Once Man United, Always Man United
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
5 เมษายน 2553
 
All Blogs
 

20100405 วิพากษ์ MAN UTD vs CHELSEA

อาจไม่มีพรมแดงปูทาง...อุปสรรคขวากหนามมากมายเหลือเกิน


สวัสดีครับ พี่น้องผองเพื่อนชาวอสูรแดงทุกท่าน น้ำใบบัวบกเต็มท้องกันบ้างไหมเอ่ย สำหรับผลฟุตบอลสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กับความพ่ายแพ้ชนิด “คาบ้าน” ให้กับคู่แข่งแย่งแชมป์อย่างเชลซี ที่ผลลัพธ์เมื่อคืนวันเสาร์ได้ทำให้ชาวสิงห์บลูเริงร่าท้าลมแดดกันเต็มๆ ส่วนทางฝั่งสีแดงนั้นเล่า ก็ชอกช้ำระกำทรวงไปตามระเบียบ เอาล่ะครับ ก่อนจะเข้าสู่บทวิพากษ์วันนี้ ผมคงต้องขอออกตัวสองข้อ เนื่องจากต้องการให้เนื้อหากระทู้ยังคงอยู่ในบริบทของฟุตบอล ไม่แตกหน่อออกไปทางทฤษฎีสบคบคิดต่างๆ หรือแม้แต่เรื่องวิจารณญาณของผู้ตัดสิน ไมค์ ดีน

1. สืบเนื่องจากปลายซีซั่นที่แล้ว สถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้ได้เกิดขึ้น เมื่อผู้ตัดสินทำหน้าที่ผิดพลาด ส่งผลให้ยูไนเต็ดต้องพ่ายแพ้ลิเวอร์พูลไป ทิ้งโอกาสที่จะโกยแต้มหนีลิเวอร์พูลเข้าป้ายง่ายๆไปเสีย ผลจากเกมนั้น มีแฟนๆหลายท่านเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องที่ว่าเป็นแผนการตลาดของ FA ที่อยากให้การลุ้นแชมป์นั้น มันหยดติ๋งๆจนนัดสุดท้าย ทำให้กดดันผู้ตัดสินให้ตัดสินเองเอียงไปทางลิเวอร์พูล ซึ่งผมคงต้องเบรคไว้ตรงนี้ก่อนว่า กรุณาพูดเรื่องนี้ในกระทู้อื่นนะครับ ที่นี่ต้องการเพียงบริบทของฟุตบอล และขอแนะนำว่า มุมมองดังกล่าว จะลดทอนความสนุกสนานในการรับชมของท่านแน่ๆ หากต้องมาเจือด้วยเรื่องอื่นที่นอกเหนือไปจากเกมของฟุตบอล
2. จากความผิดพลาดของไมค์ ดีน ที่เกิดขึ้นหลายๆครั้งในเกมนี้ ผมคงต้องขอให้ทุกๆท่านพูดถึงแง่นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเกมที่เกิดขึ้นได้กับทุกทีม อย่าไปคิดว่าทำให้เราพ่ายแพ้ ทำให้เชลซีคว้าแชมป์ เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานมากแล้ว และก็คงจะยังมีอยู่ต่อไป ผลการตัดสินก็มีทั้งที่อยู่ฝั่งเรา และอยู่ฝั่งตรงข้าม มันก็แค่ว่านัดนี้จะเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง หากจะเอาผลการทำหน้าที่นัดนี้เป็นบรรทัดฐานให้งอแงกัน ก็คงไม่ยุติธรรมต่อทีมอื่นๆนักในเกมที่ผู้ตัดสินทำหน้าที่เอียงมาทางเรา หรือหากจะต้องการให้มันเที่ยงตรงยุติธรรมที่สุด คงต้องไปดูอเมริกันฟุตบอลไปพลางๆก่อน เพราะว่า ณ นาทีนี้ เกมฟุตบอลมันก็ยังอิงกติกาสากลเช่นนี้อยู่ดีครับ ยังไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงมันได้ ทางที่ดี ผมขออนุญาตแนะนำให้ท่านๆเหล่านี้ Deal With It และ ยอมรับมันให้ได้ครับ
ด้วยความเคารพครับ และขอเริ่มเนื้อหาบทความกันต่อได้เลย




