Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
27 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 
เราคงไม่ต้องการรอยยิ้มในมือถือก่อนจากกันไปตลอดกาลแล้วล่ะ เพราะรอยยิ้มของเค้าก็ติดอยู่ในใจเราไปเรียบร้อยแล้ว

หนุ่มน้อยลูกครึ่งเกาหลีคนนี้ทำเอาชั้นปั่นป่วนมาร่วม 2 อาทิตย์
นอนก็นอนไม่หลับ
นอนหลับก็ฝันถึงตลอด
ทั้ง ๆ ที่แทบไม่คุยกันเลย
ไหนจะต้องรวบรวมความกล้าเสาร์ อาทิตย์ นู่น นี่ นั่น
ไปอ่านซีรี่ย์ปิ๊งหนุ่มคนนี้ได้ใน 2 บล็อคต้นเรื่องก่อนหน้านี้

ไม่ชอบเลยกับการไปปิ๊งหนุ่ม หมดเปลืองพลังงาน แถมหนุ่มน้อยฝรั่งที่ว่า ดั๊นแต่งงานแล้ว

กับ

ปีนี้มีหนุ่มมาเวียนเทียนด้วย แถมหนุ่มที่ว่า เพิ่งเจอกันบนรถใต้ดินแล้วชวนไปก็ไปซะด้วย


วันนี้
เป็นวันสุดท้ายที่เค้าจะมาทำงานเพราะจบโครงการแล้ว
วันนี้
เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าเค้าแล้ว
จะได้เจอรึเปล่าไม่รู้
แต่โชคก็เข้าข้างเรา
เมื่อพี่ล่าม(อายุเกือบเท่าแม่เรา)ที่ออฟฟิศเค้าบอกว่า
เค้าย้ายออฟฟิศมาอยู่ตรงนี้
เพราะคนอื่นกลับกันไปเกือบหมดแล้ว
เลยต้องมาอยู่รวมกันที่ห้องประชุมใหม่ก่อนจะกลับกันเกือบหมดในอาทิตย์นี้
ให้เราแกล้งเอาเอกสารมาสิ
ไม่งั้นก็แกล้งมาหา มาคุยกับพี่เค้าก็ได้
จะได้เจอหน้าน้องเค้าเป็นครั้งสุดท้าย(จริงๆ)

แต่เราก็ไม่ทำหรอก
เพราะถึงแม้จะได้เห็นหน้าน้องเค้าก็ไม่ได้คุย
เพราะฝรั่งยังอยู่ในห้องนั้นอีกครึ่งร้อย
จะคุยกับเค้าก็ดูจะให้ความสนใจเกิ๊น (ทั้ง ๆ ที่น้องเค้าก็แต่งงานแล้ว)

แต่ แต่ แต่
เรามองจากหน้าต่างออฟฟิศเรา
เราเห็นเค้าลงบันไดมาที่โรงอาหารคนเดียวพอดี
ป๊าด
งานนี้ ถ้าหลุดแล้วหลุดเลย ไม่มีรอบสองแน่นอน
รีบเลยชั้น
รีบแกล้งเนียนลงไปห้องอาหารอย่างไว
เลยได้มีโอกาสคุยกันยาว ๆ เกิน 1 นาทีกับเค้าสมใจซะที





ก็ถามเค้าว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วใช่มั้ย
ต้องกลับแล้วสิ
คิดถึงบ้านมั้ย
เค้าตอบ
ไม่คิดถึง
เวง
ไม่คิดถึงเมียไงวะ
เพราะเค้าต้องเดินทางบ่อยอยู่แล้ว
ไปทำระบบญี่ปุ่นเกือบทุกปี (ศูนย์ฝึกใหญ่ของโครงการอยู่ที่โน่น แต่ตัวเค้าอยู่ศูนย์ที่เมกานะ)
แล้วมีไปอิรักด้วย

มาครั้งนี้เป็นคำสั่งด่วนที่มาทำระบบในกรุงเทพ
เค้าไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเลย

มาถึงก็เที่ยวทุกคืน
ถ้าฟังไม่ผิด (เพราะมัวแต่มองตาและรอยยิ้มอยู่)
น้องบอกว่า
เที่ยวตั้งแต่เที่ยงคืน กลับตี 5 ทุกวันตลอด 1 เดือน
ถึงต้องมาซื้อกระทิงแดงกับกาแฟกินเพื่อให้อยู่ได้
โอ้วแม่เจ้า
แล้วน้องบอกว่าคืนนี้ก็จะไปอีก
พรุ่งนี้บิน 7 โมง จะได้นอนรวด 16 ชั่วโมงไปถึงที่ต่อเครื่องเลย
เราก็บอกว่า
เออ ก็ว่าอยู่ ที่เราได้คุยกันสั้น ๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
ที่ชั้นถามยูว่าทำไมตายูแดง ๆ น่ะ
ยูก็เขินไปเขินมาแล้วตอบว่าชั้นดื่มหนักไปหน่อย
เค้าก็งง
แล้วบอกว่าชั้นมีพูดแบบนั้นด้วยเหรอ
เราเคยคุยกันด้วยเหรอ
โอ้แม่เจ้า
วันนั้นนี่แกเมาจนจำไม่ได้เลยใช่มั้ยว่าเจอใครแล้วคุยกับใครบ้าง
แต่ละวันแกทำงานรู้เรื่องป่ะเนี่ย
แต่น้องก็บอกนะว่าทำงานทุกวันเลย เสาร์ อาทิตย์ก็ต้องทำ
และสงสัยก็คงต้องเที่ยวทุกวันด้วยเผื่อผ่อนคลายทุกคืน
กลับตี 5 นี่ไม่ไหวนะ แล้วเช้าตรู่ก็ต้องมาแล้ว
แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยังเด็ก 20 กว่าเอง (แล้วทำไมรีบแต่งงานเนี่ย)




น้องเป็นคนเดียวที่มาจากรัฐอื่นแล้วมาคนเดียว ไม่ได้มาเป็นกลุ่ม
คนอื่นเค้ามาจากที่เดียวกัน มากันเป็นกลุ่มหมดเลย
แต่ไม่เป็นไรหรอก
เพราะอิพวกเด็กอายุ 20 กว่ามันเข้ากันง่าย
ชอบเที่ยว ชอบหาสาวเหมือน ๆ กัน

เราก็แปลกใจว่าน้องลูกครึ่งเกาหลีแต่ทำไมพูดเกาหลีไม่ได้
น้องบอกว่า
แต่ก่อนที่แม่เค้าย้ายไปอยู่เมกาใหม่ ๆ ตอนเค้ายังเด็กเนี่ย
เค้าพูดและฟังได้นะอยู่เกาหลีถึง 5 ขวบแล้วไปเมกา
แต่หลัง ๆ แม่เค้าอยากฝึกภาษาอังกฤษ
เลยพูดอังกฤษกับลูก
ลูกก็เลยไม่ได้ภาษาเกาหลีเลย


