มๆควักชัยชนะกลับออกไปแบบไม่ค่อยระบมหัวแม่เท้านัก เท่ากับว่าตอนนี้ การชิงชัยแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ต้องไปลุ้นเล็กๆกันในนัดสุดท้าย ระหว่างเชลซีจ่าฝูงในฐานะผู้ท้าชิงและแชมป์เก่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งที่ต้องบอกว่าลุ้นเล็กๆนั่นก็เพราะปาฏิหารย์เท่านั้น ที่จะบันดาลถ้วยแชมป์ให้ลอยคว้างจากลอนดอนกลับมาที่แมนเชสเตอร์ เพราะใครจะกล้าคาดคิดว่า วีแกน แอธเลติกส์นั้น จะกล้าๆบุกมายันเสมอหรือเอาชนะเชลซีถึงสแตมฟอร์ด บริดจ์ กันล่ะเนี่ย แต่เอาล่ะครับ ผมก็จะทำหน้าที่ของผมไปเหมือนเดิม ด้วยการวิพากษ์เกมที่เราออกไปเยือนซันเดอร์แลนด์กันครับ แต่เกมนี้คงไม่มีเนื้อหาอะไรมาก เพราะรูปเกมออกมาตรงๆไม่มีการแก้เกมอะไรหรือปรับแก้แท็คติคที่ต้องมานั่งสังเกตสังกากันมากนัก
การจัดทัพของสตีฟ บรู๊ซ กุนซือซันเดอร์แลนด์ในวันนี้ ถึงแม้ไม่ใช่ชุดใหญ่ที่ดีที่สุด ด้วยนักเตะชื่อชั้นที่เราคุ้นหูคุ้นตา แต่บรู๊ซซี่นั้นก็สามารถเข็นทีมๆนี้ให้เล่นได้แข็งแกร่งในบ้านมากๆ ด้วยสถิติ (ที่ผมได้ยินมาว่า) เพิ่งพ่ายแพ้คาบ้านแค่สองนัดเท่านั้นในซีซั่นนี้ เกมนี้ เราจึงได้เห็นนักเตะดีกรีรองๆลงมาบ้างลงสนามกันมาด้วย ผู้รักษาประตูได้แก่ เคร็ก กอร์ดอน แผงหลังสี่ตัวประกอบไปด้วยฟิล บาร์ดสลี่ย์, ไมเคิล เทอร์เนอร์, จอห์น เมนซ่าห์ และ คีแรน ริชาร์ดส์สัน โดยไม่มีเงาร่างของ อลัน ฮัตตัน, แอนทอน เฟอร์ดินานด์ หรือแม็คคาร์ทนี่ย์ แต่อย่างใด ส่วนแผงมิดฟิลด์วันนี้ บรู๊ซซี่ส่ง สตีด มาลบร็องก์, ลอริค คาน่า, เดวิด เมย์เลอร์ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไม่มีชื่อของ เบาเดอไวน์ เซนเด้น, หรือ แอนดี้ รีด ในสนาม ส่วนคู่กองหน้านั้น วันนี้มี เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ และ ดาร์เรน เบนท์ โดยที่มีเคนวิน โจนส์ เป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น
สำหรับทัพนักเตะของท่านเซอร์อเล็กซ์ ที่วันนี้มีเพียงภารกิจเดียวที่ต้องทำให้ได้ นั่นก็คือเก็บสามแต้มเป็นไฟต์บังคับ ไม่งั้นก็โบกมือลาถ้วยแชมป์ไปเลยตั้งแต่วันนี้ เกมนี้ท่านเซอร์ปรับทัพเล็กๆในแดนกลาง โดยไม่มีอันโตนิโอ วาเลนเซีย ซึ่งคาดว่าจะบาดเจ็บจากนัดที่แล้วนั่นเอง