การจัดทัพนัดนี้ ให้หวั่นใจผมเสียเหลือเกิน เนื่องจากผลการแข่งขันที่บิดๆเบี้ยวๆมาตลอด เวลามีเกมยุโรปมาคั่นเนี่ย ซึ่งมันไม่ต่างกันทั้งเชลซีทั้งเรา เพียงแต่เมื่อเชลซีชิงตกรอบไปก่อน ก็เท่ากับพวกเขาได้พักมาเต็มๆสัปดาห์ ยิ่งดร็อกบานี่เกือบสองสัปดาห์ด้วยซ้ำไป ตรงนี้ผมค่อนข้างห่วงครับ เพราะภาพน้องหงส์โดนเรากดในเกมก่อนหลังจากเพิ่งกรำศึกหนักมา มันยังติดตาผมอยู่เลย

เกมนี้ท่านเซอร์ไม่มีรูนี่ย์ที่ต้องหยุดพักจากอาการบาดเจ็บเอ็นข้อเท้า อีกทั้งยังมีเกมแก้มือเสือใต้รออยู่กลางสัปดาห์อีกนัด ทำให้ต้องระแวดระวังกันพอสมควร ท่านเซอร์เลือกชุดใหญ่ที่เน้นความเก๋าในเกมนี้ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ยืนเฝ้าเสา แนวรับสี่คนมี แกรี่ เนวิลล์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช และปาทริซ เอวร่า วันนี้ท่านเซอร์จัดทัพมาในระบบ 4-5-1 เช่นเคย โดยมีมิดฟิลด์ตรงกลางสามตัว ให้สองตัวที่ยืนห้อยด้านหลังเป็น พอล สโคลส์ และ ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ มีปาร์ค ชี ซอง ยืนสูงขึ้นมาคอยไล่บอลเป็นด่านหน้าและเชื่อมเกมรับ-รุก มิดฟิลด์ตัวรับริมเส้น//หยอกเย้า ข้างซ้ายเป็น ไรอัน กิ๊กส์ ข้างขวาเป็นอันโตนิโอ วาเลนเซีย ส่วนหน้าเป้าได้แก่ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ

ทางฝั่งผู้มาเยือนที่ได้พักมาเต็มๆ ยังคงดร็อปดิดิเยร์ ดร็อกบาไว้ข้างสนามเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง โดยคาร์โล อันเชล็อตติวางหมาก 4-3-3 มาสู้กับแชมป์เก่า มีปีเตอร์ เช็ค เฝ้าเสา แผงหลังสี่คนมีเปาโล แฟร์ไรร่า, อเล็กซ์, จอห์น เทอร์รี่ และ ยูริ ชีร์คอฟ แผงมิดฟิลด์ตรงกลางสามคนเลือกใช้งาน เดโก้, จอห์น โอบี มิเกล และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ส่วนหน้าสามคนวางนิโกล่าส์ อาเนลก้าตรงกลาง ขนาบด้วยโจ โคล ทางขวา และ ฟลอร็องต์ มาลูด้าทางซ้าย น่าสังเกตว่า การเลือกใช้งานเดโก้แทนที่มิชาเอล บัลลัค ในช่วงหลังๆเริ่มถี่ขึ้น ตรงนี้อาจจะเป็นเพราะการตอบสนองต่อแท็คติคของอันเชล็อตตินั้น เดโก้ทำได้ดีกว่า โดยเฉพาะการครองบอลและความยืดหยุ่น รวมทั้งความเยือกเย็นในการออกบอลแต่ละจังหวะ ซึ่งบัลลัคในช่วงหลังๆดูจะฟอร์มหล่นๆไปสักหน่อย

