No. 688 บล๊อกประจำ ศุกร์ - อาทิตย์ |
|
|
บล๊อกก่อน ได้เล่าตอนเป็นเด็กหนุ่มแตก พาน วิ่งหนี เต่า 555 อะ เป็นแบบไหน |
ต้องคลิ๊กกลับเข้าไปอ่านบล๊อกก่อนหน้านี้
เชียงใหม่ หลายสิบปีก่อน เขียวสดใส ปัจจุบัน ริมดอยรอบนอก ของเชียงใหม่หรือ ใกล้เคียงกันยังคงสภาพป่าอยู่ อยากรู้ ถ้า
ติดตามอ่านจะรู้ว่า ยังมีอยู่เยอะ
|
|
คืนเดือนเพ็ญ พวกเราหลายคน ต่างเดินจากจุดนัดพบ แจ่งหัวริน ไปกับหนุ่มสาวอื่น ๆ |
เดินส่องไฟฉายขึ้นดอย น่าจะ 10 กม.กว่าได้มังครับ เดา ๆ เอา |
ไต่ดอยเส้นตรงผ่านป่า ไม่ขึ้นตามถนน |
ปีนป่าย ดึงกิ่งไม้เหนี่ยวพาตัวขึ้น หยุดพักเหนื่อยหอบ มองลงไปข้างล่างที่เราไต่ขึ้นมา |
เสียงพูดคุย กับแสงไฟวับแวมเป็น ทางยาวกว่า สองร้อยเมตร |
|
อากาศหนาวเย็น แต่เมื่อเดินขึ้นทางลัด ก็อบอุ่น และก็อุ่นเกิน 555 เหงื่อซึมเหมือนกัน |
เพราะใช้พลังงานกันเยอะ แหงนมองไปข้างบน มีคนเดินไต่ดอย แสงไฟฉาย |
วับแวม ระยะทางที่ตัดตรงน่าจะกว่า 8 กม. สนุก
|
และแล้วเราก็พบถนน ที่สูงชันหักศอก โค้งขุนกัน หรือโค้งสปิริต ดอยช่วงนั้น ชันมากเกินกว่าจะปีนป่าย
|
เลยเดินบนถนนที่แทน แต่ก็เริ่มหมดแรงเมื่อถึง บันใดขึ้นวัดที่ยาวเหยียด มืดมองไม่เห็นอะไร |
ต้นไม้ใหญ่ ปกคลุม หยุดพัก กึ่งนั่งกึ่งเอนหลังพิง บันใด ขึ้นวัด
นั่งพิงหลังเรียกพลังได้แล้วก็เดิน ตอนนั้นยังมืดมองไม่ค่อยเห็น แล้วก็ แหะ ๆ ไม่มีเงินซื้อกล้องหรอกใช้ภาพใหม่ ๆ นี้แทน
|
ขึ้นบันใดหลายร้อยขั้น ก็ถีงตัววัด ทีนี้นอนหงาย แผ่สองสลึงกันกันต่อ หนุ่มก็หนุ่มไม่ไหวเหมือนกัน
|
ฟ้าเริ่มสว่าง ดวงจันทร์กลมโตคงลอยค้างฟ้า สวยมาก
|
|
นอนหลับบนศาลาด้านขวามือ ไปพักใหญ่ ก็หาห้องน้ำ ล้างหน้าแคะขี้ตา แหะ ๆ |
ใช้ผ้าขาวม้าเช็ดหน้าจนแห้ง เก็บไว้แต่ไม่เคียนเอวนะครับ อายเขา... สาว ๆ เยอะ พับใส่ย่าม |
พื้นเมืองสีแดงเข้ม มีพู่ห้อยสองข้าง โก้ซะจริง หุ หุ
ถ้าเป็นตอนนี้ คงจะต้องไปร้านคุณก๋า หากระเป๋าหนังสวย ๆ ใช้มั่งแหละ 555 |
|
ขึ้นไปบนฐานพระเจดีย์ดอยสุเทพ เห็นรูปปั้นฤาษีสุเทพด้วย แล้วก็ทรุดตัวกราบเจดีย์ |
แล้วเดินตรงทางเดินรอบองค์เจดีย์ ที่มีหลังคา ได้กลิ่นหอมของธูปเทียน |
รู้สึกดีมาก ๆ ที่ได้ขึ้นมา |
พวกเราพากันลงมา รอบ ๆ ฐานเจดีย์ เห็นต้นไม้ใหญ่ ต้นสน ต้นพลวงสูงชะลูด |