เกมนี้ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ยังคงได้เฝ้าเสาต่อไป แผงหลังสี่ตัวประกอบไปด้วย จอห์น โอเชีย, เนมานย่า วิดิช, จอนนี่ เอแวนส์ และ ปาทริซ เอวร่า วันนี้ท่านเซอร์มาด้วยแท็คติค 4-4-2 ทั้งๆที่เป็นทีมเยือน แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะบุก บุก บุก เท่านั้น มิดฟิลดคู่กลางนั้น มีพอล สโคลส์ และดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ริมเส้นมีนานี่ลากทางขวา และไรอัน กิ๊กส์ ทางซ้าย คู่กองหน้าวันนี้ เวย์น รูนี่ย์ คัมแบ๊คกลับมาได้ และได้ยืนคู่กับดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟต่อไป และมีชื่อโอเว่น ฮาร์กรีฟส์ในรายชื่อผู้เล่นสำรองเป็นนัดที่สองติดต่อกัน
เกมที่เกิดขึ้นนั้น ผมต้องบอกว่ากรรมการในวันนี้ ซึ่งได้แก่สตีฟ เบ็นเน็ตต์ นั้นทำหน้าที่วันนี้แบบค่อนข้างปล่อยเกมมากเกินไป แล้วหลายต่อหลายครั้งมันก็สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่ายๆ ซึ่งจังหวะการเข้าสกัดรุนแรงในเกมนี้มันก็เกิดขึ้นบ่อยๆกับทั้งสองทีมนั่นแหละ แต่การที่เบ็นเน็ตต์ปล่อยเกมไหลมากเกินไปตั้งแต่ช่วงแรก มันก็คือการสร้างบรรทัดฐานในเกมนั้นให้เกิดขึ้นไปแล้ว ว่าการเข้าแบบนี้คือฟาล์วนะ แบบนี้คือแฟร์นะ ทำให้นักเตะทั้งสองทีมเริ่มจะเข้าแท็คเกิ้ลกันแรงขึ้นๆตามนาทีที่ผานไป เห็นการเข้าสกัดกันแต่ละครั้งผมนี่แบบ...เอ่อ... ไม่กลัวแข้งขาหักกันบ้างรึไงเนี่ย ฝั่งยูไนเต็ดนั้นก็เข้าใจว่าเป็นเพราะแรงกดดันที่จะแพ้ไม่ได้ หากยังต้องการลุ้นแชมป์ต่อไปในอีกหนึ่งนัดที่เหลือ ส่วนทางฝั่งเจ้าบ้านนั่นก็พกศักดิ์ศรีการเป็นเจ้าบ้านลงมาเต็มพิกัด สถิติที่ดีเยี่ยมก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า ในบ้านนี้ แมวดำไม่เคยเกรงกลัวใคร ทำให้เกมนี้เป็นเกมที่ค่อนข้างเร็ว และรุนแรงกันพอสมควร แต่ดีที่ทั้งสองฝ่ายยังเก็บอารมณ์ให้มันพล่านอยู่เฉพาะแต่ในเกม ไม่ได้เลยเถิดให้ออกมาปะทุข้างนอกแต่อย่างใด
มาว่ากันถึงรูปเกมกันบ้าง เกมนี้ซันเดอร์แลนด์เจ้าบ้านเน้นการเพรสซิ่งเร็วทั่วทั้งสนาม จะว่าไป ยูไนเต็ดเองก็เหมือนจะมาเล่นพรสซิ่งเช่นกัน แต่เมื่อเข้ามาสู่เกมการแข่งขันจริงแล้วกลายเป็นซันเดอร์แลนด์สามารถวิ่งสู้ฟัดได้ดี ทั่วถึง และเร็วกว่านักเตะแชมป์เก่าอยู่ระดับหนึ่ง อาจเป็นเพราะตัวนักเตะของยูไนเต็ดที่ลงมานั้น