เริ่มเกมก็เป็นไปอย่างที่ผมคิด ทั้งๆที่ไม่อยากให้เป็นเล้ยยยยย นั่นคือ ท่านเซอร์วางแผนการเล่นมาเน้นรัดกุมเต็มที่อีกครั้ง ต่อเนื่องจากเกมเยือนเสือใต้กันเลย ทั้งๆที่เชลซีของคาร์เล็ตโต้เองก็ไม่ได้เน้นเกมบุกเต็มสูบแต่อย่างใด ทำให้รูปเกมในครึ่งแรกออกมาเนือยๆแฝงไปด้วยความอึดอัด คันไม้คันมือ อยากลงไปเตะแทนเป็นยิ่งนัก เกมของทั้งคู่ไม่ได้สร้างความกดดันอะไรให้เกิดแก่นายทวารของอีกฝ่ายเลย เกมรุกของเชลซีทีมเยือนที่เน้นการครองบอลและถ่ายบอลกินพื้นที่เต็มสนามนั้น ทำได้ดีกว่าเกมเพรสซิ่งของเจ้าบ้านเยอะ ยิ่งเกมนี้ป๋าช่วงช่วงมิได้เน้นสปีดเกมมากมายนัก ทำให้ความเร็วในการเล่นกับบอลของฝั่งเจ้าบ้านดูลดน้อยถอยลงไปกว่าเกมอื่นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการทำการบ้านของคาร์เล็ตโต้เกมนี้ก็ทำได้ดีมากๆเสียด้วย โดยเฉพาะในครึ่งแรกนี้

คาร์เล็ตโต้วางสามประสาน-มาลูด้า-อาเนลก้า-โจ โคล มาเป็นแนวรุกข้างหน้า ซึ่งทีเด็ดของทั้งสามคนนี้ก็คือทักษะดี มีการครอบครองบอลเหนียวแน่น และพล่านไปได้ทั่วพื้นที่ของคู่ต่อสู้ โดยเฉพาะเซนส์บอลของอาเนลก้าและโจ โคล บวกกับการเคลื่อนที่ของทั้งคู่นั้นได้สร้างปัญหาให้แนวรับของเรามากมายเหลือเกิน ความพลิ้วและคล่องในยามที่ต้องเรียกว่า “พีคสุดๆ” ของมาลูด้ายิ่สร้างปัญหาส่วนตัวให้กับแกรี่ เนวิลล์ จนเดือดร้อนวาเลนเซียต้องลงมาช่วยแทบตลอด เกมแพลนของอันเช่ไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแต่ให้ลูกทีมหนีสมรภูมิการบดตรงกลางของเจ้าบ้านออกมาด้วยการออกบอลเร็ว ครองบอลกับตัวให้น้อยที่สุด และเน้นการเคลื่อนที่ของผู้เล่นในแดนกลางและหน้าทั้งที่มีบอลและไม่มี และทั้งที่อยู่ในแนวการส่งบอลหรือไม่อยู่ก็ตาม

ผมบอกไปก่อนหน้านี้นานมากแล้วว่า การปรับมาเล่น 4-3-3 หรือ 4-5-1 ของเรานั้น มันจะใช้ได้เฉพาะยามเจอกับทีมที่ผู้เล่นเคลื่อนที่น้อยกว่า สดน้อยกว่า หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็คือ เมื่อเจอทีมที่ไม่สามารถทนแรงเสียดสีจากการเพรสซิ่งและใช้เกมเร็ว+หนักของเราได้ มิลานและลิเวอร์พูลคือตัวอย่างของทีมที่ขาดความสด ส่วนบาเยิร์นนั้นก็เป็นตัวแทนผู้ชนะของทีมที่ใช้ระบบขับเคลื่อนทีมและมีพละกำลังกับความสามารถส่วนตัวสูงกว่า ส่วนเชลซีนั้นเล่า เกมนี้เป็นเกมที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสดที่มีมากกว่า ทั้งๆที่เคยถูกป๋าปรามาสไว้ว่าเป็นทีมคนแก่ แต่ด้วยการที่ไม่มีเกมกลางสัปดาห์มาคั่น ประกอบกับทีมที่ป๋าส่งมาสู้ ก็ “แก่” ไม่แพ้กันแถมดีไม่ดีจะแก่กว่าด้วยซ้ำ ด้วยน้าซาร์งี้, แกรี่งี้, สโคลส์งี้, กิ๊กส์งี้ ไม่รู้ใครแก่กว่าใครแล้วล่ะทีนี้

