|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
20100419 วิพากษ์ MAN. CITY vs MAN. UNITED
ต่ออายุวีซ่า
สวัสดีปีใหม่ไทยครับทุกๆท่าน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันนะครับ กับผลงานของบรรดาทีมดังในพรีเมียร์ลีกทั้งปวงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อันเริ่มจากแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ ที่ก่อนเกมบรรดาเกจิทั้งหลายเริ่มไม่เชื่อน้ำยาป๋ามากขึ้น รวมทั้งฟอร์มการเล่นก่อนหน้านี้ของทั้งสองทีมที่ต่างกันสุดขั้วเหลือเกิน ทีมหนึ่งสภาพจิตใจตกต่ำมาตลอดสี่นัดติดๆกัน ทั้งตกรอบแชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้งความฝันแชมป์สี่ปีติดต่อกันที่ทำท่าจะสูญสลายไปแล้ว บวกอาการเจ็บของหน้าตัวเดียวที่ฝากฝังได้ ส่วนอีกทีมหนึ่งฟอร์มสุดยอด ยิงมาถึง 13 ลูกเน้นๆ จากไม่กี่นัดก่อนเกมนี้ ชนิดดาหน้ากันยิง ทั้งหมดทั้งปวงนี่เอง ที่ทำให้ผมเองไม่กล้าหวังมากนักกับผลการแข่งขันนัดนี้เลย นี่ยังมีผลการแข่งขันสองคู่ใหญ่ตามหลังที่พลิกผันไปจากหน้าเสื่ออีกต่างหาก ที่ทำให้หน้าตาการชิงชัยในลีกปีนี้กลับมาดุเด็ดเผ็ดมันอีกครั้งหนึ่ง
ฝั่งเจ้าบ้านซิตี้ของโรแบร์โต้ มันชินี่ วันนี้แทบจะจัดทัพชุดใหญ่เต็มพิกัดลงมาบู๊กับอริร่วมเมือง หวังปัดแข้งปัดขาและช่วยตอกย้ำให้แรงๆว่า การแย่งแชมป์มันจบลงแล้ว ในขณะเดียวกัน มันเป็นการเดิมพันพื้นที่อันดับ 4 ของตารางลีกด้วย ซึ่งทุกๆฝ่ายเชื่อว่า หากซิตี้จบด้วยอันดับที่ 4 และได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกแล้วนั้น จะสามารถปูทางให้นักเตะดังๆตบเท้าตามเข้ามาในทีมได้ง่ายขึ้น เกมนี้ผู้รักษาประตูยังคงเป็นเชย์ กิฟเว่น แผงหลังสี่ตัวได้ เนดุม โอนูฮายืนทางขวา คู่เซ็นเตอร์เป็น โคโล่ ตูเร่ และ แวงซองก์ กองปานี มีเวย์น บริดจ์ยืนฝั่งขวา มิดฟิลด์วันนี้เลือกไนเจล เด ยองก์ จับคู่แกเร็ธ แบร์รี่ตรงกลาง วางอดัม จอห์นสัน ตัวจี๊ดดาวรุ่งเลื้อยทางขวา และเคร็ก เบลลามี่ทางซ้าย คู่กองหน้าเลือกคาร์ลอส เตเวซ และ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ นี่ยังไม่หมดนะครับ ในซุ้มม้านั่งสำรองยังมี สตีเฟ่น ไอร์แลนด์, ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ (SWP), ปาทริค วิเอร่า รวมทั้งโรเก้ ซานตา ครูซ ดูขุมกำลังเขาแล้วให้หวั่นใจเหลือกำลังลากไม่น้อย
