ประทับใจคำพูดพี่ผู้ชายคนนึงที่เค้าพูดในร้านค้าแล้วเดินจากไป
โอ๊ย ช่วงนี้ยุ่งมากถึงมากที่สุด ไม่ยุ่งก็ขี้เกียจ ยุ่งที่ทำงาน พออยู่บ้านก็ขี้เกียจพิมพ์อีก แต่ก็นะ สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะอัพเดทบล็อคอาทิตย์ละครั้ง ไม่อยากให้บล็อคมันร้าง ก็สร้างพันธะให้ตัวเอง ก็ต้องทำตามเงื่อนไขของตัวเองให้ได้ในที่สุด
วันนี้จะมาเล่าเรื่องสั้น ๆ แต่ประทับใจนิดนึง คือเรามีร้านสมุนไพรปากซอยที่เราซื้อเป็นประจำจนสนิทกับพี่เจ้าของร้านและผู้ช่วย แล้วอยู่มาวันนึง เราก็ยืนเม้ากับพี่เจ้าของร้านอยู่ มีพี่ผู้ชายคนนึงเข้ามาซื้อของในร้าน ซึ่ง 1 ในของเหล่านั้น พี่ผู้ช่วยแกจะเอาไปซื้ออาหารให้หมา พี่เค้าก็บอกว่า เนี่ย คุณช่วยซื้อเนี่ย ได้บุญด้วยนะ เพราะเค้าจะเอาไปซื้อขนมให้หมา เท่านั้นแหละ พี่ผู้ชายคนนั้น ซึ่งเป็นคนพูดตรง ๆ อ่านะ ได้พูดขึ้นประมาณว่า ทำไมไม่ทำบุญให้พระอริยะ เราต้องทำบุญให้หมาเป็นร้อยเป็นพันล้านตัวเลยนะ บุญถึงจะเท่ากับถวายข้าวพระอริยะเพียงครั้งเดียว รู้จักมั้ย "เนื้อนาบุญ" น่ะ โอ้โห ฟังแล้วขึ้น ขึ้นให้ที่นี้คือ ประทับใจพี่เค้าขึ้นเป็นกองเลย แต่ก่อนที่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือธรรมะ เราก็เฉย ๆ กับเรื่องนี้นะ คิดว่าทำบุญกับอะไรมันก็เหมือนกันแหละ ขอให้ใจเราเป็นสุขก็พอ เพราะบุญคือความสุข ความสว่าง แต่ก่อนก็สงสัยนะ ว่าทำไมคนถึงได้ต้องตระเวณขึ้นเหนือ ล่องใต้ไกล ๆ เพื่อที่จะไปกราบพระรูปนั้น รูปนี้ด้วย แต่พอมาได้อ่านหนังสือธรรมะ ปฏิธรรมถึงมากขึ้น ถึงรู้ว่าทำบุญกับอะไร บุญที่ได้ไม่เท่ากัน
ถามว่า..งกบุญเหรอ เออ เรางก เพราะถ้าเรานิพพานไม่ได้ในชาติเดียว ชาติหน้าเกิดมาจะได้ไม่ลำบาก แล้วไม่โทษว่าชาติที่แล้วทำอะไรมา เกิดมาจน เกิดมาลำบาก เกิดมาพิการ ฯลฯ
คำพูดพี่เค้าเลยประทับจิต ประทับใจอิชั้นจนถึงวันนี้ซึ่งผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วก็ยังรู้สึกดีอยู่ แล้วตอนพี่เค้าหันหลังเดินออกไป เสื้อด้านหลังของพี่เค้าเขียนว่า "พุทธวจนะ" โอ้ว นี่คงเป็นที่มาว่าทำไมพี่เค้าถึงพูดเกี่ยวกับ "เนื้อนาบุญ" สินะ
เพิ่มเติม
เนื้อนาบุญคืออะไร ขออนุญาตคัดลอกข้อความมาจากเว็ปธรรมะนะคะ
เนื้อนาบุญ หมายถึงบุคคลที่ช่วยทำให้บุญนั้นแผ่ขยายกว้างขวาง ดุจนาดีที่หว่านเมล็ดข้าวลงไปแม้ไม่กี่เมล็ด ก็กลายเป็นต้นข้าวที่ออกรวงมากมาย จากเมล็ดข้าวไม่กี่เมล็ดก็ขยายกลายเป็นหมื่นเป็นแสนเมล็ด
เอาข้าวไปหว่านในนา ดินแห้งแข็งขาดน้ำ กับ เอาข้าวไปหว่านในนา ดินซุยปุ๋ยดีน้ำดี อันไหนจะได้ข้าวมากกว่ากัน
ใครอยากรู้เพิ่มเติมว่า แล้วทำอะไรดีที่สุด ขอคัดลอกการทำบุญเป็นลำดับขั้นมาด้านล่างนี้นะคะ
1 . ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี
2 . ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
3 . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 8 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้มีศีล 8 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
4 . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 8 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้มีศีล 10 คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
5 . ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล 10 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร 227 ข้อ พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์สังวร 227 ข้อนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น " พระ " แต่เป็นเพียงพระสมมุติเท่านั้น เรียกกันว่า " สมมุติสงฆ์ " พระที่แท้จริงนั้น หมายถึงบุคคลที่บรรลุคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไป ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น " พระ " ทั้งสิ้น และพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น จากน้อยไปหามากดังนี้คือ " พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธมเจ้า " และย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