เลยได้คุยกันประมาณนี้ (ไม่ประมาณนี้หรอก เท่านี้เลย เพราะเราจำได้ทุกคำพูด ทุกรอยยิ้ม อ๊าก)
อย่างน้อยเค้าก็ได้รู้ชื่อเรา
แล้วเราก็ได้รู้ชื่อเค้าจากปากของเค้า (แม้จะรู้ทั้งชื่อ นามสกุล ชื่อเมีย และน้องสาวจากความน่ากลัวของอินเตอร์เน็ทมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม)
แล้วพี่ฝรั่งที่เป็นหัวหน้าที่สนิทกับเราแล้วเค้าให้ชื่อ นามสกุลพ่อหนุ่มคนนี้มาตอนที่เราบอกพี่ฝรั่งคนนี้ว่าเราปิ๊งหนุ่มหน้าเอเชียคนนี้น่ะ
ฮีก็เดินผ่านมาตอนเราคุยกับน้องเค้าพอดี
แล้วฮีก็ขยิบตาแล้วส่ง sms มาบอกว่า lucky you (เราเพิ่งมารู้ตอนหลัง เพราะไม่ได้เอามือถือลงไปคุยกับน้องเค้าน่ะ แค่จะวิ่งลงมาให้ทัน "ความบังเอิญ" เจอกันก็เกือบจะไม่ทันน้องเค้าที่จะเข้าโรงอาหารไปแล้ว
หลังจากที่เราคุยกับน้องเค้าเสร็จแล้ว
เราก็ถามพี่เค้าว่า
ทำไมน้องเค้าแต่งงานแล้วถึงไม่ใส่แหวนล่ะ
เพราะฝรั่งเค้าถือมากเลยนะที่แต่งงานแล้วต้องใส่แหวน
เพราะฝรั่งที่นี่ทุกคนที่แต่งงานแล้วก็ใส่แหวนกันหมด
ฮีก็บอกว่า
ไอบอกยูแล้วว่าพวกนี้เนี่ยมันไม่ใช่คนดีหรอก
มาถึงเมืองไทยก็ถอดแหวนออกแล้วก็ go fishing สาว ๆ ตอนกลางคืน เมาหัวราน้ำทุกคืนเหมือนที่ไอบอกยูตั้งแต่วันแรกที่มาแล้วไง





แล้วตอนบ่าย
โชคดีมาก ๆ
จริง ๆ เค้ากินข้าว 11 โมง
กินแล้ว ไปแล้ว
แต่ตอนเกือบ ๆ บ่าย เค้าลงมาซื้อกระทิงแดง
เรากินข้าวกับพี่ล่ามอยู่พอดี
พี่ล่ามเค้าก็ชงให้
เพราะเค้าสั่งขนมมากินด้วย เลยได้นั่งคุยกันโต๊ะเดียวกัน
แล้วคุยได้ไม่นาน พี่ล่ามต้องขึ้นไปทำงาน
แต่วันนี้เราไม่ต้องรีบขึ้นทำงานคอมยังใช้ไม่ได้
เราเลยได้อยู่คุยกับน้องเค้า 2 ต่อ 2

ตอนพี่ล่ามอยู่
เค้าก็ถามว่ายูไปเที่ยวไหนในกรุงเทพบ้าง
เค้าบอกว่าไม่ได้ไปไหนเลย ทำงานทุกวันกับเที่ยวผับทุกคืน
แต่สถานที่เนี่ย ไปที่เดียวคือวัดไตรมิตร
แล้วพี่ล่ามก็ถามว่าแล้ววันนี้วันสุดท้ายเลิกงานแล้วไปเที่ยวไหน
เค้าก็บอกว่ายังไม่รู้เลย
อ้าว ก่อนหน้านี้แกบอกว่าจะไปเที่ยวให้เมาขึ้นเครื่องจะได้หลับ

แล้วพี่ล่ามก็ชงว่าน่าจะไปดินเนอร์กับเราที่...นะ ให้เราพาเที่ยว
เราก็รีบบอกพี่ล่ามเป็นภาษาไทยเลยว่า
ไม่เอาพี่
เค้าเหมือนเงาพระจันทร์น่ะ
มองไกล ๆ ก็สวย แต่จับต้องก็ไม่ได้
แค่ได้เห็นได้คุยอยู่ตรงหน้า
ใกล้ขนาดได้กลิ่นน้ำหอมของเค้า
แต่เรายังเอื้อมมือคว้าเค้ามาไม่ได้เลย
แค่นี้หนูก็ทรมานจะแย่แล้ว
ถ้าต้องไปเที่ยวด้วยกัน ได้รู้จักกันมากขึ้นแล้วเค้าบินกลับไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา
คนที่เจ็บปวดคือหนูนะ ไม่ใช่เค้า