ส่วนทางฝั่งผู้มาเยือน ที่ต้องลุ้นหนักน่าดูชนิดแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วกับความหวังคว้าถ้วยแชมป์ลีกปีนี้ เมื่อต้องตามหลังเชลซีถึง 4 แต้ม แถมเหลือแมทช์การแข่งขันให้ลุ้นเพียง 4 นัดเท่านั้น ผลการแข่งขันเกมนี้จึงเหมือนกับเป็นการบอกนัยๆว่าเราจะยังมีลุ้นอยู่ต่อไปหรือไม่ เกมนี้ท่านเซอร์พลิกโผอีกแล้วด้วยการส่งผู้เล่นที่เราเข็มขัดสั้นกันทั้งบางลงสนามในเกมบิ๊กแมทช์กับเพื่อนบ้านขี้โวยวายเกมนี้ โดยมีผู้เฒ่าทั้งสี่ลงสนามครบครัน แถมเด็กกิ๊บซี่ยังได้ลงมาซ่าอีกต่างหาก เกมนี้เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ยืนเฝ้าเสาเป็นผู้เฒ่าเบอร์หนึ่ง โดยมีแกรี่ เนวิลล์ยืนฟูลแบ๊คฝั่งขวาเป็นผู้เฒ่าเบอร์สอง ฝั่งซ้ายเป็นปาทริซ เอวร่า คู่เซ็นเตอร์กลายเป็นเนมานย่า วิดิช และจอนนี่ เอแวนส์ มิดฟิลด์กลางสนามวางพอลสโคลส์ ผู้เฒ่าเบอร์สาม และดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ไว้ตัดเกมตรงกลางสนาม ดันดาร์รอน กิ๊บสันขึ้นหน้าสูงเล็กน้อย มีกิ๊กส์เป็นผู้เฒ่าเบอร์สี่ทางซ้าย และอันโตนิโอ วาเลนเซียยืนทางขวา ห้อยเวย์น รูนี่ย์เป็นหน้าเป้า ด้วยระบบ 4-5-1 (4-3-3) ตามความคาดหมายในเกมใหญ่ๆเช่นนี้
เริ่มเกม ซิตี้ชวนทะเลาะก่อนทันทีด้วยเกมรุกริมเส้นจากอดัม จอห์นสัน และเคร็ก เบลลามี่ รวมทั้งการวิ่งพล่านปั่นป่วนแนวรับทีมเยือนของคาร์ลอส เตเวซ โดยมีตัวพักบอลแดนหน้าเป็นอเดบายอร์ เกมรุกของซิตี้รวดเร็ว และจัดจ้านมากพอดู แต่ยูไนเต็ดที่ไม่ได้ประมาทก็สามารถตั้งกำลังแนวรับต้านทานเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นโดยมีเนมานย่า วิดิชเป็นหัวใจในเกมรับตรงกลางสนาม มิดฟิลด์ริมเส้นวันนี้ออกแนวแปลกๆเล็กน้อย โดยไม่ได้วางใครลงมารับบทบาททางซ้ายเป็นการเฉพาะเจาะจง แต่ให้เฟล็ทเชอร์และกิ๊กส์สลับกันรับบทบาททางฝั่งซ้ายตามโอกาสและจังหวะของเกมแบบไม่ตายตัว ซึ่งก็ค่อนข้างได้ผลดีตรงที่ทำให้ผู้เล่นของซิตี้จับจังหวะเกมได้ยากขึ้น แต่ก็ทำให้เกมของฝั่งเราสับสนไปด้วยเช่นกัน อ้าว...แล้วยังไงกันล่ะทีนี้ คืออย่างนี้ครับ ช็อตแรกที่เฟอร์กี้มองไว้น่าจะเป็นเป้าหมายในการช่วงชิงพื้นที่ตรงกลางสนามมากกว่า จึงได้วางแท็คติค กลางห้าตัว ลงมาใช้งานในเกมนี้ ซึ่งก็เหมือนเกมใหญ่ๆเกมอื่นที่ผ่านมานั่นแหละครับ