มีเนินดิน กับระเบียงไม้ มองลงไปเห็นตัวเมืองอยู่ไกล
|
มุมซ้ายมือ เห็นยอดต้นไม้ เรี่ย ๆ กับลาน กิ่งก่าบิน ทิ้งตัว แผ่พังผืดข้างตัวร่อนจากต้นไม้ใหญ่ |
ไปเกาะต้นไม้อีกต้นไกลกว่า 15 เมตร.. มีไม่มากแต่ก็ได้เห็น |
|
อยู่บนวัดพระธาตุดอยสุเทพชั่วโมงกว่า เริ่มหิวข้าว พากันเดินลงสู่แอ่งดอย ข้างล่าง ที่นั่นมีต้นไม้ใหญ่ ต้นกล้วย |
มีเพิง ขายอาหารพื้นเมืองประมาณ 6 ร้านไม่มากมายเหมือนปัจจุบัน
|
แม่ค้าบอกว่า รอหน่อยเน่อ..ข้าวยังไม่สุก ว่าแล้วก็เปิดหม้อนึ่งไอร้อนพวยพุ่ง ใช้ไม้พายคุ้ย |
ด้วยความที่นึ่งข้าวที่บ้านประจำ รู้เลยว่า อีกนาน
|
เลยพากันเดินไป ด้านหลังมีทางเดินเล็ก ๆ ลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่มาก ๆ อากาศหนาวเย็น |
มีลำห้วยเล็กไหลลงไปข้างล่าง แหงนมองข้างบน ต้นดอกเอื้องอยู่คาคบ |
มีเคราฤกษีห้อยตามกิ่ง แสดงให้เห็นว่า เป็นป่าสมบูรณ์จริง ๆ |
|
เรากลับมาทีเพิงขายของ คนยังมุงอยู่ พอมีช่องว่างเลยซื้อข้าวเหนียว
|
คนละห่อ ใส้อั่วคนละท่อน บางคนก็ซื้อจิ้นปิ้ง(หมูสามชั้นเคล้าเกลือปิ้ง) คล้ายกับข้างล่าง
|
ไปนั่งกินริมลำห้วยใกล้ ๆ จิ้มกับน้ำพริกหนุ่ม ที่ห่อมาจากบ้าน หุ หุ |
คนเบี้ยน้อยหอยน้อยงี้แหละ
|
กินเสร็จล้างมือใน ลำห้วยใกล้ ๆ น้ำเย็นเจี๊ยบ เราอยู่แถวนั้นนานหน่อย คืออยากเห็น ต้นไม้ใหญ่ ต้นชมภู่ป่า แล้วก็ได้เห็น
บนคาคบต้นไม้สูง มีต้นดอกเอื้อง เกาะอยู่ประปราย ความที่อากาศหนาวเย็นตลอดปี เลยมีมอสติดกับก้อนหิน ลักษณะป่าจะ
ชุ่มฉ่ำแบบข้างล่างนี้
|
พวกเราอยู่ที่นั่น เกือบเที่ยง ก็พากันเดินลงเส้นทางเดิม เจอนักท่องเที่ยว หนุ่มสาว เดินสวนทาง ดูสดใส
หนุ่มสาวต่างนิยมเดินขึ้นดอย เป็นประเพณีนิยมมานานหลายสิบปี และต่อมานักศึกษา ม.ช.ก็ต่าง พากันเดินขึ้นดอย
เป็นการต้อนรับน้องใหม่ แต่ พวกเขาเดินขึ้น บนถนน น่าจะเริ่มกิจกรรมปี พศ. 2507 เรื่องนี้ต้องให้ คุณตุ๊กตุ๊กโคราชมาเล่า
|
การเดินขึ้นดอยสุเทพ ขณะที่สภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ น่าหวงแหน ปัจจุบัน หน่วยราชการรักษา เทือกเขาสุเทพดี
ต้นไม้ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เป็นส่วนมาก แต่ต้นไม้เล็ก กล้วยไม้ เฟิร์น มอสอาจจะหายไป ตามสภาพอากาศที่ ลดความหนาวเย็น
ถ้าสังเกต พื้นที่ราบแอ่งดอยใกล้ ทางขึ้นบันใดวัดที่พวกผม ไปซื้ออาหารกิน