ถามว่าอยากมั้ย
อยากสิ
แต่คุ้มมั้ย
ก็คงไม่แน่นอน

เราควรจะมีกลไกป้องกันความเจ็บปวดของเราด้วย
ไม่ใช่เลือกแต่สิ่งที่ถูกใจแต่ไม่ถูกต้องตลอดเวลา
แล้วเรารู้สึกว่าการได้คุยกับเค้า 2 รอบในวันนี้
มันเกิดความคาดหมายของเราไปมากแล้ว

ตอนแรกวันนี้วันสุดท้ายของเค้า
เราขอแค่เห็นหน้าน้องเค้าก่อนเค้ากลับพรุ่งนี้ก็พอ
แต่วันนี้ได้คุยกันตั้ง 2 รอบเป็นชั่วโมง
แค่นี้เราคิดว่าเราก็มาเกินความคาดหวังของเรามากแล้ว

ถ้ายิ่งไปดินเนอร์พาเค้าเที่ยวเย็นนี้และคืนนี้เหมือนหนังเรื่อง before sunrise ที่ไม่อยากให้ถึงเช้าอีกวันเพราะต้องจากกัน
พรุ่งนี้เราตายแน่นอน เรารู้เลยว่าเราต้องทำงานไม่ได้แน่เลย
ยิ่งเป็นคนมีความรู้สึกเยอะ ๆ อยู่
เราไม่ไว้ใจความรู้สึกตัวเอง

พี่เอ๋ นิ้วกลมเคยบอกว่า
เมื่อไหร่ที่เรารับความจริงได้
เราจะเจ็บปวดจากมันน้อยลง..





พอพี่ล่ามไป
เราก็คุยกันเกี่ยวกับอาชีพการงานที่เค้าทำ
เค้าทำเกี่ยวกับระบบคอมที่ได้เงินดีมาก
เพราะ 2 แสนคน จะมีคนทำได้แค่ 200 คนเท่านั้น
เพราะมันยาก มันต้องเรียนรู้เยอะ
แต่มันได้เงินดี ประมาณ 3 เท่าของเงินเดือนคนปกติ แล้วก็ก้าวหน้าเร็วมาก เค้าเลยทำ
แล้วก็เล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับงานของเค้า
เพราะตอนนี้เค้าอายุ 26 แต่เงินเดือนและก้าวหน้าเท่ากับคนอายุ 35-36 กระโดดเป็น 10 ปีเลย
แล้วเค้าก็ถามเราว่าอายุเท่าไหร่
เป็นการตอบอายุที่อึกอักที่สุดเลยเวลาตอบต่อหน้าหนุ่มที่ชอบแถมเค้ายังอายุน้อยกว่าเนี่ย
แต่ก็บอกไปว่า 30
เค้าบอกว่ายูหน้าเด็กมาก
ไอนึกว่ายูซัก 24 โอย อยากดึงหน้าเข้ามาหอมแก้มซะ 1 ฟอดใหญ่

แล้วเราก็ถามว่าซื้ออะไรให้ภรรยารึยัง
เค้าก็บอกว่าซื้อมุกให้ เพราะเค้าไม่ค่อยมีพวกนี้
ภรรยาเค้าเป็นคนน่ารัก
ติดเค้ามากเลย
แต่เค้าชินแล้วกับการเดินทางไปประเทศนู้น ประเทศนี้เลยไม่ได้ติดภรรยา
เพราะครอบครัวเค้า พ่อเค้าก็ต้องเดินทางบ่อย
เลยเคยชิน
แต่ครอบครัวภรรยาเค้ามาจากครอบครัวใหญ่
ภรรยาเลยติดเค้ามาก





