Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
7 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 

อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. อัสสาทะชั้นเลิศของเวทนา

.





ภิกษุ ท.!
อัสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุ ท.!
ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสงัดจากกามและสงัดจาอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่.

ภิกษุ ท.!
ในสมัยใด .. ภิกษุ. เพราะ ..
- สงัดจากกาม
- และสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อม ..
- - บรรลุฌานที่หนึ่ง ซึ่ง ..
- - - มีวิตกวิจาร
- - - มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก
แล้วแลอยู่,

ในสมัยนั้น เธอ ..
- ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง,
- ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น,
- และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.

ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวยเวทนา อันไม่ทำ ความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.

ภิกษุ ท.!
เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.

ภิกษุ ท.!
ข้ออื่นยังมีอีก, ภิกษุ, เพราะ ..
- สงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อม ..
- - บรรลุฌานที่สอง อัน ..
- - - เป็นเครื่องผ่องใสในภายใน
- - - นำให้เกิดสมาธิ
- - - มีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ
- - - ไม่มีวิตกวิจาร
- - - มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ
แล้วแลอยู่

ภิกษุ ท.!
ในสมัยใด, ภิกษุ, เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่,

ในสมัยนั้น เธอ ..
- ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง,
- ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น,
- และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความ เดือดร้อนแก่ตน เองและผู้อื่น ทั้สองฝ่าย.

สมัยนั้น เธอย่อมเสวยเวทนาอันไม่ทำ ความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.

ภิกษุ ท.!
เรากล่าว อัสสาทะ(รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลายว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.

ภิกษุ ท.!
ข้ออื่นยังมีอีก, ภิกษุ, เพราะ ..
- ความจางคลายไปแห่งปีติ
- เป็นผู้อยู่อุเบกขา
- มีสติสัมปชัญญะ
- เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อม ..
- - บรรลุฌานที่สาม อัน ..
- - - เป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า "ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา
- - - มีสติอยู่เป็นปรกติสุข"
ดังนี้แล้วแลอยู่.

ภิกษุ ท.!
ในสมัยใด ภิกษุ. เพราะความจางคลายไปแห่ปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า "ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปรกติสุข" ดังนี้ แล้วแลอยู่.

ในสมัยนั้น เธอ ..
- ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง,
- ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น,
- และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.

ในสมัยนั้น เธอ ย่อมเสวยเวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.

ภิกษุ ท.!
เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.

ภิกษุ ท.!
ข้ออื่นยังมีอีก, ภิกษุ, เพราะ ..
- ละสุขเสียได้
- และเพราะละทุกข์เสียได้,
- เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน, ย่อม ..
- - บรรลุฌานที่สี่ อัน ..
- - - ไม่ทุกข์
- - - ไม่สุข
- - - มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา
แล้วแลอยู่.

ภิกษุ ท.!
ในสมัยใด ภิกษุ, เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้, เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน, ย่อมบรรลุฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.

ในสมัยนั้น เธอ ..
- ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง,
- ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น,
- และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.

ในสมัยนั้น เธอ ย่อมเสวยเวทนาอันไม่ทำ ความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.

ภิกษุ ท.!
เรากล่าว อัสสาทะ(รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่งแล.
.
.
.
มู. ม. ๑๒/๑๗๖/๒๐๕




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2556
0 comments
Last Update : 7 มิถุนายน 2556 6:02:54 น.
Counter : 1274 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.