เมื่อเราส่งทีมมาสู้ตรงกลาง โดยเน้นการเพรสซิ่งจากเฟล็ทช์, ปาร์ค และสโคลส์ แต่มาเจอกับเชลซีที่หนีมาเล่นแบบทั่วทั้งสนาม ถ่ายบอล ต่อบอลรวดเร็ว เราวิ่งไปดักทางจ่าย ก็หนีด้วยการควบบอลขึ้นไปเองเลย เกมเป็นแบบนี้จึงทำให้เราหาบอลกันไม่ค่อยเจอในครึ่งแรก และลูกที่เชลซีได้ขึ้นนำก็มาจากเกมลักษณะนี้นั่นเอง เมื่อมาลูด้าเก็บบอลขลุกขลิกได้ทางกราบซ้าย (ขวาของเนวิลล์) เนวิลล์ขยับปิดทางวิ่ง ทำให้มาลูด้าเลือกพาบอลหุบเข้าในซึ่งมีเฟล็ทเชอร์ตามคุมเป็นเงา ส่วนแกรี่ก็ไม่ได้เข้าซ้อนช่วยเนื่องจากมีตัวสอดเติมมาทางริมเส้นเพิ่มอีก แกรี่จึงต้องพะวงตัวเติมด้วยจึงเลือกที่จะขยับไปปิดพื้นที่ทางริมเส้น ส่วนมาลูด้าเมื่อจ่ายออกให้ตัวเติมไม่ได้ ก็ควบบอลพาทะลุเข้ากรอบโดยมีเฟล็ทเชอร์ตามเบียดติดๆ จังหวะนี้หากจะโทษ คงเป็นริโอ ที่ตามซ้อนไม่สุด จังหวะที่เฟล็ทช์เบียดตามมาลูด้านั้น ริโอซ้อนตามอยู่ข้างในแต่ดันหยุดวิ่งไปเฉยๆ ทำให้จังหวะสุดท้ายที่เฟล็ทช์เบียดมาลูด้าไม่ลงนั้น พอมาลูด้าเปิดเข้าได้ ริโอจึงไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะสกัดได้

บอลที่ทะลักเข้ามาเหมือนไม่ได้มีอันตราย เมื่อเอวร่าพรวดเข้ามาบังไลน์โจ โคลข้างหน้าได้ แถมบอลยังย้อนหลัง แต่โจ โคล ก็คือ โจ โคล เขาไขว้บอลเปลี่ยนทางเข้าหน้าต่างเสาสองไปชนิดงงกันทั้งคนพากย์คนดูล่ะครับ ประตูนี้ทำให้ผมเห็นอนาคตลางๆเลยว่า ไม่แคล้วเกมนี้คงกินแห้วอีกแระ แถมโชคยังไม่เข้าข้างอีกเมื่อไมค์ ดีน ดันมาทำหน้าที่ในเกมนี้ด้วยปรัชญา “ปล่อยไหล ไม่เป่าฟาล์ว” ทำให้จังหวะที่ควรเป็นจุดโทษทั้งฝั่งเจ้าบ้านและทีมเยือนต้องเป็นหมันไป เกมนี้ถึงแม้หลายคนอาจจะมองว่าการปล่อยเกมของไมค์ ดีนทำให้ความเป็นจริงของเกมมันเพี้ยนไป แต่ผมมองอีกอย่างครับว่า ผู้ตัดสินสามารถเลือกที่จะเคร่ง หรือปล่อยเกมได้ ตราบใดที่มาตรฐานของการทำหน้าที่ยังคงเท่าเทียมกัน ซึ่งเราก็เห็นว่า ปาร์คไม่ได้จุดโทษทั้งๆที่ถูกเตะตัดขา ขณะเดียวกัน อาเนลก้าก็ไม่ได้จุดโทษเช่นกัน จากการถูกเนวิลล์พุ่งเข้าแท็คจากเกือบๆจะเป็นด้านหลัง สิ่งที่น่าคิดมากกว่าเรื่องของผู้ตัดสินก็คือ หากวันนี้เชลซีมาใส่เราเต็มที่ตั้งแต่ครึ่งแรก ไม่ได้เล่นรัดกุมแบบนี้ ฝ่ายเราที่ครึ่งแรกเร่งไม่ขึ้น หาบอลไม่เจอจะเป็นอย่างไรกันแน่