แล้วเราถามต่อว่า
ทำไมแต่งงานแล้วทำไมไม่ใส่แหวนล่ะ
เค้าถึงกับมานั่งข้างเราแล้วพูดเบา ๆ ว่า
ยูรู้จัก wingman ที่เป็นแสลงมั้ย
ม่ายรู้จัก
wingman คือคล้าย ๆ ไม้กันหมาประมาณนั้น
เวลาหนุ่ม ๆ ไปเที่ยวเนี่ย (ซึ่งอย่างที่บอก พวกมันไปกันทุกคืน)
เวลาคนในกลุ่มปิ๊งสาวคนไหน
แล้วสาวเจ้ามีเพื่อน ๆ มา
wingman จะทำหน้าที่กันเพื่อนของ target เราออกไป
ให้เพื่อนเราเข้าไปทำความรู้จักกับสาวคนนั้นได้สะดวก
ทุกคืน
เค้ามักจะเป็น wingman แล้วถ้าสาว ๆ เห็นว่าเค้าใส่แหวน
สาวก็ไม่ยอมไปกับเค้า ไปในที่นี่ไม่ได้ไปไหน คืนไปคุยกันที่อื่นไรเงี้ย




น้องเค้าก็บอกว่าพวกหนุ่ม ๆ ที่มาเนี่ยก็อยากได้สาวทุกคืน
แล้วเค้าก็ได้ทุกคืนด้วย
ทำไมเมืองไทยผู้หญิงสนใจพวกเราเยอะมาก
อ้าว ก็ดูเมิงไปสิ มีแต่ผับแต่บาร์
แล้วกลับตี 5 ตื่นมาทำงาน 8 โมงติดต่อกันร่วมเดือน
เมิงไม่น็อคก็ไม่โชคดีแค่ไหนแล้ว


แล้วเค้าก็เล่าว่ามีอยู่คืนนึงเค้าไปผับแต่ละที่เหมือนทุกคืน
แล้วพอดีคืนนั้นเค้ามีกลุ่มพนักงานบริษัทมาเลี้ยงฉลองกัน
มีสาวเพียบ
เค้าเต้น ๆ อยู่ก็มีผู้ชายไทยคนนึงลากเค้าออกมาจากกลุ่ม
แล้วชวนไปนั่งท่ามกลางผู้หญิงไทย 12 คน
เค้าบอกว่าเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก
หาไม่ได้ในเมกาแน่นอน
(เห็นมั้ย หนุ่มที่ชั้นปิ๊งเค้าหน้าตาดีจริง ๆ)





แต่เค้าบอกว่า
ถ้าอยู่บ้านเนี่ย
เค้า healthy มากเลยนะ
ในตู้เย็นมีแต่ผักกับผลไม้สด แล้วก็เหล้าทุกชนิดยกเว้นเบียร์
เหล้าในตู้เย็นเค้าเยอะมาก ประมาณพันเหรียญนะที่อัดอยู่ในนั้น
แต่เค้าไม่กินเบียร์
เค้าไม่กินของมัน ของทอดเลยนะ
มิน่าหุ่นดีมาก
แล้วตัวเค้าหนา ล่ำบึ้กมาก
เค้าก็บอกว่าเค้าชอบยกเวทนะ
เค้าถามเราว่าเราชอบออกกำลังกายมั้ย เห็นเมื่อวานวิ่งกลับมาจากสวนลุม
เราก็บอกว่าไม่ชอบหรอก แต่อยากสุขภาพดี
เค้าบอกว่า
ชอบวิ่งเหมือนภรรยาเค้าเลย แต่เค้าไม่ชอบวิ่งเลย
เพราะการวิ่งทำให้ตัวเล็ก แต่เล่นเวททำให้ตัวใหญ่ ๆ หนา ๆ
เค้าไม่อยากสุขภาพดี แต่อยากดูดี
เออ
ตรงจริง ๆ
ตรงทั้งอยากได้เงินดี และอยากดูดี





ก่อนเราจะจากกัน
พี่ที่ออฟฟิศโทรตามพอดี
เราใช้ ringtone daylight ของ Maroon 5 น่ะ
โห
น้ำตาแทบจะไหล
เค้าจะบินกลับพรุ่งนี้เช้าตรู่พอดีเลยด้วย

