อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. อัสสาทะชั้นเลิศของเวทนา
.
ภิกษุ ท.! อัสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสงัดจากกามและสงัดจาอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท.! ในสมัยใด .. ภิกษุ. เพราะ .. - สงัดจากกาม - และสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อม .. - - บรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่ง .. - - - มีวิตกวิจาร - - - มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่,
ในสมัยนั้น เธอ .. - ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, - ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, - และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.
ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวยเวทนา อันไม่ทำ ความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.
ภิกษุ ท.! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.
ภิกษุ ท.! ข้ออื่นยังมีอีก, ภิกษุ, เพราะ .. - สงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อม .. - - บรรลุฌานที่สอง อัน .. - - - เป็นเครื่องผ่องใสในภายใน - - - นำให้เกิดสมาธิ - - - มีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ - - - ไม่มีวิตกวิจาร - - - มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่
ภิกษุ ท.! ในสมัยใด, ภิกษุ, เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่,
ในสมัยนั้น เธอ .. - ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, - ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, - และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความ เดือดร้อนแก่ตน เองและผู้อื่น ทั้สองฝ่าย.
สมัยนั้น เธอย่อมเสวยเวทนาอันไม่ทำ ความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.
ภิกษุ ท.! เรากล่าว อัสสาทะ(รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลายว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.
ภิกษุ ท.! ข้ออื่นยังมีอีก, ภิกษุ, เพราะ .. - ความจางคลายไปแห่งปีติ - เป็นผู้อยู่อุเบกขา - มีสติสัมปชัญญะ - เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อม .. - - บรรลุฌานที่สาม อัน .. - - - เป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า "ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา - - - มีสติอยู่เป็นปรกติสุข" ดังนี้แล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท.! ในสมัยใด ภิกษุ. เพราะความจางคลายไปแห่ปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า "ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปรกติสุข" ดังนี้ แล้วแลอยู่.
ในสมัยนั้น เธอ .. - ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, - ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, - และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.
ในสมัยนั้น เธอ ย่อมเสวยเวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.
ภิกษุ ท.! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.
ภิกษุ ท.! ข้ออื่นยังมีอีก, ภิกษุ, เพราะ .. - ละสุขเสียได้ - และเพราะละทุกข์เสียได้, - เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน, ย่อม .. - - บรรลุฌานที่สี่ อัน .. - - - ไม่ทุกข์ - - - ไม่สุข - - - มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท.! ในสมัยใด ภิกษุ, เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้, เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน, ย่อมบรรลุฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
ในสมัยนั้น เธอ .. - ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, - ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, - และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.
ในสมัยนั้น เธอ ย่อมเสวยเวทนาอันไม่ทำ ความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.
ภิกษุ ท.! เรากล่าว อัสสาทะ(รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่งแล. . . . มู. ม. ๑๒/๑๗๖/๒๐๕
Create Date : 07 มิถุนายน 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 7 มิถุนายน 2556 6:02:54 น. |
Counter : 1274 Pageviews. |
|
|
|