Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
8 กุมภาพันธ์ 2555
 
All Blogs
 
ปัญหาทุกอย่างมันผ่อนคลายลงได้เมื่อเราได้ระบายกับผู้หญิงคนนึง

เรามีนิสัยเสียอย่างนึง (ในหลายอย่าง)
คือเราชอบคิดวิตกกังวลกับคำพูดหรือการกระทำของเราที่เราพูดหรือทำออกไปแล้ว
ว่ามันไปทำร้ายความรู้สึกอีกฝั่งรึเปล่า
โดยเฉพาะกับคนที่ทำงาน

ไม่อยากจะบอกว่าทำแบบสอบถามเกี่ยวกับพวกนี้ทีไร
เราได้คำตอบแบบนี้ทุกที







อีตอนพูดเนี่ย
ไม่ค่อยได้คิดหรอก
แต่ 1-2 ชั่วโมงให้หลัง
มันจะแว๊ปกลับมาคิดทุกที
ว่าประโยคที่พูดออกไปเนี่ย
มันไปทำร้ายความรู้สึกของคนฟังรึเปล่านะ

แล้วตลกมั้ย
ส่วนใหญ่เราแคร์คนที่ทำงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน มากกว่าพ่อแม่ของเราซะอีก

คือวันนี้
ก็คุยกันเม้ากันในวงกินข้าวกลางวันกันปกติ
แล้วมีคำถามนึงที่คุย ๆ กันแล้วเราไปถามพี่คนนึงไป
เพราะก็แค่สงสัย
มิได้เจตนาจะว่าพี่เค้าแต่อย่างใด
มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอะไรเลย
แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักษาเวลาก็เท่านั้นเอง

เพราะใคร ๆ ก็รู้และนินทาว่าพี่คนนี้ใช้เวลาทำงานไปกับเรื่องส่วนตัวซะเยอะ
เราก็แค่สงสัยว่าเรื่องพวกนี้ทำที่บ้านไม่ได้เหรอ
เพราะเราและใคร ๆ ก็ทำเรื่องพวกนี้ที่บ้านกัน
แล้วในออฟฟิศทุกคนก็แทบไม่ทำเรื่องจุ๊กจิ๊กพวกนี้ในที่ทำงาน
แต่เธอสามารถเอาเวลางานเป็นชั่วโมงไปทำเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงานพวกนี้
เลยถามคำถามนึงไปที่ไม่ได้จี้ใจดำอะไร
แต่เธอเหมือนไม่พอใจ แล้วก็ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า "แล้วทำไม"
เราก็เลยเงียบไป แล้วตอบว่าก็ไม่ได้ทำไม
ไม่ได้นึกว่าจะได้คำพูดและกริยาท่าทางแบบนี้กลับมาน่ะ

แล้วหลังจากวงสนทนา
เราก็กลับมาเฮฮาเหมือนเดิม
พยายามจะลืมท่าทางและน้ำเสียงเมื่อกี๊ไป
แต่ก็เป็นห่วงความรู้สึกพี่เค้า
เลยปรึกษากับพี่อีกคนในกลุ่มว่า
เมื่อกี๊ที่เราถามไป มันไปทำร้ายความรู้สึกพี่เค้ารึเปล่า
พี่เค้าก็บอกว่าไม่หรอก
มันก็แค่บทสนทนา อย่าไปคิดมาก
นี่ถ้าเราไม่จำไดอะล็อคคำพูดแล้วเล่ามาเนี่ย พี่ก็ลืมไปแล้ว
คาดว่าพี่เค้าก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน
เพราะมันไม่ได้เป็นคำถามแทงใจดำซะหน่อย
มันเป็นคำถามเหมือนคนเม้าโน่น เม้านี่ถามกันไป ตอบกันมาเรื่องนู้น เรื่องนี้มากกว่า

แต่หลังจากคำถามนี้
เราก็เปลี่ยนเรื่อง
แล้วก็เม้าเรื่องอื่นไป
เค้าก็ยังเม้าอันอื่นให้เราและคนในกลุ่มฟังนะ
ไม่ได้เมินไม่สบตาเรานะ
เค้าก็เล่าปกติ
แต่น้ำเสียงและสายตาพี่เค้าตอนพูดว่า "แล้วทำไม" กับเรามันไม่ปกติเท่านั้นเอง

พี่หลายคนก็บอกว่าไม่หรอก
ไม่ต้องไปสนใจหรอก
เจ้าตัวเค้าก็รู้แหละ
แต่เจ้านายพี่เค้าไม่ว่าอะไร
ก็ช่างเค้าเถอะ