ทั้งสโคลส์ และกิ๊กส์ ทำให้ตรงกลางก็เพรสซิ่งได้ไม่ดีนักอยู่แล้วจากอายุอานาม รวมถึงสไตล์การเล่น ไหนจะนานี่ และเบอร์บาตอฟเองก็ไม่ใช่พวกที่นิยมเพรสซิ่งด้วยซ้ำไป แถมตรงกลางวันนี้ทีมเยือนก็มีเพียงสองตัวที่ยืนค้ำพื้นที่กลางสนาม ทำให้วิ่งไล่บดไล่บี้ได้ไม่ดีนัก ไม่เหมือนยามที่จัดทัพเล่นด้วยระบบตัวกลางสามคน ทั้งหมดนี้ทำให้เกมเพรสซิ่งของเจ้าบ้านทำได้ดีกว่า ทำได้ทั่วถึงกว่า และหนักหน่วงรุนแรงกว่า ทำให้เมื่อเล่นไปเล่นไป ก็เลยกลายเป็นยูไนเต็ดต้องพยายามครองบอลหนีการเพรสซิ่ง และถ่ายบอลเร็วออกบอลเร็วตลอดเวลา
เกมของซันเดอร์แลนด์ถึงแม้จะครองบอลได้น้อยกว่า แต่การประสานงานและเคลื่อนเกมขึ้นหน้าทั้งด้วยวิธีการทำชิ่งให้บอล หรือสาดบอลยาวขึ้นหน้านั้น ทำได้ค่อนข้างดีและลงตัว มาลบร็องก์ และเฮนเดอร์สัน ที่วันนี้ถูกวางเป็นตัวริมเส้นนั้น สามารถครองบอลลากลัดเลาะกดดันฟูลแบ๊คสองข้างของยูไนเต็ดได้ดีมากๆ โดยเฉพาะฝั่งขวาที่มีจอห์น โอเชียรับบทหนัก เพราะนานี่ช่วยเล่นเกมรับได้ไม่เด่นนักนั่นเอง แต่เพียงไม่นานนัก บรู๊ซซี่ก็ต้องคิดหนักก่อนเวลา เมื่อเพียงแค่นาทีที่ 17 จอห์น เมนซ่าห์ ก็มีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้น และต้องเปลี่ยนตัวออกโดยบรู๊ซได้ส่ง แม็ทธิว คิลกัลล่อนลงมาแทน นั่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการวางแท็คติคเกมรับของบรู๊ซก็เป็นได้ แต่เมื่อผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ซันเดอร์แลนด์ ผมจึงบอกความแตกต่างระหว่างจอห์น เมนซ่าห์ และ แม็ทธิว คิลกัลล่อนในแผงหลังซันเดอร์แลนด์ไม่ได้
ทีนี้ เมื่อแผงหลังต้องเปลี่ยนกะทันหัน การปรับตัวของแผงหลังชุดใหม่ให้รับกับสถานการณ์ในขณะนั้นจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และยูไนเต็ดก็ฉกฉวยโอกาสที่ว่านั้นเอาไว้ได้ เมื่อพยายามบุกขึ้นหน้ามากขึ้นกว่าเดิม จนในที่สุด หลังจากพยายามมาหลายครั้ง เมื่อการประสานงานที่ลงตัวจากตรงกลางทั้งรูนี่ย์, เบอร์บาตอฟ และเฟล็ทเชอร์ บอลถูกเปิดเข้ามาหลุดทะลุมาถึงเสาสองทางกรอบเขตโทษทางฝั่งขวา นานี่สอดเติมขึ้นมาเพียงคนเดียวโดยไม่มีกองหลังเข้ามาคุม และนานี่ก็จัดการยิงด้วยอีขวาติดไซด์ก้อยให้ลูกพุ่งหนีมือเคร็ก กอร์ดอน ก่อนจะเลี้ยวมุดเข้าหน้าต่างเสาแรกอย่างสุดสวย ช่วยให้แชมป์เก่าปลดล็อคได้ประตูที่ต้องการตั้งแต่นาทีที่ 28 เท่านั้น