This is way too hard, ‘cuz I know when the sun comes up I will leave
This is my last glance that will soon be memories

And when the daylight comes I’ll have to go
But, tonight I’m ‘gonna hold you so close
‘Cuz in the daylight, we’ll be on our own
But, tonight I need to hold you so close

ก่อนจากกันเค้าก็ถามคอนเฟิร์มอีกรอบว่า
ตกลงจะไม่ไปดินเนอร์กันจริง ๆ เหรอ
โห
ได้แต่เก็บก้อนอะไรไม่รู้ที่มันจุกขึ้นมาถึงคอแล้วตอบไปว่า
ไม่ไป
เดินทางปลอดภัยแล้วกัน
แล้วเราก็จากกัน โดยไม่มีอะไรที่จะทำให้เราสามารถติดต่อกันได้
เค้าคงอยากได้เพื่อนเที่ยววันสุดท้าย
แต่เราไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเค้าได้
เพราะเรารู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เราต้องเจ็บปวดมากกว่าแค่ลากันตรงนี้แน่ ๆ





แล้วเช้าวันถัดมา
คุยกับพี่ล่าม
พี่เค้าบอกว่า พี่ขอโทษด้วยที่ชงให้ คิดว่าวันสุดท้ายแล้วไง
ก็บอกว่าไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจพี่

แต่พี่เค้าก็บอกนะว่าก็ดีแล้วล่ะที่ปฏิเสธบ้าง
เพราะวัน ๆ เค้าไปแต่ผับ แต่บาร์ เจอแต่สาว ๆ ง่าย ๆ
ชวนไปไหนก็ไปหมด ok, say yes ตลอด
เค้ามาเจอเรา say no บ้าง เค้าจะได้ไม่เหมาว่าสาวไทยง่ายไปซะทุกคน

ก็เล่าให้พี่เค้าฟังว่า
เมื่อคืนหนูนอนไม่ค่อยหลับเลย
ยิ่งกว่าทุกคืน
เพราะหลับตาไปก็เห็นแต่หน้าเค้าที่คุยกันเป็นชั่วโมงทุกอิริยาบท
แล้วพรุ่งนี้ ก็จะไม่เห็นหน้าตาแบบนี้เดินสวนกันในออฟฟิศแล้ว
เหมือนโคจรมาพบกันชั่วคราว แล้วก็จากกันไป

แต่หนูคิดได้ว่า
ตอนนี้เค้าเหมือน snow globe
มันคือลูกแก้วหิมะที่เขย่าๆแล้วสวยๆ แบบในรูปน่ะ





เรารู้สึกว่าเค้าเหมือน snow globe เพราะว่า
ไอ้เจ้าลูกแก้วเนี่ย
มันจะสวยเมื่อเรามอง ณ ความไกลระดับนึง
แต่ถ้าเราเข้าไปใกล้มาก ๆ
เราจะยิ่งอยากได้ไอ้ของตกแต่งรวมถึงหิมะในนั้น
แต่เราก็คว้าเอาไปไม่ได้เพราะมีลูกแก้วกั้นอยู่

แล้วถึงเราอยากได้จริง ๆ จนต้องทำมันแตก
ไอ้ความสวยข้างในก่อนหน้านี้ก็จะหายไป
แล้วเราก็ต้องเตรียมรับสภาพความเละของแก้วแตกแล้วน้ำในนั้นก็จะไหลเลอะเทอะตัวเรา
ยังความเดือดร้อนมาให้เรา
แล้วเราก็จะได้เรียนรู้ว่า
ที่สุดแล้ว
ความสวยข้างใน มันไม่มีอยู่จริง
แล้วเราก็ลืมไปว่า
เจ้าลูกแก้วหิมะอันนี้ มันก็ไม่ใช่ของเราด้วย โฮ ๆ

