ที่อเมริกาถ้าคุณเป็นแฟนกีฬา (หรือเพียงชอบนั่งอืดในเก้าอี้นวมตัวสบายพลางจินตนาการว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทีมกีฬาที่โปรดปราน) ช่องเคเบิลที่คุณต้องสมัครคือ ESPN (ย่อจาก Entertainment and Sports Programming Network = เครือข่ายรายการบันเทิงและกีฬา)
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยักษ์ใหญ่ ESPN โดนสื่ออื่นจับมาเตะรอบวงโทษฐานนำเสนอข่าวเกี่ยวกับ Jeremy Lin โดยพาดหัวด้วยคำที่เหยียดหยามชาวจีน
สำหรับท่านที่ไม่ได้ตามข่าว Jeremy Lin เป็นนักบาสทีม New York Knicks ผู้โด่งดังแทบจะชั่วข้ามคืน เพราะเป็นสิ่งที่หายากยิ่งใน NBA (National Basketball Association) นั่นคือเป็นคนเอเชียที่เก่งกาจปราดเปรื่องในการยิงลูกลงห่วง
นักบาส NBA ส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวดำ ตามด้วยผิวขาว แต่คนเอเชียที่เป็นนักบาสอาชีพก็มีเพียง Yao Ming เจ้าของความสูง 2.29 เมตร ซึ่งปัจจุบันก็แขวนรองเท้าไปแล้ว
ส่วน Jeremy Lin ก็ไม่ได้สูงมากมาย แค่ 1.90 เมตร ตำแหน่งก็เป็น point guard ไม่ใช่ center แต่ฝีมือส่อแววตั้งแต่เล่นบาสให้ทีมมหาวิทยาลัย Harvard แล้ว มาดังระเบิดก็ตอนที่ทำให้ the Knicks ชนะรวดเจ็ดเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยพลิกเกมจากแพ้เป็นชนะอย่างไม่น่าเชื่อ
ความแพรวพราวของ Lin ในสนามบาสทำให้แฟน ๆ พากันคลั่งไคล้ Lin ชนิดที่ว่าถ้าเป็นเมืองไทยก็คงเรียกว่า “ลินฟีเวอร์” ไปแล้ว แต่ฝรั่งเรียกว่า Linsanity (เป็นการจับนามสกุลของเขาไปผสมกับ insanity = ความบ้าคลั่ง ซึ่งมักใช้ในภาษาสแลงหมายถึง ความไม่น่าเชื่อ)
หลังจากชนะเจ็ดเกมรวด the Knicks ก็มาพ่ายต่อ New Orleans Hornets ทำให้ ESPN พาดหัวข่าวยิงไปตามมือถือว่า Chink in the Armor
การที่ ESPN พาดหัวข่าวว่า Chink in the Armor อาจ มองได้ว่าเป็นการเหยียดหยามความเป็นจีนของ Jeremy Lin โดยนำคำว่า chink เสนอในบริบทของสำนวนที่ใช้คำนี้ในความหมายอื่น เพื่อที่จะเป็นข้ออ้างว่าไม่ได้ตั้งใจดูถูก สำนวนมันพาไปเอง
Chink ในบริบทของสำนวนนี้ความจริงแปลว่า รอยแตก หรือ จุดโหว่ ส่วน armor (อ๊าร์เหม่อร์) ก็แปลว่า ชุดเกราะ รวมกัน chink in the armor ก็แปลว่า จุดอ่อนในชุดเกราะ
ความจริงถ้า ESPN นำสำนวนนี้ไปใช้กับทีมที่ไม่มีคนจีนเล่นก็อาจไม่มีใครว่าอะไร แต่ในเมื่อ Jeremy Lin เป็นตัวชูโรงของ the Knicks และข่าวชิ้นนั้นออกมาในแนวเย้ยการจบสิ้น winning streak (= การที่ชนะรวดหลาย ๆ เกมติดกัน) ของ the Knicks ก็เลยตีความได้ว่าการพาดหัวเช่นนั้นอาจมีเจตนาลบหลู่ดูแคลนกัน