หลังจากนั้น เกมของซันเดอร์แลนด์ก็แผ่วลงไป กลายเป็นการครองบอลของของทีมเยือนที่พยายามหาช่องบดเอาประตูที่สองต่อไป แต่เกมสวนกลับของซันเดอร์แลนด์ก็เปี่ยมไปด้วยพิษสงไม่แพ้กัน มาลบร็องก์ และเฮนเดอร์สันคือคีย์แมนในการเก็บและพาบอลขึ้นปั่นป่วนแนวรับแชมป์เก่า แต่โชคร้ายที่วันนี้ทั้งดาร์เรน เบนท์ และ เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ ต่างก็ไม่ได้อยู่ในวันที่ดีของพวกเขา ทั้งคู่ไม่สามารถแหวกฝ่าแนวรับภูผาหินของแชมป์เก่าเข้าไปหาโอกาสงามๆจะจะได้ จังหวะยิงของซันเดอร์แลนด์ส่วนมากจึงเป็นการยิงไกลจากนอกกรอบบ้าง หรือจังหวะที่มาได้ลุ้นจากลูกตั้งเตะ ลุกเตะมุมบ้างเท่านั้น ซึ่งหากผ่านตัวประกบผ่านตัวบล๊อกไปได้ มันก็ไม่ผ่านมือน้าซาร์เช่นกัน แล้วฟ้าก็ผ่าลงมาที่หน้าผากของบรู๊ซซี่อีกกระทอก เมื่อเดวิด เมย์เลอร์มีอาการบาดเจ็บปลายครึ่งแรก และต้องถูกแทนที่ด้วย ลี แค็ตเทอร์โมล ซึ่งก็ถือเป็นขาโหดคนหนึ่งของวงการเช่นกัน
ครึ่งหลังเกมยังคงเหมือนเดิม ยูไนเต็ดพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะส่องประตูเพิ่มให้ได้ แต่ติดที่โชคไม่เข้าข้าง หากเบนท์ และแคมป์เบลล์ไม่ได้อยู่ในวันที่ฟอร์มดีของทั้งคู่แล้ว เบอร์บาตอฟก็คงต้องอยู่ในวันที่โชคร้ายนั่นแหละ ทั้งๆที่พยายามอย่างมากแล้วในทุกๆจังหวะ แต่เจ้าตัวกลับตัดสินใจในจังหวะสุดท้ายได้ไม่เด็ดขาดพอในทุกๆจังหวะ ทั้งการลากพาบอลแหวกฝ่ามาตั้งไกล แต่กลับมาถูกแซะ ถูกเบียดในจังหวะสุดท้ายที่ควรจะต้องออกบอลหรือตัดสินใจยิงไปก่อนแล้ว ทั้งจังหวะที่เข้าชาร์จเหน่งๆแต่กลับไม่แม่นยำหรือลงตัวเข้าล็อค ทั้งจังหวะขึ้นโหม่งจ่อๆที่เทคได้สูงกว่าแต่กลับถูกกองหลังที่อยู่ต่ำกว่าชิงโหม่งสกัดไปได้ การพลาดแต่ละลูกของเบอร์บาตอฟยิ่งตอกย้ำให้คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขายิ่งเจ็บปวดใจมากขึ้น แต่เมื่อได้เห็นสีหน้า เห็นแววตา เห็นความผิดหวังในพยายามของเขาแล้วก็ให้น่าเห็นใจไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในปีนี้ แถมในครึ่งหลังนี้เราก็ยิ่งเห็นว่าเกมมันหนักขึ้นกว่าครึ่งแรกเสียอีก ผมเองก็ลุ้นๆว่าอย่าให้เกมมันรุนแรงจนเกินขอบเขตไปเล้ยยยย....