เกมในครึ่งแรก ถึงเชลซีจะไม่ได้บดเต็มที่ แต่การครอบครองบอลของพวกเขาก็ทำเอาทีมเราไปกันไม่เป็น การบงการเกมตรงกลางสนามของเดโก้ สัญชาตญาณ และทิศทางในการอ่านเกมของเขา ผนวกกับการเคลื่อนที่ของแลมพาร์ด, โจ โคล, มาลูด้า และอาเนลก้า ในแนวรุก ที่เคลื่อนที่ได้เป็นธรรมชาติมากกว่าเรา ยิ่งทำให้ทางเลือกในการจ่ายบอลของเชลซีมีมาให้เลือกมากมาย หรือถึงแม้ไม่ได้จ่ายบอล แต่การพาบอลไปกับตัวทั้งของเดโก้, แลมพาร์ด, โจ โคล, มาลูด้า และอาเนลก้า พวกนี้เหนือกว่าเราทั้งนั้น งานในครึ่งแรกของเราจึงดูแล้วลุ้นไม่ขึ้นเอาซะเลย ยิ่งมีมิเกลยืนปักหลักอยู่ตรงกลาง ดันเทอร์รี่ และอเล็กซ์ขึ้นมาคุมเบิร์บถึงกลางสนาม ในขณะที่ตัวเติมตัวอื่นของเรายังสาละวนกับการไล่บอล พอตัดได้จะสวนขึ้นหน้า เบิร์บก็ถูกเทอร์รี่กับอเล็กซ์รุม จบข่าว...

ครึ่งหลัง สปีดของเกมฝั่งเจ้าบ้านดีขึ้นมาสเต็ปครึ่ง ทั้งการเข้าหาบอล บดบี้เพรสซิ่ง และการเปิดป้อน มองดูแล้วไม่ใช่เพราะครึ่งแรกเก็บแรงไว้หรอกครับ แต่ผมว่านี่มันคือก๊อกสองที่ถูกไขออกมาหลังจากถูก สเปเชี่ยล แฮร์ไดรเออร์ ช่วงช่วง เวอร์ชั่น 2.1 ไปตอนพักครึ่งนั่นเอง ทำให้ครึ่งหลังกลับมาทำผลงานได้ดีขึ้นเยอะ อีกทั้งการที่เชลซีได้ประตูขึ้นนำไปแล้ว ทำให้อันเชล็อตติเลือกที่จะผ่อนเกมลง ไม่แลกความรุนแรงด้วยความรุนแรง นักเตะเชลซีเองก็มีที่ทั้งกรอบและเจ็บเยอะเหมือนกัน หากเลือกที่จะประคองเพื่อเกมข้างหน้าได้ อันเชล็อตติก็น่าจะเลือกที่จะทำ ซึ่งครึ่งหลังเราเห็นชัดว่า เราดันเกมสูงขึ้น เพรสซิ่งเร็วขึ้น และพยายามออกบอลเร็วลุยเข้าใส่ตลอดเวลา ทำให้กดดันเชลซีได้น้ำได้เนื้อมากขึ้น การขึ้นเกมที่เห็นได้ชัดว่าทำงานได้ผลก็คือการวางบอลของสโคลส์นั่นเองครับ ที่เปลี่ยนแกน ปรับแนวการเล่นได้เร็วมากๆ ทำให้แนวรับของเชลซีรวนได้เหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็ยังมุ่งสมาธิจัดการได้หมดจด

เบอร์บาตอฟนั้นในสายตาผมคือความผิดพลาดสำหรับเกมแพลนลักษณะนี้ (แต่ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้) นักเตะอย่างเบิร์บไม่เหมาะกับแท็คติคการเล่นหน้าเป้าตัวเดียวที่ขาดการสนับสนุนจากริมเส้นหรือกลางรุก พูดง่ายๆว่าเกมลักษณะนี้เบิร์บจะถูกลอยแพนั่นแหละครับ ไม่ใช่ว่าเขาเล่นไม่ดี หรือไม่เก่ง แต่เขาเหมาะกับบทบาทที่มีตัวเสริม มีตัวสอด มีตัวช่วย เขาจึงจะเปล่งรัศมีได้มากกว่านี้ ดูง่ายๆคือการเล่นกับร็อบบี้ คีน หรือเดโฟนั่นไง ตัวที่คอยวิ่งพล่านดึงคู่แข่งมีอยู่แล้วทั้งเดโฟ หรือคีน เบิร์บจึงไม่ต้องวิ่งมากนัก กองหลังคู่ต่อส็ก็พร้อมจะถูกคีนหรือเดโฟป่วนจนเปิดช่องว่างให้เบิร์บง่ายๆ แต่กับการเป็นหน้าเป้าตัวเดียวแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เบิร์บเป็น และเราคงตำหนิอะไรเขามากไม่ได้ เหมือนกับเราเอาไมเคิล โอเว่นมายืนแล้วหันมาเล่นบอมบ์ให้โอเว่นคอยโหม่ง เมื่อเขาโหม่งไม่ได้ จะไปตำหนิเขาก็กระไรอยู่ ใช่ไหม