เราก็กังวลเกี่ยวกับคำพูดเราจนกลับบ้านเลยนะ
เราแปลกอย่างนึง
เวลาเราไม่สบายใจ
กลับถึงบ้านเนี่ย
เราจะยังไม่เล่าให้แม่ที่เป็นแม่บ้านอยู่กับบ้านฟังนะ
เราจะถามแม่ก่อนว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง
มีข่าวอะไรน่าสนใจบ้าง
แล้วเราก็ฟังแม่เราพูด
เชื่อมั้ย
ระหว่างที่เรานั่งฟังแม่เราเล่าเรื่องนู้น เรื่องนี้เนี่ย
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องพี่คนนั้นมันลดลงไปเลย
เริ่มคิดได้ว่าทำไมต้องไปห่วงความรู้สึกคนนอกครอบครัวมากกว่าพ่อแม่ คนในครอบครัวเราด้วย
เค้าไม่ได้เลี้ยงเรามาซะหน่อย

แล้วเราก็เล่าเรื่องนี้ให้แม่เราฟัง
แค่เราเล่า แค่เราได้ระบายออกกับผู้หญิงคนนี้ที่เป็น "แม่" ของเรา
ปัญหามันแทบหายไปเลย
เรารู้ได้เลยว่าสิ่งที่เรากังวลมันเล็กน้อยมาก
ทำไมเราไม่เอาเวลาที่เราคิดวิตกกังวลเกี่ยวกับคนอื่นมาดูแลพ่อแม่เราแทน
ทำไมต้องกลัวเราจะโกรธ ทำไมต้องกลัวเค้าจะไม่ชอบ
หรือเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเราพูดหรือทำอะไรไม่ดีกับพ่อแม่เรา
เรารู้อยู่แล้วว่าเค้าจะไม่มีทางไม่พอใจเราแน่นอน
เพราะรักของพ่อแม่เป็นรักแบบเดียวที่ไม่มีเงื่อนไข


แล้วเราก็รู้สึกผิดหลังจากคำพูดหรือการกระทำกับพ่อแม่ที่ผ่านมาทุกที
แต่เราก็ปากหนักทุกทีอีกนั่นแหละ
เวลาทำให้เค้าเสียความรู้สึก
ก็ไม่เคยขอโทษซักที
ได้แต่ระบายมันออกจากบล็อคหรือเขียนมันในไดอารี่เล่มโตที่ต้องเขียนก่อนนอนทุกปี
เพราะก็คิดว่าเดี๋ยวตื่นมาพรุ่งนี้ เค้าก็คงหายโกรธ
แล้วเราก็คุยกันเหมือนเดิมทุกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เราก็คิดไปว่าเค้าก็คงลืมและให้อภัยลูกได้เสมอ
แล้วก็คิดไปว่าสิ่งที่เราพูดหรือทำ เราไม่ได้ตั้งใจหรอก
คิดไปเองว่าบางครั้งเหตุผลที่เราโมโห เบื้องหลังมันคือความเป็นห่วงนั่นเองเหมือนที่เราโมโหป๊าไปที่บล็อคก่อนหน้านี้

เราเคยเล่าให้ฟังว่าเรารู้สึกผิดที่ไม่ให้ป๊าเข้าห้องน้ำในบล็อคนี้
คอมเม้นท์แรกทำเอาน้ำตาเราจะไหลเลย
ที่เค้าบอกว่าเราเป็นคนอ่อนโยน
ไม่เคยมีใครบอกเราแบบนี้
แบบทดสอบตามนิตยสารที่เราเคยทำ
เราก็ไม่เคยอ่านเจอคำนี้

แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นคนอ่อนโยนจริงรึเปล่า
เพราะตอนเรามาอ่านบล็อคที่เราโมโหป๊าเพราะเป็นห่วงแต่เราก็ไม่ได้บอกเค้าไป
แต่คิดว่าเค้าคงรู้แหละว่าทำไมเราถึงโมโห
เพราะจริง ๆ เราโมโหเพราะเราเป็นห่วง
เป็นพวก รักนะแต่ไม่แสดงออก หรือแสดงออกในทางตรงกันข้ามนั่นเอง
อ่านคอมเม้นท์บล็อคนั้นก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกผิด
เพราะจะให้เราไปขอโทษเราก็คงทำไม่ได้หรอก เขิน
แต่ก็คิดไปเองว่าเค้าคงจะรับรู้แหละว่าเราเป็นห่วงเค้าถึงแม้ว่าจะโมโหบังความรู้สึกเป็นห่วงเอาไว้