ตี๋อย่าง Jeremy Lin นักบาสดาวรุ่งแห่ง NBA หน้าตาเป็นจีนเต็มพิกัด แต่ถ้าฟังเขาพูดก็จะพบว่าสำเนียงภาษาเป็นอเมริกันเปรี๊ยะ กิริยาท่าทางก็เป็นฝรั่งเต็มตัว เช่นเดียวกับคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่มีอยู่มากมายทั่วสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเมืองใหญ่ ๆ
ผู้ร้ายชาวจีนลักษณะนี้ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดในสมัยนั้นคือ Fu Manchu จากปลายปากกาของ Sax Rohmer ซึ่งสร้างเป็นหนังขาวดำหลายตอน นักเขียนชื่อดังอย่าง Jack London และ H.P. Lovecraft ก็ร่วมวงกับเขาด้วย แต่งนิยายที่สะท้อนความหวาดกลัวว่าโลกตะวันตกจะถูกเอเชียบุกทำลาย
เหตุผลที่ต้องขึ้นด้วยคำว่า ten ก็เพราะสมัยนั้นสัญญาณวิทยุจะไม่ “เข้า” ทันทีที่พูด การเริ่มด้วยคำว่า ten แล้วจึงตามด้วยส่วนสำคัญจึงเพิ่มโอกาสที่จะสื่อสารสำเร็จ
Shoo คำเดียวเป็นกริยาหมายถึงการส่งเสียงชู่ ๆ แบบไล่ออกไปให้พ้น (เช่น She shooed the cat out of the kitchen. = เธอส่งเสียงไล่แมวออกจากครัว) แต่ shoo-in หมายถึงการไล่เข้าโดยเจ้าตัวไม่ต้องทำอะไรมากเป็นพิเศษเลย
ก็จะไม่ให้เป็น shoo-in ได้ยังไงล่ะครับ ประธานาธิบดีโอบามากู้อุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกันโดยใช้วิธี bailout (เบ๊ลเหล่าท) = อัดฉีดเงินภาษีอากรเข้าไปอุ้ม จนบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ร่อแร่จะเจ๊งมิเจ๊งแหล่อย่าง General Motors กับ Ford สามารถฟื้นขึ้นมาลืมตาอ้าปาก (Feed me!) แข่งขันกับบริษัทญี่ปุ่นกับเกาหลีได้อย่างเต็มภาคภูมิ
แค่นั้นยังไม่พอ ประธานาธิบดีโอบามายังแสดงความกล้าตัดสินใจสั่ง SEAL Team Six หน่วยปฏิบัติการพิเศษมือพระกาฬของกองทัพเรือสหรัฐบุกเข้าไปจับตายโอซามา บินลาเดน และสั่งใช้ drones (= เครื่องบินที่ไม่มีนักบินแต่คุมปฏิบัติการจากสถานีในสหรัฐ) เก็บผู้นำอื่น ๆ ของ อัลกออิดะห์จนกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังตั้งตัวไม่ติด
ไม่ว่าเขาจะไปไหนจะต้องมีหนังสือติดมือไปด้วย เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า The Book of Mormon ซึ่งเขาใช้ในการเผยแพร่ศาสนาของเขาให้กับคนทั่วโลก
ชายหนุ่มที่คุณเห็นนั้นเป็น missionaries = หมอสอนศาสนา (ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่แพทย์ แต่ในเมื่อเราเรียกหมอนวดว่าหมอได้ ผมก็คงจะไม่ขัดถ้าจะเรียกคนสอนศาสนาว่าหมอ) จาก Church of Jesus Christ of Latter-Day Saints หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่านิกาย Mormon
ชาวคริสต์ทั่วไปมีคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่นิกาย Mormon นี้ยังมีคัมภีร์ของตัวเองต่างหากเป็นหนังสือเล่มนี้ ซึ่งว่าไปแล้วก็คล้าย ๆ กับแท่งที่จารึก the Ten Commandments = บัญญัติสิบประการ ตรงที่ผู้เลื่อมใสเชื่อว่าเป็นข้อเขียนวิเศษที่ไม่ได้มาจากฝีมือมนุษย์