(กลับมาอ่านอีกรอบ แอบทึ่งตัวเอง คิดได้ไงวะเนี่ย แต่กว่าจะได้ประโยคนี้ น้ำตาไหลไม่รู้กี่รอบ ฮา ๆ)





ตอนเย็นไปวิ่งสวนลุม
วิ่งเพื่อลืมเธอเย็นนี้
เป็นการวิ่งที่เร็วมาก
แป๊บเดียว 1 รอบแล้วเพราะฟุ้งซ่านมาก
เป็นการวิ่งที่ดราม่าที่สุดในชีวิต
นี่ยังไม่ทันข้ามถึงวันพรุ่งนี้เลยเราก็ดูจะอ่อนแอมากกว่าที่เราคิดนะ
อาจจะเป็นเพราะว่าได้คุยกับน้องเค้าเยอะด้วยมั้ง
จาก more than enough กลายเป็น can’t get enough แทน
ดีนะที่วิ่งกลับมาไม่เดินสวนกับน้องเค้าอีกรอบ


วันนี้เจอพี่ฝรั่งที่หาข้อมูลมาให้มาถามว่า
แล้วตกลงได้ถ่ายรูปกับฮีมั้ย
เราบอกว่า
ไม่เป็นไร
น้องเค้าแต่งงานแล้ว
ฮีก็บอกว่าคิดถูกแล้ว he's unavailable
เราก็บอกว่าอืม ไม่มีหวังเลย ไม่รู้จะเอาไปทำไม
เพราะยังไง ๆ หน้าน้องเค้าที่เราคุยกันร่วมชั่วโมงก็ติดอยู่ในใจเราอย่างแจ่มชัดไปแล้ว
รูปอาจจะหายไปจากเครื่องได้
แต่หน้าน้องในความทรงจำเราจะไม่มีวันหายไป





ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
เราอาจจะเป็นเสี้ยวนึงในเค้าทรงจำของเค้า
ที่อีกไม่นานก็จะเลือนลางไป

แต่สำหรับเรา
น้องเค้าเป็นจะเป็นความทรงจำที่แจ่มชัดและต้องใช้เวลาอีกแสนนานกว่าที่รอยยิ้มของน้องจะเจือจางไป

เราไม่ได้ขอข้อมูลช่องทางที่จะสามารถติดต่อเค้าได้เลย
คาดว่าถ้าขอเค้าก็คงให้ แต่คิดว่า
การที่เราสองคนได้เดินมาตัดกัน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ณ ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้
เราก็คงทำบุญร่วมกันมาอยู่แล้วล่ะ เพราะเหตุบังเอิญไม่มีในโลก

บางคนเจอกัน ไม่ได้เพื่อรู้จักกัน หรือบางคนเจอกัน เพื่อจะรู้จักกันผิวเผิน
บางที โอกาสที่จะทำความรู้จักกันนั้นมีเพียงโอกาสเดียว ถ้าเราไม่ฉวยมันไว้ มันก็ผ่านเลยไป
อย่างน้อยเราก็ได้ฉวยโอกาสนั้นไว้แม้จะไม่ทั้งหมดและรู้ว่ามันจะผ่านเลยไปแล้วอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาอีกเลยก็ตาม

ได้แต่หวังว่า
ถ้าเราได้ทำบุญร่วมกันและมีจิตผูกพันกันอีกจริง ๆ
ในอนาคต เราคงจะได้พบกันอีก (แต่ขอเป็นชาตินี้ที่เรายังสามารถจดจำเค้าได้นะ)

ถึงอยู่ไกลกันสักหมื่นลี้ หากมีวาสนาเราต้องได้กลับมาเจอกัน


เดินทางกลับบ้านปลอดภัยนะ พ่อหนุ่มน้อยหน้าหวานที่นำมาซึ่งพลังงานและความทรมานในเวลาเดียวกันตลอด 2 อาทิตย์
เป็น 2 อาทิตย์ที่ทำให้เราอยากมาทำงานในทุก ๆ วันเพื่อที่จะบังเอิญได้เจอหน้าเวลาเดินสวนกัน
เป็น 2 อาทิตย์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วและมีความหมายสำหรับเราเหลือเกิน