เชลซีเมื่อถูกกดมากๆเข้า ถึงแม้จะยังไม่เสีย แต่อันเชล็อตติก็ไม่วางใจ จึงถอดอาเนลก้าออกแล้วส่งดร็อกบาลงมาค้ำแทนเพื่อเก็บบอลข้างหน้า ซึ่งตรงนี้ดร็อกบาทำได้ดีกว่านิโก้ แล้วก็เอากาลูลงมาแทนโจ โคลเพื่อเน้นความเร็วในการตะลุยขึ้นหน้าในเกมสวนกลับ เจ้าบ้านขยับตาม ถอดปาร์คและสโคลส์ออก แทนที่ด้วยนานี่และมาเคด้า ปรับมาเล่น 4-4-2 ซึ่งเหมือนจะดีขึ้น แต่การที่ขาดตัววางบอลอย่างสโคลส์ และเหลือผู้เล่นมิดฟิลด์เพียงแค่กิ๊กส์กับเฟล็ทเชอร์ มันยิ่งทำให้เกมของเราต้องหัมาพึ่งความฉาบฉวยมากขึ้น ในขณะที่ตัวที่คอยสกรีนเกมรุกของเชลซีก็หายไปถึงสองคน คือปาร์คและสโคลส์ และไม่ทันไรก็เกิดเรื่องจนได้ กาลูครองบอลหน้ากรอบโทษ กำลังจะจ่ายให้ดร็อกบาที่วิ่งขึ้นไปข้างหน้า แผงหลังเจ้าบ้านขยับเช็คไลน์ทันที ดร็อกบาหลุดไปรับบอลในตำแหน่งล้ำหน้าแต่ไลน์แมนดันไม่ยกธง ทำให้ได้ซัดสวนตัวน้าซาร์เข้าไปเป็น 0:2 เมื่อเหลืออีกสิบนาทีจะหมดเวลา

แต่แค่สองนาที มาเคด้าก็แผลงฤทธิ์จนได้ จากลูกที่นานี่สลัดแฟร์ไรร่าเข้าไปเปิดจากสุดเส้นหลังฝั่งซ้าย บอลพุ่งเรียดเข้าหน้าปากประตู เช็คพุ่งออกมาปัดบอล แต่บอลกระเด็นไปถูกหน้าอก และเหมือนจะถูกท่อนแขนของมาเคด้าต่อเนื่อง บอลกระดอนกลับเข้าไปในตาข่ายประตู ทำเอาแพสชั่นเจ้าบ้านเหวี่ยงกลับมาเต็มๆพร้อมโมเมนตัมของเกม พายุเกมบุกของเจ้าบ้านโหมกระหน่ำต่อเนื่องอีกครั้ง แต่เชลซียังปัดป้องไว้ได้ ส่วนหนึ่งผมมองว่าเป็นเพราะการที่สโคลส์ออกไปแล้ว ทำให้การเปลี่ยนแกนยาวๆอย่างแม่นยำทำไม่ได้เหมือนเคย การต่อบอลเป็นทอดๆเคลื่อนที่เข้าทำเกมรุกไม่ได้ทำให้เกมรับของเชลซีปั่นป่วนได้เหมือนกับการวางข้ามไปมาของสโคลส์ที่ตัดหลังแบ๊คได้ตลอด การเปิดจากด้านข้างก็ถูกปิดกั้นจากหอคอยคู่อย่าอเล็กซ์และเทอร์รี่ชนิดไม่เปิดโอกาสให้มาเคด้ากับเบิร์บทำงานได้สะดวก ยิ่งการขาดหายไปของการทะลุทะลวงจากตรงกลางอย่างปาร์คแล้ว ยิ่งยากครับ ที่จะเจาะเข้าไป