ในกรณีของบัญญัติสิบประการ ชาวคริสต์เชื่อว่าเป็นประกาศิตของพระเจ้าซึ่งมอบให้โมเสสเพื่อไปสั่งสอนชาวยิว (ในหนังเรื่อง History of the World, Part 1 ของ Mel Brooks ได้แสดงความเป็นมาของบัญญัติสิบประการอย่างฮา)
ส่วนในกรณีของ Book of Mormon ชาว Mormon เชื่อว่าเป็นข้อเขียนที่เทพยดานามว่า Moroni (ห้ามตก i ตรงท้ายชื่อเป็นอันขาด) ได้มาบอกให้นาย Joseph Smith ไปขุดขึ้นมาจากเนินเขาแห่งหนึ่งในรัฐนิวยอร์กและแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ชาวโลกได้รับรู้
แน่นอนครับ คนที่ไม่เชื่อก็ปักใจว่านาย Smith เองนี่แหละเป็นผู้ที่แต่ง Book of Mormon ขึ้นมาเอง ไม่ได้มีเทวดาที่ไหนมาบอกหรอก แต่คนที่เชื่อก็เชื่อฝังใจ เพราะเรื่องความเชื่อทางศาสนานี้คงไม่สามารถตัดสินด้วยเหตุผลและหลักฐานได้
คนอเมริกันทั่วไปจะมองนิกาย Mormon ด้วยความเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง เพราะนอกจาก Book of Mormon จะมีความเป็นมาที่น่าสงสัยแล้ว ตัว Joseph Smith เองยังมีพฤติกรรมที่ขัดต่อกระแสหลักของสังคมอเมริกันด้วย เช่นอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาหลายคนได้
ความจริงก็พอเข้าใจได้นะครับว่าทำไมสังคมส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ ก็ศาสดาของนิกายเป็นคนอเมริกันชื่อ Joseph Smith อ้างว่ามีเทพมาบอกให้ไปขุดคัมภีร์ขึ้นมาจากที่ถูกฝังไว้เป็นพัน ๆ ปีในรัฐนิวยอร์ก และคัมภีร์เล่มนั้นก็เป็นคำบอกเล่าของศาสดาโบราณที่เคยอยู่ในทวีปอเมริกาหลังจากที่อพยพกันมาจากอิสราเอลในยุคก่อนคริสตกาล แค่นั้นยังไม่พอ ยังเชื่อกันว่าพระเยซูได้มาเทศนาที่ทวีปอเมริกาก่อนที่จะขึ้นสวรรค์
ผู้นับถือนิกาย Mormon ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐ Utah (ยู้ถ่อ) ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น Zion National Park และ Salt Lake City เมืองหลวงของรัฐ ซึ่งมีโบสถ์ใหญ่โตตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ชาว Mormon ที่ชื่อดังก็มีเช่นสองพี่น้องนักร้อง Donny และ Marie Osmond
เช่นประโยคอย่าง I’m not concerned about the very poor. = ผมไม่ห่วงคนที่จนมากๆ ซึ่งเมื่อถูกตัดตอนออกมาจากบริบทก็กลายเป็น “หลักฐาน” ว่าเขาเป็นเศรษฐีที่ไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชนระดับรากหญ้า
ตอนที่ Romney พยายามแสดงตัวเองว่าสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกันในรัฐมิชิแกนก็หลุดปากพูดถึงภรรยาว่า Ann drives a couple of Cadillacs. = แอนขับรถแคดิลแลคสองคัน กลายเป็นการย้ำโดยไม่ตั้งใจถึงความร่ำรวยที่เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาแต่เป็นเพียงความฝันสำหรับคนอเมริกันส่วนใหญ่.