ช่วงยี่สิบนาทีสุดท้าย เบอร์บาตอฟก็ถูกถอดออก แทนที่ด้วยคาร์ริค ซึ่งมันน่าจะเป็นการเปลี่ยนตัวเพื่อเน้นการคุมสถานการณ์ตรงกลางสนามมากขึ้น เพราะช่วงปลายๆนี้ ซันเดอร์แลนด์เหมือนจะทำเกมได้กระเตื้องขึ้นมาบ้าง กลายเป็นเกมที่ยืนแลกหมัดกันยกต่อยกไปแล้ว ทีมหนึ่งก็พลาด ทำหมูหกหน้าประตูคู่ต่อสู้เรื่อยๆ ส่วนอีกทีมก็ยังไม่สามารถเข้าไปหาโอกาสจะจะได้เสียที แตโอกาสน่ะมันมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลังจากเห็นคู่ต่อสู้เปลี่ยนเอาคาร์ริคลงมานั้น บรู๊ซเองก็จัดการเปลี่ยนเกมด้วยการส่งเคนวิน โจนส์ลงมาแทนเฮนเดอร์สันเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าทำ และหันมาเน้นบอลไดเร็กต์มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งโจนส์ก็ทำหน้าที่ได้ดีกว่าสองกองหน้าที่ลงมาตั้งแต่แรก เพียงแต่ก็ฝ่าแนวรับทีมเยือนไม่ได้เช่นกัน โดยทีมเยือนนั้นรอจนถึงช่วงท้ายเกมจึงได้เปลี่ยนอีกครั้ง ด้วยการส่งริโอลงมาแทน เฟล็ทเชอร์ เพื่อมายืนห้อยเป็นตัวสุดท้ายหน้าแผงหลัง และเปลี่ยนเอาฮาร์กรีฟส์ลงมาเดินเล่นในนาทีสุดท้ายแทนที่นานี่ เรียกเสียงปรบมือได้กราวทีเดียว สุดท้ายก็จบเกมไปด้วยชัยชนะของทีมเยือนตามเป้า
จบเกมนี้ลงไป ผมก็รู้สึกแปลกๆ แทนที่จะดีใจก็ไม่ได้ดีใจเต็มที่ เมื่อรู้อยู่แก่ใจว่า ปีนี้ ถ้วยแชมป์มันคงมีโอกาสน้อยมากๆที่จะยังได้อยู่ในโรงละครแห่งความฝันต่อไปอีกปีหนึ่ง แต่ก็เอาเถอะครับ ก็ยังดีที่ได้ลุ้นจนถึงนัดสุดท้ายนะ เอาเป็นว่าเกมนี้ ผมจะขอพูดถึงเรื่องสำคัญมากๆที่เกิดขึ้นในเกมนี้ดีกว่า นั่นก็คือเรื่องของเบอร์บาตอฟนั่นเอง จากเกมที่ย่ำแย่สุดๆของเจ้าตัวเกมนี้ ผมเชื่อว่าป๋าตั้งใจเปลี่ยนเขาออกเพราะคงไม่อยากให้เจ้าตัวเสียกำลังใจไปมากกว่านี้ เรื่องแท็คติคคงเป็นเรื่องรองมากกว่า เพราะฟอร์มของคาร์ริคที่ลงมาแทนเองนั้นนาทีนี้ก็ตกหล่นหายไปนานแล้วเหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมนี้ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะบอกว่าเบอร์บาตอฟห่วย แต่ผมอยากจะบอกว่า ในความเห็นผม เบอร์บาตอฟอาจจะเป็นพวกอาร์ตติสต์ หรือจะเป็นพวกที่ใช้การคิดมากกว่าความพยายามก็แล้วแต่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ดูแล้วเบอร์บาตอฟนั้นท่าทางจะแบกรับความกดดันได้ไม่ดีพอ ทำให้ขาดความมั่นใจ การก้าวเท้าเข้ามาในโรงละครพร้อมค่าตัวสามสิบกว่าล้านปอนด์ที่แบกอยู่กลางหลังนั้น มันส่งผลเสียที่เกินกว่าใครๆจะคาดคิดมากนัก