เฮ้อ
ทำไมพระจันทร์แรม 2 ค่ำเดือน 3 มันถึงได้เศร้าขนาดนี้นะ




ปล. เชื่อมั้ยว่าเราแทบไม่ค่อยอ่านบล็อคที่เราเขียนเสร็จซ้ำเลย
แต่บล็อคนี้ เรากลับมาอ่านมันซ้ำมาซ้ำไป วันละหลายรอบอยู่นั่นแหละ
ตลกเนอะ เราไม่สามารถหัวเราะกับเรื่องขำซ้ำ ๆ ได้
แต่เรากลับร้องไห้กับเรื่องเดิม ๆ ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

มีตอนต่อไปมาให้ด้วยนะ


น้องเค้าต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราแน่เลย ถึงทำให้เราลุ่มหลงไม่เลิกขนาดนี้

รวมถึง
มีดบาด...ไกลหัวใจ แต่ทำไมมันเจ็บไปถึงหัวใจ T-T



Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 18 กรกฎาคม 2558 18:49:58 น. 4 comments
Counter : 5856 Pageviews.

 
แวะมาทักทาย สู้ๆจ้า


โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:22:33:27 น.  

 
ผมบอกตรงๆว่าอ่านแล้วอินมากครับ...มันช่างเจ็บปวดจริงๆ
แล้วคุณก็เป็นคนไม่กี่คนที่ผมชอบอ่านบล็อค แล้วยังมาอัพเดตเสมอ ไม่ปล่อยให้ร้างไป

ขอบคุณมากจริงๆครับที่ยังอัพบล็อคเสมอๆ อ่านแล้วก็เหมือนทำให้เรามีกำลังใจทำอะไรในแต่ละวันๆ ทำให้เรารู้ว่ายังมีคนที่เค้าเจอปัญหา เจ็บปวดอีกมากมาย

ยังไงก็ขอให้ทำใจได้เร็วๆ แล้วอัพบล็อคต่อไปน่ะครับ เป็นกำลังใจให้ ^^


โดย: davidchung IP: 180.180.227.77 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:20:54:15 น.  

 
สู้ ๆ


โดย: naray14 วันที่: 1 มีนาคม 2556 เวลา:16:58:17 น.  

 
อ่านแล้วอินมากค่ะ
ลีลีจำได้ไหม ตัวเองเคยเขียนเม้าท์ว่าเคยแอบมองหนุ่มยุ่นตาตี่ หน้าตาดี บนบีทีเอส ^^
โนบุอ่านblog นี้แล้วจู่ๆก็คิดถึงเรื่องตอนนั้นขึ้นมาล่ะค่ะ
แต่หนุ่มคนนี้(blogนี้)เค้าแต่งงานแล้วใช่ไหม ถ้าโนบุเป็นลีลี โนบุก็คงวางท่าทีต่อเค้าแบบนั้นเหมือนกันค่ะ(แล้วเราค่อยมาแอบเศร้าทีหลัง เอิ๊กๆ^^)ก็เค้าแต่งงานแล้วนี่นา..มันก็คือจบอ่ะ แต่ว่าในเมื่อเราชอบเราก็วางตัวอยู่ในขอบเขตในลิมิตที่เหมาะสม ซึ่งโนบุชอบการตัดสินใจในแบบของลีลีมากค่ะ

เก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีนะคะ
ลีลีทำถูกแล้วนะโนบุว่า
สักวันลีลีจะเจอคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่ได้เองค่ะ
ผู้ชายคนนั้นก็คงกำลังเดินทางตามหาลีลีอยู่เช่นกัน
ตั้งใจรอเค้านะคะ

รักลีลีน๊า ^^


โดย: nobuta wo produce วันที่: 1 มีนาคม 2556 เวลา:21:10:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.