แต่สิ่งที่ต่างกันออกไปก็คือ เกมนี้เมื่อเฟอร์กี้เลือกประสบการณ์ของนักเตะมาก่อนความสดทางวัยวุฒิ (ซึ่งผมจะพูดถึงอีกทีในตอนหลัง) ก็ย่อมต้องเป็นกิ๊กส์ที่ถูกเลือกลงมา ซึ่งหลายๆเกมกิ๊กส์แสดงให้เห็นว่าความเร็วในการเล่นเป็นปีกของเขามีประโยชน์ลดน้อยลงสวนทางกับวัยที่สูงขึ้น ครั้งจะให้ยืนกลางรุกก็ไปทับตำแหน่งกิ๊บสันที่เข้าใจได้ว่าลงมาเพื่อหวังลูกยิงแถวสองอย่างเดียว อันเป็นการช่วยดึงสมาธิกองหลังซิตี้ให้ดันขึ้นมาปิดไลน์ ตรงนั้นประโยชน์คือเจ้าหมูก็จะมีพื้นที่วิ่งมากขึ้น แต่ปัญหาก็คือ เมื่อกิ๊กส์อยู่ทางซ้ายแล้วเร็วไม่พอที่จะหนีโอนูฮา+จอห์นสัน อยู่กลางรุกก็ทับตำแหน่งกิ๊บซี่ จะยืนกลางรับกิ๊กส์ก็ไม่หนักหรือเร็วพอ แต่เมื่ออยากได้ประสบการณ์มาช่วย ก็เลยต้องปรับโหมดมาเป็นการสลับตำแหน่งตามโอกาสและจังหวะกันกับเฟล็ทเชอร์นั่นเองครับ เราจึงเห็นในเกมนี้บ่อยๆว่า ทั้งเฟล็ทเชอร์และกิ๊กส์ต่างผลัดกันหมุนเวียนมาเล่นเกมทางฝั่งซ้ายบ่อยๆ
เกมนี้ยูไนเต็ดทีมเยือนเน้นเกมเพรสซิ่งกลางสนามเป็นหลัก หลังจากที่ซิตี้เปิดฉากชวนทะเลาะแต่เราไม่เล่นด้วยแล้วนั้น ยูไนเต็ดก็พยายามเซ็ตเกมของตัวเองขึ้นมาช้าๆค่อยเป็นค่อยไป แต่หลักๆคือการเน้นทำลายเกมตรงกลางสนามของซิตี้ ซึ่งวันนี้ก็พอดีที่เราเห็นว่ามันชินี่ไม่ได้หวังมาแลกตรงกลางอยู่แล้ว ปรัชญาของมันชินี่ในเกมวันนี้เลือกที่จะเล่นรัดกุมตรงแดนกลาง เน้นมิดฟิลด์ที่ถนัดเกมรับและการคุมพื้นที่มากกว่า เราจึงเห็นชื่อแบร์รี่ และเด ยองก์ ตรงกลางสนามในวันนี้แทนที่จะเป็นพวกสตีเฟ่น ไอร์แลนด์ ตรงนี้ทำให้การสร้างสรรค์เกมตรงกลางของซิตี้เจ้าบ้านจะถูกไล่ทำลายเกมได้ง่ายขึ้นจากบรรดามิดฟิลด์ของยูไนเต็ด แต่เจ้าบ้านซิตี้เองก็ไม่ได้แยแสเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะในช่วงต้นที่ยังสามารถเล่นเกมริมเส้นกดดันแชมป์เก่าได้เรื่อยๆ เกมของซิตี้พยายามเน้นการให้บอลออกทางกว้าง เปิดโอกาสให้จอห์นสันและเบลลามี่ได้ใช้ความเร็วความคล่องของตัวเองเข้ากดดันแผงหลังทีมเยือน แต่เกมนี้ตัวริมเส้นของซิตี้กลับทำผลงานได้ไม่เข้าเป้าเอาซะเลย
เบลลามี่ไม่สามารถเอาชนะแกรี่ เนวิลล์ได้บ่อยมากพอจะปั่นป่วนแผงหลังทีมเยือน อีกทั้งวาเลนเซีย และวิดิช ช่วยกันซ้อนเกมรับของเนวิลล์ได้อย่างน่าชื่นชมตลอดเกม เช่นเดียวกับที่เอแวนส์ที่ช่วยรองและซ้อนเอวร่าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ผมดูแล้วในเกมนี้จอห์นสันเองก็ยังไม่สามารถเค้นผลงานออกมาได้เต็มที่เหมือนเกมอื่นๆเมื่อต้องมาเจอเอวร่าตามเป็นเงาทั้งเกม ในขณะที่มิดฟิลด์ของซิตี้เองก็ไม่ได้เติมเกมสูงขึ้นมาช่วยต่อบอลหน้ากรอบคู่ต่อสู้บ่อยนัก ทำให้เบลลามี่และจอห์นสันเมื่อแหวกฝ่ากองหลังมาไม่ได้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะหาทางเปิดบอลเข้ามาหน้ากรอบหรือในกรอบ แล้วพื้นที่ตรงนั้นก็ถูกบรรดามิดฟิลด์รวมทั้งแผงหลังยูไนเต็ดคุมพื้นที่ป้องกันได้เป็นอย่างดีตลอดเวลาชนิดไม่ปล่อยให้เตเวซและอเดบายอร์ทำงานได้สะดวกเลย อเดบายอร์เกมนี้แทบไม่ได้โอกาสเลยด้วยซ้ำไป