หากเป็นโรนัลโด้ ที่แบกถุงเงินราคาแปดสิบล้านปอนด์ไว้กลางหลังนั้น เราจะเห็นว่า โรนัลโด้โยนไอ้ถุงดังกล่าวทิ้งตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากโรงละครไปแล้ว เมื่อเหยียบเบอร์นาบิว โรนัลโด้จึงเล่นเหมือนไม่มีแรงกดดันอะไร และยังทำผลงานได้ดีเหมือนเดิม ซึ่งนี่ก็คงเป็นอัตลักษณ์ของเจ้าโด้เอง ที่เบอร์บาตอฟไม่สามารถนำมาเลียนแบบได้เลย เพราะดูเหมือนเบอร์บาตอฟเองจะยังแบกถุงเงินราคามหาศาลลงสนามทุกนัดอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับการที่ท่านเซอร์ไม่ได้เลือกองค์ประกอบทีมและแท็คติคที่จะเอื้อต่อสไตล์การเล่นของเบอร์บาตอฟได้เหมือนที่เลเวอร์คูเซ่นและไวท์ ฮาร์ท เลน มีให้ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงผลงานที่ดร็อปลงไป และสุดท้ายก็คือ ความมั่นใจของเจ้าตัวที่ค่อยๆหดหายไปทีละเล็กละน้อย จนสุดท้ายในนัดนี้ เราจะเห็นว่า แม้เจ้าตัวจะพยายามมากแค่ไหน แต่เมื่อไร้ซึ่งความมั่นใจ คุณก็ไม่สามารถเล่นได้ด้วยความสบายใจ และเมื่อนั้นสัญชาตญาณในการเล่นคุณก็จะหายไป กลายเป็นการเล่นด้วยความกดดัน และฝืนธรรมชาติของตัวเอง
การที่ปีที่แล้วเตเวซไม่สามารถเปล่งรัศมีออกมาได้เหมือนปีแรก ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน เมื่ออยู่ๆก็มีตัวละครที่ผู้กำกับชื่นชอบมากกว่า มาลงเล่นเป็นตัวเลือกก่อนหน้าเขา แรกๆเตเวซก็คงใช้แรงกระตุ้นตรงนี้แปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นและความท้าทายที่ต้องการเอาชนะใจเจ้านายให้ได้นั่นแหละ แต่สุดท้าย เมื่อเจ้านายยังคงรักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ยังคงเห็นเบอร์บาตอฟเป็นตัวเลือกแรก และเลือกที่จะปรับแท็คติคมาเป็นหน้าตัวเดียว ขนาบด้วยตัวริมเส้นอย่างโด้ และนานี่ หรือกิ๊กส์ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นตัวเลือกอันดับสามไปอีก ซึ่งสุดท้ายความท้าทายและความมุ่งมั่นที่มี มันก็ค่อยๆระเหยกลายเป็นความกดดันที่จะต้องโชว์ฟอร์มให้ได้ ทั้งๆที่โอกาสมีน้อยมากๆ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เตเวซแปรสภาพจากตัวทีเด็ด และคู่หูเตี้ยล่ำมหากาฬในปีแรก กลายมาเป็นบุรุษที่ถูกลืมในช่วงปลายปีที่สองในที่สุด แต่เมื่อได้มันชินี่กลับมาชุบชีวิตด้วยการลงเล่นอย่างมีอิสระและต่อเนื่อง เตเวซก็สามารถกลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีได้อย่างรวดเร็ว (เรื่องบุคลิคส่วนตัวขอไม่พาดพิง)
ที่กล่าวมานั้น เราจะเห็นว่า หากจะให้เบอร์บาตอฟกลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีอีกครั้งนั้น อย่าลืมว่าเจ้าตัวออกจะมีสไตล์การเล่นที่ชัดเจน มีเอกลักษณ์และสไตล์ทรงบอลที่ชัดแจ้ง อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆที่จะมาปรับสไตล์กันในตอนนี้ การจะคัมแบ๊คกลับมาให้ได้ เรา(ป๋า)คงต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ระหว่างการปรับแท็คติคของทีมให้เอื้อต่อสไตล์การเล่นของเบอร์บาตอฟ ซึ่งควรต้องใช้หน้าคู่ ที่มีตัวสอดประสานเล่นกับเบอร์บาตอฟอย่างรู้ใจ และลงเล่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เบอร์บาตอฟสามารถขับพลังในตัวออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเหมือนตอนคู่กับเดโฟ หรือคีน หรือไม่งั้นป๋าก็ต้องปรับองค์ประกอบทีมในแท็คติค 4-5-1 ที่ป๋าคงต้องเลือกตัวริมเส้นที่เหมาะกับแท็คติคนี้จริงๆ (นั่นคือไม่ใช่วาเลนเซีย หรือ กิ๊กส์ แต่เป็นพวกร็อบเบน หรือ มาลูด้า) รวมทั้งกลางรุกที่สามารถเชื่อมเกมกับหน้าเป้าได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่นพวกสไนเดอร์ หรือกาก้า (ไอ้ที่ยกตัวอย่างมาก็เพื่อจะได้เห็นภาพได้ชัดๆ)