เปลี่ยนไปบ้าง มีบ้านคน ร้านค้าขึ้นมาก เพิ่มลานจอดรถ (เป็นภาพปัจจุบัน)
อันนี้ผมยอมรับได้ เพราะหน่วยราชการ ควบคุมมิให้ขยายพื้นที่กว้าง
ปัจจุบันสภาพป่า รอบ ๆ นี้ยังหนาแน่นเขียวชะอุ่ม ใช้ได้เลย
การท่องเที่ยว ทำให้การเงินเดินสะพัด อีกอย่างเป็นการใช้ประโยชน์ของคนจำนวนมาก
ระหว่างที่เดินกลับ ยังจำได้ว่า ป่าไม้แถวนั้น เป็นป่าโปร่ง ฤดูแล้งจะแห้ง ๆ ต้นหญ้าตาย ในฤดูฝนสภาพป่าจะเขียว
จำได้ว่า เราจะปั่นจักรยานจากบ้าน มาที่น้ำตกห้วยแก้ว เราจะเดินเที่ยว ถ้าฝนตกได้
สักครึ่งเดือนต้นกระเจียว จะแทงยอดดอกขั้นมา เป็นดอกตูม ยาว เราจะเด็ดดอกใส่ใบตองตึง หรือเรียกว่า ใบพลวง
นำกลับไปที่บ้าน ใช้ลวกให้สุก กินกับน้ำพริกแดง หรือน้ำพริกหนุ่ม รสชาดดีมาก ๆ
บางครั้งเราจะล้างให้สะเด็ดน้ำ ลงชุบในแป้งละลายน้ำผสมไข่ไก่เกลือ ลงทอด กรอบอร่อย
ดอกกระเจียวนี้เป็นของป่า ฟอร์มดอก กลีบดอกจะไม่เท่ากัน บิดเบี้ยว สีดอกไม่เข้ม
แตกต่างกับ กระเจียวที่นักวิชาการพัฒนาพันธ์ กลีบดอกหนา เท่า ๆ กัน.. นั่นกินไม่ได้นะครับคนเล่าให้ฟังว่ามันขื่น
ตอนผมยังเป็น เด็กหนุ่ม ถ้าหันหน้าดูน้ำตกห้วยแก้ว ด้านหลังเป็นเนินดินสูงชัน.. มีนักการเมือง มีอาชีพหลักทำหนังสือพิมพ์
ริเริ่มปลูกบังกาโลอย่างดี สร้างยังไม่เสร็จ ก็เริ่มถูกคัดค้าน ต่อต้านกันมาก
ขณะนั้นกฏหมายยังไม่ห้าม ใช้พื้นที่เอียงลาดสูงชันเกิน 45 องศาอยู่อาศัย แต่โดยสามัญสำนึกแล้ว ไม่ควร
ต้องบอกก่อนว่า คนเชียงใหม่ รัก ป่าไม้ ดอยสุเทพมาตั้งแต่ผมเด็ก ๆ
แน่นอนบ้านบังกาโล หลังนั้น ถูกรื้อถอนไปนานแล้ว
แต่ก็ไม่น่าเชื่อ ยังมีคนพยายามปลูกบ้านให้สูงกว่า คนอื่นอีกหลายแห่ง เฮ้อ...
|
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้อเฟื้อภาพ |
L 1,282,493 |
st. ผู้เข้าชม 1,280,955 |
= 1,538 |
งานเขียนประเภท Diarist |
|
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
haiku Fanclub Blog ดู Blog
โอน่าจอมซ่าส์ Pet Blog ดู Blog
mariabamboo Photo Blog ดู Blog
Kavanich96 Funniest Blog ดู Blog
Rinsa Yoyolive Review Travel Blog ดู Blog
ไวน์กับสายน้ำ Diarist ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
น้องเพิ่งรู้ค่ะว่าดอกกระเจียวทานได้ อ่านบทความของพี่ไวน์เพลินเลยยามเช้าๆๆ