รักของพ่อแม่มันยิ่งใหญ่ มีพลังจังเลยเนอะ
คาดว่าพ่อแม่คงเป็น 2 คนที่ลูกสามารถ "ไว้" และ "วาง" ใจลงไปได้มากที่สุดแล้วในโลกใบนี้

พ่อแม่สามารถรักเราตั้งแต่เรายังไม่เกิดโดยไม่รู้ว่าเกิดมาจะหน้าตาดีพอที่เราจะรักมั้ย
พ่อแม่สามารถรักเราโดยไม่ได้คิดเลยว่าโตขึ้นเราจะรักเค้ามั้ย

รู้มั้ยว่า 2 บรรทัดสุดท้ายของไดอารี่ทุกวันของเรา ๆ เขียนว่าอะไร

เราขอบคุณบุคคลยิ่งใหญ่ทั้ง 2 คนของเราที่รักเรามาตลอดตั้งแต่เรายังเป็นวุ้น จนอายุ 30 ก็ยังรักอย่างเสมอต้น เสมอปลาย ทำทุกอย่างให้เรา สรรหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดในเรามาตลอดอย่างไม่มีเบื่อหรือเหน็ดเหนื่อย

แล้วเราก็จะไม่เบื่อเหมือนกันที่จะเขียนขอบคุณพ่อกับแม่เราซ้ำ ๆ กันทุก ๆ วันก่อนนอนตราบเท่าที่เรายังสามารถเขียนหนังสือได้ เรารับรู้สิ่งเหล่านี้ในทุก ๆ วันแล้วเราก็ซาบซึ้งและขอบคุณสิ่งเหล่านี้ในทุก ๆ วันเหมือนกัน (แม้เค้าจะไม่รู้ก็ตาม)



Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 19:16:24 น. 3 comments
Counter : 2233 Pageviews.

 
โหลๆ
เจ้าของ blog รับหัวใจด้วยค่า ^^
แปะให้หนึ่งดวง(ได้โควตาแค่หนึ่งดวงนี่นา:)
หัวใจพองโตขึ้นทุกวันนะคะ

เรื่องการใส่ใจคนในที่ทำงาน หรือเพื่อนมากกว่าพ่อกับแม่เนี้ย เราเองก็เป็นค่ะ ก่อนหน้านี้ก็เป็นมากๆด้วย
แต่ตอนนี้ ความรู้สึกที่จะแคร์คำพูดหรือการกระทำของคนอื่น(ที่นอกเหนือจากคนในครอบครัว) มันลดลง แล้วล่ะค่ะ
คุณหนูลีลี คงสนิทกับคุณพ่อคุณแม่มากนะคะ
นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีแล้วล่ะค่ะ
โนบุตะเอง จะสนิทกับคุณตามากกว่า
เพราะโตมากับคุณตา กับคุณพ่อคุณแม่ เราก็รักนะคะ
แต่คนที่เราอยู่ด้วยตลอดเวลาเป็นคุณตาน่ะค่ะ
ก็เลยออกจะแคร์ความรู้สึกของตามากที่สุดกว่าใครๆ
ถ้าท่านไม่พอใจอะไรที่เราทำ ท่านจะเงียบ
และนั่นทำให้เราหยุดทำเรื่องที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม : D

คุณหนูลีลี
คนที่รักพ่อรักแม่และคิดแต่สิ่งดีดีให้ท่านทำแต่สิ่งดีดีให้ท่านอย่างคุณหนูลีลี เนี้ย คุณตาโนบุตะเคยสอนเอาไว้ว่าถึงแม้ต้องเจอคนไม่ดีเจอเรื่องไม่ดีเจออุปสรรคขัดขวางอย่างไร ชีวิตที่เลี้ยงดูและเทิดทูนบุพการี จะไม่มีวันอับจน ค่ะเราจะแคล้วคลาดทุกอย่าง
โนบุตะก็ว่า มันจริงเลยทีเดียว คุณหนูลีลีว่าอย่างไรคะ?


โดย: nobuta wo produce วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:20:40:30 น.  

 
คงต้องบอกว่า ให้ท่องคำนี้ไว้ค่ะ

สั้นๆ ง่ายๆ แต่ทำยากเหลือเกิน แต่ถึงยังไงก็ต้องลองทำนะคะ คำนั้นคือ "ปล่อยวาง" ค่ะ สู้ๆค่า


โดย: palmsuay วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:22:08:53 น.  

 
555
เอ๊า
วันนี้รับโควตา ไปอีกหนึ่งดวงค่า ^^
เป็นเพราะคุณ จขบ. เขียนได้น่าอ่าน ต่างหากล่ะคะ
เราเลยแวะเวียนมาบ่อยๆ


โดย: nobuta wo produce วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:13:44:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.