วกมาพูดถึงเรื่องการที่ท่านเซอร์เลือกประสบการณ์มาก่อนความสดกันบ้าง ผมพยายามพิจารณาหาสาเหตุที่ท่านเซอร์ส่งผู้เฒ่าลงมาพร้อมกัน รวมทั้งเด็กกิ๊บซี่แทนที่จะเป็นคาร์ริค ส่วนเอแวนส์นั้นเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะริโอที่นิ้วหลุดมาก่อนจึงได้พักครับ เกมนี้ผมมองว่ามีอีกเหตุผลหนึ่งที่ท่านเซอร์ จงใจ เลือกผู้เฒ่าและเด็กกิ๊บซี่ลงสนาม นั่นก็คือนี่เป็น MANCHESTER DERBY ไงครับ หลังจากจิตตกกันมาสี่เกมรวด คงไม่มีเกมไหนที่จะดึงกำลังใจของทีมกลับมาได้มากเท่าศึกผ่าเมืองนี้อีกแล้ว และคงไม่มีนักเตะคนไหนที่จะมีแพสชั่น มีอารมณ์ร่วมในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ได้มากมายไปกว่าบรรดานักเตะเลือดอสูรแดงพันธุ์แท้ๆแน่นอน หากจะมีใครที่เกลียดความพ่ายแพ้ในศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ มากที่สุด ก็คงเป็นบรรดาผู้เฒ่าทั้งหลาย และเด็กสร้างของเรานั่นแหละ ที่ซึมซับบรรยากาศ ซึมทราบความเป็นอริในเชิงฟุตบอล รวมทั้งรับรู้เรื่องศักดิ์ศรีที่ต่างฝ่ายต่างยกตัวขึ้นข่มระหว่างสองทีมนี้ได้ดีที่สุด สำหรับนักเตะทั่วๆไปแล้ว นี่ก็คงเป็นเพียงเกมฟุตบอลเกมหนึ่ง แต่สำหรับนักเตะซิตี้พันธุ์แท้ รวมถึงนักเตะอสูรแดงเข้าขั้น นี่ย่อมเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกมหนึ่งในปฏิทินลูกหนังแต่ละปีทีเดียว
การจะดึงสติลูกทีมกลับมาหลังหดหู่มาสี่เกมติดๆ ย่อมต้องอาศัยแพสชั่นและความกระหายที่ข้นคลั่กกว่าปกติมากนัก และการจะเรียกสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นมาได้ ก็ย่อมต้องมีการเคี่ยวบรรยากาศในเกมให้ได้สูงที่สุดตั้งแต่เริ่มต้นเกม ซึ่งตรงนั้นเมื่อเป็นแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ท่านเซอร์ย่อมจิ้มไปที่นักเตะเลือดอสูรพันธุ์แท้ไว้ก่อน แกรี่ เนวิลล์ คือตัวเลือกแรกที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ถัดมาย่อมเป็น พอล สโคลส์ และไรอัน กิ๊กส์ ที่ซึมซับบรรยากาศผ่าเมืองนี้มานานนม ตามด้วยเฟล็ทเชอร์ เติมด้วยเด็กสร้างของสโมสรอย่างเอแวนส์ และกิ๊บสัน กลุ่มนักเตะเหล่านี้ย่อมมีอารมณ์ร่วมในเกมนี้สูงกว่าเกมปกติมากนัก และย่อมทำได้เกินขีดจำกัดของร่างกายเพื่อให้ได้รับชัยชนะกลับออกมานั่นเอง กลุ่มนักเตะเหล่านี้คือพลังที่จะเร่งแพสชั่นของเกมให้สูงทะลุเพดานแต่หัววัน แล้วเมื่อนั้น การเปลี่ยนตัวสดๆใหม่ๆลงมาภายหลังย่อมง่ายที่จะถูกแพสชั่นอันนี้เร่งเร้าตัวเองให้เกิดอารมณ์ร่วมได้ไม่ยาก และสุดท้ายก็จะเร่งตัวเองตามเพื่อนๆไปด้วยนั่นเอง
นี่คือสาเหตุที่เราเห็นเกมเพรสซิ่งของยูไนเต็ดทำผลงานได้ต่อเนื่องตลอดเวลาครึ่งแรก เรียกได้ว่าเกมรุกของซิตี้ตรงกลางสนามหายไปแทบสนิท ส่วนเกมริมเส้นก็ถูกปิดให้เดินได้เฉพาะขนานเส้นข้างเพียงเท่านั้น แต่ไม่สามารถหักพวงมาลัยเข้ามาตรงกลางได้ถนัด ตรงนี้ทำให้แนวรับของทีมเยือนยังตั้งสมาธิกันได้ดี ต่อเนื่องไปถึงการเซ็ตเกมรุกที่เริ่มจากแดนหลัง การมีสโคลส์ทำให้การเปลี่ยนแกนในเกมรุกทำได้เป็นธรรมชาติและรวดเร็วขึ้น ปัญหาคงมีเพียงสองเรื่องเท่านั้นก็คือการที่กิ๊กส์ไม่สามารถเร่งสปีดเกมตัวเองเพื่อหนีการถูกคุกคามจากตัวประกบได้ง่ายนัก เกมรุกจากกิ๊กส์จึงดูเหมือนจะดร็อปลงไปพอสมควร รวมทั้งการที่เจ้าตัวคอยสลับบทบาทกับเฟล็ทเชอร์ซึ่งเน้นการไล่บอลเป็นหลัก ก็ย่อมทำให้สองคนนี้ไม่สามารถเปล่งรัศมีในบทบาทหน้าที่ของตัวเองได้ดีเท่าที่ควร ส่วนกิ๊บซี่นั่นก็ถือซะว่าเรามีตัวเกะกะการเซ็ตเกมรุกจากแดนหลังของซิตี้เพิ่มอีกคนก็แล้วกัน ส่วนอีกปัญหาก็คงเป็นการที่รูนี่ย์เองไม่ฟิตพอจะทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพนั่นแหละครับ
ไม่ทราบว่าผมสังเกตเห็นคนเดียวหรือเปล่า ว่าเกมนี้สโคลส์ได้ยกระดับสปีดเกมของตัวเองขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง การจับบอลแล้วแตะหนีจุดเดิมทันทีเพื่อเลี่ยงการถูกแซะแล้วค่อยเคลื่อนเกมต่อไปนั้น เขาทำได้ดีมากและทันเวลาแทบทุกครั้ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมแทบไม่เห็นจังหวะแบบนี้จากสโคลส์เลยนะ เกมนี้ทั้งเกมผมเห็นสโคลส์ รับบอล-พลิกหนี/แตะหนี-หาที่ว่าง-หาเพื่อน-ระวังหลังตัวเอง-จ่ายบอล เห็นอย่างนี้แทบทั้งเกมจนอดชื่นชมไม่ได้ว่าสโคลส์ปรับตัวได้ดีขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่แตะบอลแล้วมักจะมัวแต่วนหาเพื่อนจนโดนแซะบ่อยๆ ผมขออนุญาตชื่นชมไว้ตรงนี้หน่อยก็แล้วกันนะครับ การเล่นในโหมดนี้ของยูไนเต็ดทำให้สามารถคุมพื้นที่ตรงกลางสนามได้ค่อนข้างดี แต่ก็ยังมีเรื่องสภาพร่างกายของรูนี่ย์ที่ดูยังไงๆก็ยังไม่เต็มร้อย ยังพะวงกับเท้าตัวเองอยู่มาก จังหวะการวิ่ง จังหวะย่างก้าวของรูนี่ย์ยังดูไม่เต็มที่นัก แต่การยืนตำแหน่งและขยับเคลื่อนที่ของรูนี่ย์ก็ยังขู่แนวรับซิตี้ได้มากพอดู
เกมของยูไนเต็ดยิ่งเล่นยิ่งดีโดยเฉพาะตรงกลางสนาม ทำให้ยิ่งกดดันและรุกคืบเข้าไปในแดนของซิตี้ได้มากขึ้น ปัญหาของซิตี้ก็เริ่มเปิดให้เห็นมากขึ้นจากช่องว่างที่มีมากขึ้นระหว่างตัวทำเกมและคู่ศูนย์หน้า เตเวซและอเดบายอร์ต้องลงมาเล่นต่ำมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้อันตรายลดน้อยลง เบลลามี่และจอห์นสันกลับต้องอาศัยพื้นที่ในการโต้กลับเพิ่มมากขึ้น เมื่อถูกบีบให้ลงมาเล่นต่ำกว่าเส้นกลางสนามแทบตลอด แต่นั่นก็มีข้อดีต่อซิตี้ตรงที่ซิตี้สามารถฉวยโอกาสให้ตัวจี๊ดอย่างเบลลามี่ หรือเตเวซ ได้มีพื้นที่ลากบอลควบไปในเกมโต้กลับตั้งแต่กลางสนามชนิดพื้นที่เปิดโล่งหลายครั้ง แต่ด้วยการที่ความคมยังไม่เด็ดขาดพอ และการตัดสินใจในบางจังหวะยังติดๆขัดๆ ทำให้เกมโต้กลับที่ควรได้เผด็จศึกง่ายๆกว่านี้ก็กลับต้องเป็นหมันไปตลอด กลับกัน เกมรุกของทีมเยือนที่เริ่มครองพื้นที่ได้ ก็สามารถกดแนวรับเจ้าบ้านได้มากขึ้น แล้วเมื่อท่านเซอร์เห็นสมควรแก่เวลาก็จัดการส่งนานี่ลงมาเพิ่มความวูบวาบตรงริมเส้นทันที โดยถอดเอากิ๊บสันออกมา เมื่อครบชั่วโมงของเกม
เกมริมเส้นของนานี่ทำให้เกมรุกดูวูบวาบและมีชีวิตชีวามากขึ้น กดดันให้เกมฝั่งขวาของซิตี้แทบจะเป็นอัมพาตไป มันชินี่แก้ทันควันด้วยการถอดจอห์นสันออก แทนที่ด้วยวิเอร่า เพื่อเพิ่มผู้เล่นตรงกลางคอยไล่แผงมิดฟิลด์ผู้มาเยือน แต่เกมก็ไม่ได้เปลี่ยนโฉมไปนัก มันชินี่ต้องแก้อีกครั้งด้วยการถอดอเดบายอร์ออกแล้วแทนด้วย SWP เป็นการปรับโหมดมาเล่น 4-3-3 โดยให้ SWP และเบลลามี่ เป็นตัวรุกริมเส้น ทิ้งเตเวซไว้ข้างหน้าคนเดียว เกมฝั่งขวาของซิตี้จึงดูกระเตื้องขึ้นมาทันตาเห็นแต่ก็มีตัวเลือกข้างหน้าน้อยลงเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งกลับกลายเป็นเกมริมเส้นวูบวาบขึ้นแต่อันตรายในกรอบกลับดูลดน้อยลงไป มิดฟิลด์สามคนยังเป็นตัวที่เน้นรับมากกว่ารุกอยู่นั่นเอง การขับเคลื่อนเกมรุกของซิตี้จึงต้องเน้นอยู่ที่การให้ตัวริมเส้นทำงานต่อไป ซึ่งแนวรับยูไนเต็ดก็ดูจะยังแบกรับได้ดีอยู่ นอกจากเวลาที่โดนโต้กลับแบบด่วนๆที่ยังคงหวาดเสียวอยู่เรื่อยๆ
ดูไปดูมาผมเองก็เริ่มจะท้อใจ และทำใจกับผลการแข่งขันที่ดูแล้วจะเก็บสามแต้มไม่ได้ แถมเมื่อทำเขาไม่ได้ เกมโต้กลับของซิตี้ก็เล่นเอาผมปั่นป่วนทุกครั้ง ยิ่งหลังจากที่รูนี่ย์ถูกถอดออกแทนด้วยเบิร์บที่ทำให้สปีดเกมข้างหน้าตกลงไปบ้างนั้น ยิ่งน่าหวั่นใจ เพราะมันชินี่เห็นดังนั้นก็จัดการถอดเด ยองก์ออกทันทีแล้วส่งตัวรุกอย่างไอร์แลนด์ลงมาเดินเกมรุกตอบโต้ ซึ่งก็ทำให้เกมตรงกลางดูมีสีสันมากขึ้นทั้งสองฝ่าย ซิตี้สามารถเล่นตรงกลางได้บ้าง แต่ก็ถูกยูไนเต็ดตอบโต้เจ็บๆไปไม่น้อย วิเอร่าวันนี้ผมว่าเขาร้างลาเวทีอิงลิชไปนาน ประกอบกับอายุที่มากขึ้น ดูเหมือนเขาจะตามสปีดเกมไม่ค่อยทันเท่าไหร่ ภาระในการตัดเกมจึงกลายเป็นตกลงบนบ่าของแบร์รี่เต็มๆที่ต้องไล่บอลจากสโคลส์, กิ๊กส์, เฟล์ทช์ ช่วงสิบนาทีสุดท้ายดูเหมือนท่านเซอร์จะต้องการปรับมิติเกมทางขวา จึงส่งโอแบร์กตองลงมาแทนวาเลนเซีย ซึ่งผมเองแทบเอาหัวโขกทีวี ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อน้ำยา อบต. นะ แต่ห่วงเกมรับริมเส้นที่วาเลนเซียช่วยเนวิลล์มาตลอดมันจะหายไปมากกว่า
แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรทางขวาเกิดขึ้น เบลลามี่ถูกเนวิลล์ถอดชนวนเรียบร้อยตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง โอแบร์กตองเองถึงแม้ไม่ได้วาดลวดลายให้ซู้ดปากกัน แต่ก็ช่วยต่อเกมได้บ้าง เกมของซิตี้หันมาเปิดเกมรุกบดเอาคืนในช่วงท้ายชนิดแชมป์เก่าเจียนอยู่เจียนไปเหมือนกันจากจังหวะชุลมุนหน้าประตูที่มาจากลูกเตะมุม แต่สุดท้ายช่วยกันเคลียร์ออกมาได้ เกมรุกของทีมเยือนก็เกือบจะเผด็จศึกเจ้าบ้านได้เหมือนกัน ทั้งสองทีมเปิดหน้าแลกกันกลางเวทีในช่วงท้าย แต่เป็นยูไนเต็ดที่ยิ้มออกในนาทีที่ 93 เมื่อโอแบร์กตองไหลบอลออกฝั่งซ้ายให้เอวร่า เอวร่าเล็งหน้าปากประตูแล้วเปิดบอลพุ่งเข้าไป กลายเป็นสโคลส์ครับ ที่แอบสอดเข้ามาระหว่างแผงหลังซิตี้ แล้วขวิดเต็มหัวส่งบอลพุ่งลงโคนเสาสองอย่างสุดสวย สุดปัญญาที่กิฟเว่นจะเซฟได้ เป็นประตูชัยในนาทีสุดท้ายอีกครั้งที่ดับคู่อริร่วมเมืองลงได้สำเร็จ พร้อมคว้าสามแต้มต่อวีซ่าการลุ้นแชมป์ได้ต่อไป
สำหรับรูปเกมที่เกิดขึ้น คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการขยับทำตามแท็คติคของแต่ละฝ่ายที่กุนซือนั้นเน้นลงมาให้ลูกทีม ซึ่งก็ต้องบอกว่าทั้งสองฝ่าย ทำได้ตามแท็คติคที่วางมาเป๊ะๆ โดยไม่มีโบนัสเกิดขึ้นหากไม่นับประตูของสโคลส์ในช่วงทดเจ็บนั้น ท่านเซอร์เน้นเกมเพรสซิ่งเร็วไม่ให้กลางซิตี้ตั้งเกมได้ ซึ่งก็โชคดีที่มันชินี่เองก็ไม่ได้เน้นการเซ็ตเกมจากตรงกลางเมื่อสังเกตคู่กลางของมันชินี่ในเกมนี้ ตรงนี้ถือว่าทั้งคู่ตอบโจทย์ตัวเองได้ ยูไนเต็ดคุมกลางสนามได้ แต่ซิตี้เองเลือกที่จะหนีมาเล่นริมเส้น และยูไนเต็ดรู้ศักยภาพซิตี้ตรงนี้ดี จึงอนุญาตให้เล่นได้แค่ขนานเส้น แต่หักเข้าในไม่ได้ คุมให้เปิดไม่ถนัด และคุมพื้นที่ประกบคู่หน้าซิตี้ไว้ นี่คือแผนรับของท่านเซอร์ ส่วนมันชินี่ เกมรับวางกำลังหลังไว้ที่แผงแบ๊คโฟร์ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว ตลอดทั้งเกมแทบไม่พลาด หากจะพลาดก็คงเป็นที่สไตล์ของตัวริมเส้นของซิตี้เอง ที่ช่วยสอดช่วยซ้อนแบ๊คตัวเองได้ไม่ดีเท่าของยูไนเต็ด ทำให้ตัวริมเส้นของยูไนเต็ดถึงจะถูกคุมไม่ให้ตัดเข้าใน แต่ก็ยังเปิดบอลสวยๆจากกราบได้เรื่อยๆ นี่คือความแตกต่างของเกมรับทั้งสองฝั่ง ซึ่งมิดฟิลด์ตัวรับของทั้งคู่ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ตามเป้าแล้วครับ
ส่วนในเกมรุก ท่านเซอร์ยังเน้นที่เกมริมเส้น เพราะตัวรุกตรงกลางที่ลงมามันไม่ช่วยให้สภาพเป็นต่อได้หรอก ในขณะที่มันชินี่แทบจะทิ้งกลางรุกออกจากเกมนี้ จะส่งไอร์แลนด์ลงมาก็ตอนท้ายแล้ว แถมยังเป็นการแทนที่เด ยองก์ที่ทำหน้าที่ได้โดดเด่นมากๆเสียอีก การคุมพอล สโคลส์พลาดในนาทีสุดท้ายจึงเหมือนเป็นภาระของไอร์แลนด์ทั้งๆที่เขาเป็นตัวรุก ทั้งๆที่ซิตี้เองยังมีวิเอร่า และ แบร์รี่ในสนามด้วยซ้ำไป เรื่องนี้จะว่าไปก็เหมือนเป็นจังหวะมันไม่ดีของฝั่งซิตี้ด้วย ยูไนเต็ดเปิดบอลลูกนั้นผมเองเห็นความแรงและวิถีแล้วก็ยังคิดงว่าจบแล้ว แต่สโคลส์ไม่รู้มาจากไหน จังหวะเซ็ตบอลจังหวะนี้จากตรงกลางเขายังอยู่ที่เส้นกลางสนามอยู่เลย แป๊บเดียวสอดขึ้นมาโหม่งได้แล้ว ตรงนี้จังหวะมันลงล็อคพอดีเป๊ะๆมากกว่าครับ ทั้งคนเปิดคนโหม่ง ต่างทำหน้าที่ของตนได้สมบูรณ์แบบทั้งคู่แล้ว
หลังจากเกมนี้ ผมก็ได้ดูเชลซีดวงแตกตามมาติดๆ จากการถูกสเปอร์สฝังด้วยสกอร์ 2:1 ทำให้แต้มกลับมาได้ลุ้นอีกครั้ง แต่ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่าตอนนี้คงได้ลุ้นเฉยๆนะ เพราะโอกาสทุกอย่างยังอยู่ในมือเชลซีทั้งแต้มต่อ ทั้งลูกได้เสีย ที่เชลซีถือภาษีดีกว่าทั้งสองมุม และเมื่อดูทางข้างหน้า ทั้งสองทีมก็ต้องเผชิญเกมหนักเบาไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ ซึ่งหากจะว่าไป เราก็คงต้องลุ้นหนักหน่อยหากจะให้เชลซีพลาดอีกครั้ง ซึ่งมันจะเป็นอย่างไรก็คงต้องไปลุ้นกันตามสะดวก แต่สำหรับผมเรื่องลุ้นนั้นเรื่องรอง เรื่องหลักคือเราต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน ทำผลงานให้ดีที่สุด ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไรก็ค่อยไปว่ากันอีกทีในภายหลังนะครับ
แล้วมาลุ้นกันครับ
สงบใจ
Create Date : 19 เมษายน 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 19 เมษายน 2553 11:44:17 น. |
Counter : 499 Pageviews. |
|
 |
|
|
| |
|
|