ท้ายเกม บัลลัคลงมาแทนเดโก้ และถัดมาก่อนหมดเวลาปกติ กิ๊บสันก็ลงมาแทนเฟล็ทช์เพื่อหวังผลจากปืนยาว แต่ให้ตายเถอะ ไม่เห็นได้ตั้งป้อมถนัดถนี่เลยแฮะ สุดท้ายเจ้าบ้านพลิกเกมเปลี่ยนผลการแข่งขันไม่สำเร็จ ต้องพ่ายไปด้วยสกอร์ 1:2 ส่งให้เชลซีทะยานแซงขึ้นจ่าฝูงได้สำเร็จ ตามมาติดๆด้วยการที่อาร์เซน่อลสามารถบดเสียจนมาได้ประตูชัยในช่วงทดเวลานาทีสุดท้าย จากลูกโหม่งของนิคลาส เบนดท์เนอร์ ทำให้เฉือนวูล์ฟแฮมป์ตันไปได้อย่างสุดเหลือเชื่อ ตอนนี้ สามทีมนำพรีเมียร์ลีกสถานการณ์สามารถพลิกผันได้ทุกสัปดาห์อีกครั้ง แข่งเท่ากันที่ 33 นัด เชลซีมี 74 คะแนน ยูไนเต็ดตามมาที่ 72 คะแนน และมีอาร์เซน่อลไล่หลังหายใจรดต้อนคอที่ 71 คะแนน ตอนนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดนอกจากว่าเชลซีได้กุมชะตาชีวิตของตัวเองและผู้ตามอีกสองทีมแล้วนั้น ก็คือฟอร์มการเล่นของทีมอันดับสองและสามนั่นเองครับ ที่ออกอาการหนืดๆ เนือยๆจากการกรำศึกหนักสองนัดทุกๆสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง แถมยังมีตัวหลักทยอยปิดเทอมสั้นบ้างยาวบ้างอยู่เรื่อยๆด้วย

ตรงกันข้าม เชลซีที่สลัดความผิดหวังจากการตกรอบบอลยุโรปได้แล้ว ก็สามารถเค้นทุกสิ่งทุกอย่างออกมาเพื่อเพิ่มโอกาสในการคว้าถ้วยแชมป์ลีกให้ได้เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีของตัวเอง ฟอร์มของเชลซีตอนนี้ที่รู้จักผ่อนรู้จักเร่ง รู้จักยืดหยุ่นเกม และไม่มีเกมยุโรปกลางสัปดาห์มาคั่นให้พะวงนั้น ยิ่งทำให้พวกเขาถือไพ่เหนือกว่าอีกสองทีมมากนัก อย่างน้อย ทั้งอาร์เซน่อลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้น ก็ต้องมาลุ้นกันอีกครั้งว่า หลังเกมยุโรปวันอังคารวันพุธนี้ จะมีใครต้องล้มหมอนนอนเสื่ออีกหรือไม่ เพราะสถานการณ์ของทั้งคู่นั้น หากต้องการเข้ารอบต่อไป ก็คงต้องทุ่มสุดกำลัง ใส่กันเต็มแม็กสุดๆกันทั้งคู่ ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาแน่ๆ อย่างน้อยก็ความเหนื่อยล้า และความฟิตที่ลดน้อยถอยลงไป แต่จะมากกว่านั้นจนถึงกับจะมีบาดเจ็บหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยแรงสวดมนตร์กันแล้วครับ

กลับมาถึงเรื่องราวข้างหน้ากันบ้าง การไม่มีเวย์น รูนี่ย์ ย่อมเป็นที่ชัดแจ้งต่อสายตาแล้วว่า เราทำงานได้ยากเย็นแค่ไหน โดยเฉพาะในเกมหนักๆยากๆเช่นเกมนี้เป็นต้น เบอร์บาตอฟเองไม่ใช่ไม่เก่ง แต่ทักษะความสามารถในการครอบครองบอล และเซนส์บอลที่ดีเลิศของเขา มันคนละส่วนคนละประโยชน์กับความแข็งแกร่งที่รูนี่ย์ใช้ทะลวงและเบียดสู้แนวรับของคู่ต่อสู้ แต่ข่าวดีที่ได้ลุ้นก็ยังพอมี เมื่อมีกระแสร่ำลือว่ารูนี่ย์จะถูกทดสอบความฟิตในคืนวันพุธ เพื่อดูว่า พร้อมสู้กับบาเยิร์นเลยหรือไม่ ถึงตรงนั้นเราก็มาสวดมนตร์ภาวนากันนะ


แล้วมาลุ้นกันครับ

สงบใจ




 

Create Date : 05 เมษายน 2553
0 comments
Last Update : 5 เมษายน 2553 10:28:29 น.
Counter : 486 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สงบใจ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สงบใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.