ตั้งแต่สมัยโบราณมา การข่มขืนเป็นความโหดร้ายส่วนหนึ่งของสงคราม แต่ปัจจุบันกำลังมีการเคลื่อนไหวในสหประชาชาติต่อต้าน rape as a weapon of war = การข่มขืนในฐานะอาวุธสงคราม ซึ่งแพร่หลายในการสู้รบในทวีปแอฟริกา
เหตุหนึ่งที่แพร่หลายอาจเป็นเพราะชายหนุ่มในประเทศแอฟริกันบางประเทศถือว่าการข่มขืนเป็นเรื่องปกติธรรมดา no big deal = ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร การลงโทษก็ไม่ได้หนักหนา ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการข่มขืนขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของสังคมได้แค่ไหน
ตี๋อย่าง Jeremy Lin นักบาสดาวรุ่งแห่ง NBA หน้าตาเป็นจีนเต็มพิกัด แต่ถ้าฟังเขาพูดก็จะพบว่าสำเนียงภาษาเป็นอเมริกันเปรี๊ยะ กิริยาท่าทางก็เป็นฝรั่งเต็มตัว เช่นเดียวกับคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่มีอยู่มากมายทั่วสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเมืองใหญ่ ๆ
ความสำเร็จของคนอย่างเขาทำให้เราอดไม่ได้ที่จะทึ่งกับการที่อเมริกาสามารถทำให้คนจากหลายเชื้อชาติหลากวัฒนธรรมกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเดียวกัน
จริง ๆ แล้วอเมริกาไม่ได้เป็นอย่างนี้มาแต่แรกหรอกครับ กว่าจะถึงจุดนี้ได้ก็ต้องผ่านการต่อสู้ดิ้นรนมาอย่างโชกโชนเพื่อสร้างสังคมที่ก้าวข้ามความเกลียดชัง ความอยุติธรรม และอคติสารพัดที่ฝังอยู่ในจิตใจมนุษย์ ซึ่งเป็นการต่อสู้ดิ้นรนที่ยังไม่จบสิ้น
สำหรับคนเอเชีย การถูกเหยียดหยามและข่มเหงรังแกเป็นสิ่งที่เจอตั้งแต่เข้าไปตั้งรกรากที่สหรัฐตั้งแต่ยุคแรก ๆ แล้ว เพราะฝรั่งมีความไม่ไว้วางใจและหวาดกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกับสิ่งที่เขาเรียกว่า the Yellow Peril (เดอะ เย็ลโลว แพ้หริ่ล) = ภัยสีเหลือง ซึ่งหมายถึงภัยจากคนผิวเหลือง หรือคนเอเชียนั่นเอง
ถ้าเราไปอ่านวรรณกรรมราคาถูกจากต้นศตวรรษที่แล้วก็จะพบว่าผู้ร้ายในเรื่องมักจะเป็นชาวจีนผู้มุ่งครองโลกหรือทำลายอารยธรรมตะวันตก ลักษณะก็จะออกมาทำนองหนวดยาวโง้ง เล็บยาว ฟันเหลือง diabolical = ร้ายกาจปราดเปรื่องปานปิศาจ ชอบหัวเราะทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรตลก ฯลฯ
ลักษณะเหล่านี้เป็น caricature (แค้หริขะเฉ่อร์) = ภาพล้อเลียน ชาวจีนอย่างชัด ๆ แต่ความที่ฝรั่งมีความเข้าใจชาวเอเชียน้อยมาก ภาพล้อเลียนนี้ก็ถูกยอมรับอย่างกว้างขวาง (คล้าย ๆ กับที่ชาวจีนก็มักมองฝรั่งว่าเป็นปิศาจจมูกโตผมแดง)
ผู้ร้ายชาวจีนลักษณะนี้ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดในสมัยนั้นคือ Fu Manchu จากปลายปากกาของ Sax Rohmer ซึ่งสร้างเป็นหนังขาวดำหลายตอน นักเขียนชื่อดังอย่าง Jack London และ H.P. Lovecraft ก็ร่วมวงกับเขาด้วย แต่งนิยายที่สะท้อนความหวาดกลัวว่าโลกตะวันตกจะถูกเอเชียบุกทำลาย
คำว่า Chink และคำอื่น ๆ ที่ใช้เรียกดูถูกคนเอเชียสะท้อนสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จึงเป็นคำต้องห้ามไปโดยปริยาย ดังเห็นได้จากการที่พนักงาน ESPN ที่ใช้คำนี้พาดหัวก็โดนไล่ออกไปเรียบร้อย.
หนังสือ “ฟอไฟฟุดฟิดอังกฤษอเมริกัน” เล่ม 1-6 รวมซีดี ลดจาก 600 เหลือ 550 บาท หรือถ้าไม่เอาซีดีก็เพียง 480 บาท ส่ง EMS ฟรี ส่งธนาณัติสั่งจ่ายนายเสาวพจน์ ศรีวลี 20/1 ซอยอินทามระ 7 ป.ณ. สามเสนใน กท. 10400 หรือเข้าบัญชี ธ.กรุงเทพ หมายเลข 111-4-02764-0 แฟกซ์ใบสั่งจ่ายไปที่ 0-2616-8215 อย่าลืมเขียนชื่อ-ที่อยู่นะครับ เว็บไซต์ผม //boonhod.com อีเมลผม boonhod@hotmail.com ติดตามได้ทาง Twitter @boonhod
▶▶//www.dailynews.co.th/article/42/14645