แต่อย่าลืมว่า การจะปรับทีมขนาดนั้น เพื่อให้เบอร์บาตอฟสามารถเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่กล่าวมานั้น มันไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นงานใหญ่ ส่งผลกระทบต่อผู้เล่นปัจจุบันหลายต่อหลายคน และเป็นการทำเพื่อนักเตะที่อายุเหยียบสามสิบเพียงคนเดียว ซึ่งเราก็ทราบดีว่านั่นไม่ใช่นโยบายของท่านเซอร์แน่นอน สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในช่วงซัมเมอร์นี้ น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งมากครับ ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางใด จะเก็บเบอร์บาตอฟไว้ก็ต้องมีการปรับองค์ประกอบบางอย่าง แต่ถ้าจะไม่เก็บไว้ ก็คงต้องดูต่อไป ว่าจะมีใครมาแทนที่เบอร์บาตอฟ เพราะลำพังรูนี่ย์ไม่สามารถยืนระยะเล่นทุกเกมได้ตลอดซีซั่นแน่ๆ แค่เกมนี้ก็เห็นแล้วว่า รูนี่ย์ยังไม่ฟิตพอ ยังเลี่ยงปะทะอยู่ แล้วจะพึ่งโอเว่นเองก็สามวันดีสี่วันไข้ ชิชาริโต้ยังไม่เห็นฟอร์มจริง มาเคด้า, เว็ลเบ็ค และ ดิยุฟเองก็ต้องรอพิสูจน์ในเกมระยะยาวก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นไปในทางใด ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ
ส่วนเรื่องการลุ้นแชมป์ ณ วันนี้ คงทำได้เพียงแค่รอปาฏิหารย์ที่อาจจะเกิดขึ้น ถึงแม้ค่อนข้างจะลมๆแล้งๆ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้ลุ้นซะเลย จริงไหมครับ และหากไม่ลืมกันล่ะก็... จำได้ไหม ว่าแต่ละคนออกตัวกันว่าอย่างไรบ้าง หลังจากเห็นเงาโรนัลโด้ และเตเวซ ค่อยๆ เลือนหายไปจากโรงละคร แล้วได้เห็นร่างของโอแบร์กตอง กับ วาเลนเซียเลื้อยเข้ามายืนแทนที่ ไม่ว่าใครต่อใคร ต่างพากันพูดว่า มีแต่ผู้เฒ่าวัยเลี้ยงหลาน กับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ปีนี้คงไม่ได้แชมป์แหงๆ ปีนี้คงต้องตั้งหลักกันใหม่แน่ๆ ขอแค่ลุ้นไปเรื่อยๆก็พอ แล้วดูสิครับ วันนี้ ท่านเซอร์ของเรา เข็นลูกทีมชุดนี้ ฝ่าลมมรสุมลูกแล้วลูกเล่า ยืนหยัดลุ้นมาได้จนถึงนัดสุดท้ายเช่นนี้ ก็คงไม่ต้องมีอะไรให้พูดกันอีกแล้ว ป๋ายังเป็นป๋า ป๋ายังรู้ดีที่สุดว่าทีมชุดนี้ ควรทำอย่างไร ควรจัดการอย่างไร และป๋าเองก็น่าจะรู้ดีที่สุดเช่นกัน ว่าซัมเมอร์นี้ จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทีมอย่างไร แล้วมาลุ้นกันนะครับ
สงบใจ
Create Date : 04 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 11:30:48 น. |
|
1 comments
|
Counter : 507 Pageviews. |
 |
|
|
| |
|
|