6 . ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ( ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น )
7 . ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
8 . ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
9 . ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
10 . ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
11 . ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
12 . ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
13 . การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า " การถวายวิหารทาน " แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน " อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใประโยชน์ร่วมกัน แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น " โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ " ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน
14 . การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ( 100 หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ " ธรรมทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ "
15 . การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ " อภัยทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ " การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู " ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ " ละโทสะกิเลส " และเป็นการเจริญ " เมตตาพรหมวิหารธรรม " อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร 4 ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร 4 นั้น เป็นคุณธรรมที่เป็นองค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร 4 ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง " พยาบาท " ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง
อย่างไรก็ดี การให้อภัยทานแม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่น ๆ ทั้งมวล ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า " ฝ่ายศีล " เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน ให้มากกว่าระดับศีลอีกก็คือ "ภาวนา" อย่างหลังนี้เป็นบุญใหญ่ที่สุด
ได้คำตอบหรือยังว่าทำไมเราทุกคนถึงควรจะปฏิบัติธรรม หรือ ภาวนา ภาวนา ในที่นี้ไม่ได้ไปนั่นร้องขอ วิงวอนอะไรแต่อย่างใด แต่น่าจะย่อมาจาก สมาธิภาวนา(สมถะภาวนา) และ วิปัสสนาภาวนา จะเลือกทางไหนไม่สำคัญ เพราะแม่น้ำทุกสาย สุดท้ายก็ไหลลงสู่มหาสมุทรเดียวกันอยู่ดี
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม สาธุค่ะ
Create Date : 20 มิถุนายน 2557 |
Last Update : 20 มิถุนายน 2557 11:25:28 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2031 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ... IP: 58.9.218.214 วันที่: 4 ตุลาคม 2557 เวลา:20:14:43 น. |
|
|
|
โดย: รักเจ้าของBlog นะ IP: 101.108.104.239 วันที่: 11 ตุลาคม 2557 เวลา:9:16:02 น. |
|
|
|
|
|
เราว่ามันทำให้จิตใจเราไม่บริสุทธิ์
คนที่ให้อาหารหมา เค้าอาจไม่หวังผลบุญอะไร แค่รู่สึกเมตตามัน อยากให้มันอิ่มท้อง
กับอีกคนที่ทำบุญกับพระอริยะ แต่ในใจคิดว่า นี่เนื้อนาบุญนะ ชั้นจะได้บุญเท่ากับให้อาหารหมาพันตัว
แต่ไม่สนใจว่าพระท่านนั้นมีของมากมายจนใช้ไม่ทัน
เราคิดว่าศาสนาเกิดมาเพื่อค้ำจุนโลก ให้คนอยู่
ู่ร่วมกันอย่างสันติ ถ้าคำสอนใดไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีเป็นเพียงศรัทธา ความเชื่อ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคน