Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
29 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
Week แห่งข่าวดีที่มาพร้อมกับอาการไอขั้นรุนแรงไม่ได้นอนทั้งคืน (อีกแล้ว)

ถึงแม้ว่า week นี้จะได้ทำงานแค่ 3 วันหลังจากปิดเทอมไปซะเกือบ 10 วัน
เล่นเอาเปิดมาทำงานไม่เป็นเลย
แถมงานท่วมหัว แค่ตอบ email ทำงานส่งเมืองนอกก็หมดไปเป็นวันแล้ว

แต่ก็ยังได้รับข่าวดีมากถึง 2 ข่าวแน่ะ
ก็จะอะไรซะอีกล่ะสำหรับข่าวดีของเราน่ะ
นอกได้ได้ไปเที่ยวเมืองนอกฟรี
สิ่งที่เราตั้งใจร่วมสนุกกับคลื่นวิทยุอย่างจริงจังเกือบทุกเดือนถ้าเค้ามีให้ร่วมสนุก 555

คราวนี้เราได้ไป Switzerland ฟรี 7 วันกลางเดือนหน้า
ตกใจเหมือนกันเพราะไม่ได้หวังเลย
คลื่นนี้เล่นกับเค้ามาหลายปีดีดัก ไม่เคยได้ไปกับเค้าเล้ย
เพราะถึงเข้ารอบแรกก็ตกรอบ 2 ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายอยู่ดี
เพราะรอบแรกเค้าจะสุ่มหรือตอบคำถามหน้าไมค์ซึ่งมันไม่ยากมาก ถ้าเราฟังและดวงดีเค้าสุ่มเจอ
แต่รอบ 2 เนี่ย มีทั้งตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ ๆ เราจะไปบ้าง
จับผิดภาพบ้าง แข่งยกมือตอบบ้าง แต่ต้องมีการสัมภาษณ์ซึ่งเราคิดว่ามันไม่แฟร์
เพราะเค้าไม่ยอมบอกคะแนนรวม แล้วเราก็ไม่รู้คะแนนสัมภาษณ์ด้วย
แล้วอีกวัน 2 วันค่อยประกาศผลว่าใครได้
ซึ่งเราจะไม่รู้เลยว่าเราได้คะแนนแต่ละ part เท่าไหร่
คือจริง ๆ แล้วอาจจะตัดสินที่สัมภาษณ์ก็ได้ว่าเค้าชอบคนนี้ จะเอาคนนี้
แต่คนนี้ได้คะแนนข้อเขียนน้อยแต่จะเอาไปก็เอาไปได้ เพราะทุกคนก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนได้คะแนนส่วนไหนเท่าไหร่บ้าง
เค้าประกาศแต่คนที่ได้ไป 3-4 คนเท่านั้น

ไม่เหมือนบางคลื่นที่เค้าโปร่งใส
คือเล่นตอนนั้น คัดคล้าย ๆ เกมวัดดวงตัดไปเรื่อย ๆ
จนเหลือ 3-4 คนสุดท้ายที่เค้าจะเอาไป
คือเราสามารถรู้เลยว่าใครได้ไปบ้างภายในเย็นวันนั้นเลย
โดยส่วนมากจะไม่มีสัมภาษณ์นะ เล่นบางเกมความรู้บ้างแต่ก็เล่นกับการฉายสไลด์ยกขึ้นใครเร็วสุดอะไรเงี้ย
แบบว่าโปร่งใส คนที่ตกรอบสามารถนั่งดูได้ แล้วรู้เลยว่าใครได้ไปบ้างที่เหลือตามจำนวนคนที่เค้าให้ไป

แต่กับคราวนี้
ต้องขอบคุณสถานการณ์บ้านเมือง
ที่ตัดสินใจให้ทางคลื่นเลือกสุ่มเอาผู้โชคดีเลย
เพราะจริง ๆ แล้วเค้าจะสุ่มเอา 100 คนไปทำกิจกรรมที่สวนจตุจักรก่อน
แล้วค่อยเอา 10 คนที่ชนะวันนั้นไปมั้ง
แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้
การจัดกิจกรรมก็คงไม่เหมาะ เดี๋ยววิ่ง ๆ ไปสะดุดระเบิดก็คงแย่
แล้วมันก็หยุดมานาน ให้ไปทำกิจกรรมอีกก็คงยิ่งช้า
เพราะอีก 2 อาทิตย์จะไปแล้ว ทางทัวร์ก็ต้องเอาเอกสารไปขอวีซ่า
เพื่อวีซ่าบางคนต้องขอเอกสารเพิ่มอีก ฯลฯ

เท่าที่จำความได้
เราไม่เคยได้รางวัลจากจากสุ่มจับสลากเลยซักครั้ง
ส่วนใหญ่จะได้จากการต้องแข่งกิจกรรมแล้วชนะด้วยความสามารถ
หรือเล่นเกมวัดดวงที่ตัวเองเป็นคนเลือกมากกว่าที่คนอื่นมาเลือกเรามากกว่า
แต่ยังไงซะ
ข่าวนี้คงเป็นข่าวดีที่สุดในรอบปีของเราเลยทีเดียว

ส่วนข่าวดีเรื่องที่ 2 ของเราก็คือ
เราจะได้ไป conference ที่เกาหลีเดือน July ของออฟฟิศ
ก็ต้องขอบคุณสถานการณ์บ้านเมืองอีกนั่นแหละ
เพราะ conference ของ Asia Pacific นี้
เค้าจะให้ประเทศแถบ Asia Pacific โหวตว่าให้จัดประเทศไหนในแต่ละปี
แล้วประเทศไทยก็เป็นคนเหมาจัด conference นี้เกือบทุกปี
แหม
ก็เข้าใจนะว่าคนอื่นก็อยากมาเที่ยวประเทศเรา
ซึ่งปีนี้เค้าก็ลงมติจัดที่ไทยอีกนั่นแหละตั้งแต่ต้นปี
แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้
เค้าก็เลยเปลี่ยนประเทศกระทันหัน
หวยเลยไปตกที่เกาหลี

กรี๊ด
ดีใจจังได้ไปเหยียบเกาหลีกะเค้าซักที
หลังจากดูซีรี่ย์กับหนังเค้ามาหลายปีดีดัก แต่ไม่เคยไปซะที
เคยบ้ามาก ๆ ตอนดู Coffee Prince ว่าอยากไปตายรอย
บ้าขนาดจะไปลงคอร์สเรียนภาษาเกาหลีเลยทีเดียว
ดีนะตอนนี้ไม่ทำตามอารมณ์
ขนาดตอนนี้ได้ตั๋วไปเกาหลีฟรี 2 ใบแต่สุดท้ายก็ขายทิ้ง
เพราะมันต้องจ่ายค่ากินอยู่เอง มันก็ไม่คุ้ม
(อ๊ะ จำได้ละ ไอ้ตั๋วฟรีนี่เค้าก็สุ่มได้นี่หว่า แต่ต้องโทรไปขอเพลงหน้าไมค์แล้วเค้าเก็บชื่อเอาไว้แล้วสิ้นเดือนเค้าสุ่มโทรกลับที่ต้องรับภายใน 15 วินาที)

จริง ๆ หวยน่าจะไปตกที่ญี่ปุ่นนะ
เพราะตอนนี้อยากไปญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลี
ก็ไม่เข้าใจเล้ย ว่าพวก Asia Pacific ไม่มีใครอยากไปนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มัลดีฟ กันมั่งเหรอไงวะ
เล่นโหวตแต่ไทย ไม่ก็ฟิลิปินส์ เฮ้อ
คนไทยเลยต้องประชุมในประเทศตัวเองตลอด
พวกเราก็อยากไปประชุมต่างประเทศมั่งนะเฟ้ย

พอได้ข่าวดี 2 ชั้นมาก็เล่นไม่มีสมาธิทำงานเลย
เพราะในหัวมัวแต่คิดว่าจะแต่งตัวยังไงตอนไป Switzerland ดีในแต่ละวัน
เครื่องกันหนาวก็ยังไม่มีซักอย่าง
แถมกล้องก็กิ๊กก๊อกมาก ๆ เพราะซื้อกล้องพี่เคนมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
แบตแท้ แบตสำรองก็เสื่อมอีกต่างหาก
กล้องเราก็ไม่ค่อยได้ใช้
เพราะไปเที่ยวต่างจังหวัดหลัง ๆ มีเพื่อน ๆ น้อง ๆ ซื้อกล้องโปรแบกไปถ่าย
แล้วเราจะเอาไปทำไม
ได้รูปสวยกว่ากล้องกิ๊กก๊อกเราเป็นไหน ๆ
จะให้ยืมเค้าก็คงจะไม่ไหว
เพราะใครจะให้ยืมกล้องตัวละหลายหมื่น
แถมเราก็เล่นกล้องตัวใหญ่ไม่เป็นด้วย

แล้วที่สำคัญ
เราไม่ได้อยากเป็นคนถ่าย
แต่เราอยากถูกถ่ายมากกว่า
แล้วการจะให้เพื่อนร่วมทริปซึ่งเป็นหญิงล้วนแล้วเพิ่งรู้จักกันที่สนามบินมายกกล้องหนัก ๆ ถ่ายให้ตลอดทริปก็คงเป็นไปไม่ได้
แถมแต่ละคนคงมีเทคนิคการถ่ายกล้องตัวใหญ่กันแทบเป็น 0
เพราะขนาดเพื่อนผู้หญิงแต่ละคนเรา
ให้ลองยกกล้องตัวใหญ่ถ่ายให้เล่นเอาเครียดเลย
เพราะภาพมักจะมัว focus ผิดจุด
แล้วบางคนไม่รู้จักแม้จะทั่งต้องกดครึ่งชัตเตอร์เพื่อ focus ก่อนเล้ย
มาถึงก็ยกกล้องกดถ่ายเลย
จะบ้าตาย

กำลังลุ้นอยู่เหมือนกันว่าการได้ไปเมืองนอกครั้งนี้ต้องเจอโชคร้ายอะไรรึเปล่า
เพราะไปฝรั่งเศสตอนใต้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ก็เอาหน้าผากตัวเองไปเฉาะกับประตูรถชาวบ้านเย็บไป 10 เข็มกลางหน้าผากก่อนไปทริปแค่อาทิตย์กว่า
เราเล่าไปแล้วในบล็อคนี้

แต่คราวนี้รู้สึกว่าจะได้โชค(ร้าย)มาอีกแล้ว
เพราะตอนนี้เราเจ็บคอมากถึงมากที่สุด
ส่วนนึงก็มาจากการซ้อมอัด spot ที่เราได้ไปทริปครั้งนี้เพื่อเอาไปออกอากาศ
ซึ่งเราเป็นคนนิสัยเสียอย่างนึงคือ
เวลาอัดเสียงพวกนี้ เราจะดัดเสียงให้มันดูดีนิดนึง
แล้วเราต้องใช้ลมเข้าคอเยอะมาก
แล้วเราซ้อมพูด spot 30 วินาทีนี้หลาย 10 ครั้ง
เล่นเอาคอแห้งผาก คันคอไปหมดเลย

นอนคืนนั้นเลยแทบนอนไม่ได้เลย
เพราะคันคอมาก ไอทั้งคืน ตาโหลไปทำงานเลย
ไอ้หลอดลมอักเสบที่มันทรมานแค่ไหน
ลองกลับไปบล็อคเก่าเราดูได้
เพราะเราเคยเป็นมาก่อนเมื่อปี 2 ปีที่แล้ว
คราวนั้นเป็นประมาณ 3 เดือนได้ เล่นเอาเครียดจนเลิกเครียดไปเลย

อาการเดิม repeat เลย
คือไอทั้งคืน ก็จิบน้ำที่เตรียมไว้ข้างเตียงทั้งคืน ก็เข้าห้องน้ำทั้งคืนเหมือนกัน
แล้วเราเป็นคนที่ถ้าตื่นแล้วจะหลับยากมาก
พอจะหลับก็ไอ พอไอก็จิบน้ำ พอจิบน้ำเสร็จจะหลับ ๆ ก็ปวดฉี่
วงจรอุบาทว์นี้อยู่กับเรามา 3 คืน
จนเราทนไม่ไหวต้องไปหาหมอ
หมอก็ตรวจแล้วบอกว่าคอแดง แล้วก็บอกอย่างเดิมเหมือน 2 ปีก่อนคือหลอดลมอักเสบ
แล้วจ่ายยาฆ่าเชื้อกับยาแก้ไอมาให้กันติดต่อกันจนหมด
แล้วก็จับฉีดยาที่สะโพก


แต่คราวนี้ดีหน่อยนะที่ไม่ถึงกับกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ
แล้วก็ไม่ได้พูดคำนึง ไอ 3 คำ แต่เสียงแหบแสบคอไปหมด

แต่การเป็นครั้งที่ 2 นี้ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างนะ
เช่นอาการไอเนี่ย
เราได้เรียนรู้ว่า
เวลาจะไอเนี่ย ให้เกร็งหน้าท้องก่อนจะไอมันจะได้ไม่เจ็บซี่โครง
ถ้าเอะอะไอเลยมันจะไปกระแทกซี่โครงทำให้เจ็บ
ถ้าเจ็บซี่โครงแล้วเนี่ย
แค่หายใจเข้า-ออกมันยังเจ็บเลย ทรมานมาก
แต่คราวนี้ไม่เป็นแล้ว

แล้วก็ได้เรียนรู้ที่จะเลือกยาน้ำแก้ไอที่เหมาะกับตัวเอง
เพราะเมื่อเป็นคราวก่อนเนี่ย
เหมามาหมดทุกยี่ห้อไอ้ยาน้ำแก้ไอที่เค้าขาย ๆ กันเป็น 10 ยี่ห้อ
กินมาหมด
แล้วก็ได้รู้ว่ายาน้ำแก้ไอที่เหมาะกับเราคือ "ยาน้ำแก้ไอมะแว้ง บ้านอโรคยา" เท่านั้น
เป็นยาน้ำแก้ไอที่รสแย่ที่สุดในทุกตัว
แต่กินแล้วชุ่มคอสุด หายคันคอได้เร็วสุด
แต่ตอนนี้เราหาซื้อไม่ได้แล้ว
เพราะร้านที่ซื้อประจำบอกว่าขายยาก กว่าจะขายหมดก็คือเรานี่เหลือไปซื้อตั้งแต่เค้าเหลือ 2-3 ขวด แล้วก็เป็นเรานี่แหละที่ซื้อขวดสุดท้ายที่เค้าตั้งอยู่มาครึ่งปี


ไปหาหมอครั้งนี้ก็ฉลาดขึ้น
แอบขอยานอนหลับหมอมาด้วย
ไม่งั้นตายแน่ ๆ ไม่ได้นอนมา 3 คืนแล้ว
ถึงแม้ว่าประกันจะไม่ cover ยานี้ก็เหอะ
ยอมจ่ายเอง เพราะซื้อยานอนหลับร้านขายยาไม่ได้นี่นา
แล้ว hidden agenda ของเราขอยานอนหลับของเราก็คือ
เราจะเอาไปกินบนเครื่องตอนไป-กลับ
เพราะไปยุโรปครั้งที่แล้วเรา suffer มาก
นอนหลับไม่สนิทเลยตลอดการบิน 11 ชั่วโมง
หลับไปได้แป๊บนึงถูกปลุกมากินข้าว
กว่าจะหลับได้อีกก็เป็นชั่วโมง
พอหลับได้อีก 3-4 ชั่วโมงก็ถูกปลุกมากินข้าวอีกแล้ว

เราเป็นคนที่นอนไม่พอไม่ได้นะ
เพราะเราเป็นภูมิแพ้
พอนอนไม่พอน้ำมูกก็เริ่มไหล
เริ่มคันตา อยากนอน ไร้ซึ่ง energy ไม่ร่าเริงเหมือนที่เคยเป็น
อยากนอนแต่นอนไม่หลับ
เป็นอะไรที่ทรมานมาก

บินคราวที่แล้ว
ตอนไปยังไม่เท่าไหร่นะ
แต่ตอนกลับเนี่ยสิ
suffer กว่าอีก
เพราะเรากินแต่ขนมปังอบ ๆ กรอบ ๆ
แล้วเราร้อนในอ่ะ
กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอไปหมดเลย
ไฟลท์บินกลับเลยต้องขอน้ำจากแอร์จิบตลอดเลย
ขอแบบว่า
ตอนเค้ามาเสิร์ฟเราขอน้ำเค้าขวดนึง
แล้วก็แกะดื่มรวดเดียวหมดขวด
เค้ายังเสิร์ฟแถวเราไม่หมด เราก็ขออีกขวดแล้ว

หลัง ๆ เค้าก็จะรู้แล้ว
เวลามาเสิร์ฟน้ำเราก็จะให้มาเพิ่มอีก 2 ขวด
เพราะอีนี่กดของน้ำเปล่าเค้าเกือบทุกชั่วโมง
ก็เกรงใจนะ แต่เจ็บและคันคอเกินกว่าจะทน
แล้วก็เข้าห้องน้ำบ่อยมาก เลยต้องขอแลกที่นั่งกับพี่ที่นั่งติดกับทางเดิน
เพื่อจะได้ไม่กวนเค้าเวลาอยากเข้าห้องน้ำ

อยู่บนเครื่องหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน
คอก็เจ็บ
แล้วพวกผู้โดยสารอ่ะ
เวลาเดินไปเข้าห้องน้ำข้างหลังอ่ะ
เดินกันกระแทกมาก
เค้าคงไม่รู้สึกหรอกเพราะเดินมาจากข้างหน้ามาเข้าห้องน้ำข้างหลัง
แต่เราอ่ะรู้สึกเวลาเค้าเดินผ่านเบาะเราเวลาเรากำลังหลับอ่ะ
มันจะกระแทบตึง ๆ เกาอี้สั่นเลย
ไม่รู้จะโทษเก้าอี้หรือการเดินกระแทกของเค้าดี

เพราะเวลาเราเดินไปเข้าห้องน้ำเราจะพอรู้แล้วไง
ก็จะเดินแบบย่องเบาที่สุด แล้วเดินแบบกระเถิบข้าง ๆ เหมือนเดินเลียบกำแพงเอา
เพราะถ้าเดินหน้าตรงมันจะทางแคบมากแล้วมันจะต้องเดินกระแทกเท้าน่ะ
สงสารคนที่ได้ที่นั่งหน้าห้องน้ำมากเลยอ่ะ
แสงกับเสียงห้องน้ำคงแยงตาทำให้นอนไม่หลับตลอดไฟลท์ 11 ชั่วโมงเลย


หวังว่าการไปทริปครั้งนี้คงจะเตรียมอะไรต่อมิอะไรพร้อมกว่าครั้งที่แล้ว
แล้วคงเตรียมยาไปให้เพื่อทุกโรคที่จะเกิดขึ้นเลยล่ะ

พอได้รางวัลครั้งนี้นะ
แว้ปแรกที่นึกถึงนะ
เรานึกถึงคำพูดของแฟนพี่ที่ทำงานเก่าเราเลย
เค้าบอกว่าให้พยายามไปเถอะจนกว่าจะสำเร็จ
เค้าเปรียบเทียบกับการทอยเหรียญน่ะ
พี่เค้าบอกว่า
เราทอยเหรียญหัวก้อยเนี่ย
chance ที่เหรียญจะออกหัวหรือก้อยจากการทอยเหรียญ 10 ครั้งมันไม่ใช่ 50:50 นะ
เพราะการที่จะได้ความน่าจะเป็น 50:50 เนี่ย
เค้าจะต้องทอยกันเป็นหมื่น ๆ ครั้ง
ถ้าเราทอย 10 ครั้งเนี่ย
โอกาสมันอาจจะเหลือแค่ 90:10 หรือ 80:20 เท่านั้น
แล้วพี่เค้าก็ลองทอยให้ดู
จริงด้วย
โอกาสออกหัวแค่ 2 ใน 10 ครั้งเท่านั้น

มันก็เหมือนกับการแข่งเกมหรือเสี่ยงโชคนั่นแหละ
ไม่ใช่ว่าโอกาสได้กับไม่ได้จะอยู่ที่ 50:50 นะ
บางครั้งมันอาจจะอยู่ที่ 90:10 หรือ 99:1 ก็ได้

คือเวลาเราเล่าเรื่องที่เราโชคดีให้คนที่ไม่ได้เคยเล่นอะไรแบบนี้น่ะ
เค้าก็จะบอกว่าหูย โชคดีจัง
แต่เค้าไม่ได้มารู้หรอกว่ากว่าเราจะโชคดีซักครั้งเนี่ย
เราพยายามมากแค่ไหน ลงทุนมากแค่ไหน
เราไม่ได้เล่นครั้งเดียวแล้วได้นะ
เราเล่นเกือบทุกเดือน
แล้วการที่จะผ่านเข้ารอบแรกเนี่ย
เราก็ต้องจดจ้อง เฝ้ารอ รอร่วมสนุก รอส่ง sms รอโทรเข้าไปให้ติดหน้าไมค์เป็นคนแรก
บางครั้งโทรติดคนแรกหรือเค้าสุ่ม sms มาเจอแต่เราตอบคำถามผิดก็ต้องเริ่มกันใหม่อีก
บางครั้งโทรกี่รอบก็ไม่ติด หรือส่ง sms เค้าก็ไม่สุ่มซะที
เราก็ต้องตั้งนาฬิกาปลุกไปเล่นรอบตี 3 ที่คนเค้าเล่นน้อย ๆ จะได้มีโอกาสที่เค้าจะสุ่มหรือโทรติดง่ายกว่า

ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ได้อะไรได้มาง่าย ๆ หรอก
เหมือนที่เราอ่านหนังสือของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี วาทยกรชาวไทยที่มีชื่อเสียงในระดับโลก
ที่เราอ่านหนังสือของเค้าทุกเล่มนะ
อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจมาก ๆ
เราอ่านหนังสือเรื่อง กฎแห่งความโชคดี แล้วเห็นว่าจริงเลย
คนที่คิดว่าเค้าโชคดีเนี่ย
แสดงว่าไม่ได้รู้เบื้องหลังที่เค้าประสบความสำเร็จขนาดนี้
มันไม่ใช่แค่โชคอย่างเดียวนะ
เค้าต้องพยายามและเตรียมตัวพร้อมทุกสถานการณ์และก็ต้องรู้จัก connection ด้วย

ขนาดคนที่เค้าส่งพวกฉลากชิงโชค เค้ายังต้องลงทุนเลย
แต่ก็เชื่อว่าของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับดวงด้วย
อย่างของเพื่อนเราเนี่ย
ที่ได้ไปทริปออสเตรีย ฮังการี่ เช็คกับคลื่อน 103 Virgin Soft ที่ปิดตัวไปแล้วเนี่ย เราอึ้งมาก
เค้าไม่เคยเล่นอะไรพวกนี้เลยนะ
เค้าตกรอบจากอีกคลื่น
เราก็เลยแนะนำให้เค้าลองเล่นกับคลื่นนี้
เค้าโทรครั้งเดียวติดเลย
เข้ารอบ 2 ก็ไปสัมภาษณ์แล้วก็ได้ไปเลย
นั่นมันคงเป็นดวงของเค้าจริง ๆ
แต่น้อยคนนะที่จะได้แบบนี้


แต่ก็เอาเหอะ
เล่าเรื่องดีกับไม่ดีมาซะยืดยาว
ยังไงซะเราก็จะ enjoy กับทริปนี้ให้ถึงที่สุด
เราเคยอ่านหนังสือ "โตเกียวไม่มีขา" ของพี่เอ๋ นิ้วกลม (ซึ่งทำให้เราชอบเค้าและก็ได้รู้สึกสำนักพิมพ์ A Book มาตั้งแต่ตอนนั้น)
มีคนเขียนบอกนิ้วกลมว่า
"เที่ยวตอนที่เรายังเด็ก มันสนุกกว่าอะไรทั้งนั้น เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ"

แล้วก็อ่านเรื่อง "หน่อไม้" เค้าก็บอกว่า
การเที่ยวมี 2 ประเภท
การเดินทาง ทำให้เราเติบโต
การท่องเที่ยว ทำให้เราเยาว์วัย

ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น
หนูดีเคยบอกว่า
สารแห่งความสุขมันไม่ได้หลั่งตอนเราไปเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้นนะ
มันหลั่งตั้งแต่ก่อนเราไปเที่ยวแล้ว
มันหลั่งตั้งแต่เราเริ่มคิดถึงแผนการเดินทาง
คิดถึงการเตรียมตัวเดินทาง จัดของ แพ็คกระเป๋าแล้ว
ดังนั้น
2 อาทิตย์ก่อนทริปนี้
เราจะมีความสุขทุกวัน (แต่ก็แอบเครียดทุกวันเพราะเครื่องกันหนาวโน่น นี่ นั่นก็ยังไม่ได้ซื้อ)
แต่มันคงน้อยกว่าความสุขที่จะได้ไปเที่ยวครั้งนี้ล่ะนะ


แล้วจะรู้กัน
ว่าเราจะเติบโตหรือเยาว์วัย

แต่เราคิดว่าการไปกับทัวร์ เราคงเติบโตได้น้อยกว่าการทำให้เราเด็กลงนะ
ก็เรายังเด็กอยู่นี่เนอะ เที่ยวตอนอายุเท่านี้มันคงจะสนุกกว่าอะไรทั้งนั้น


แค่เขียนลงบล็อคก็ตื่นเต้นมีความสุขแล้ว
กายพร้อม ใจพร้อม วันลา approved
Let's go!!!!
เย้!



ปล. ตลกมั้ย เราที่เราเขียนอะไรยืดยาวเนี่ย เราต้องร่างในกระดาษก่อนเสมอเลย แล้วเวลาร่างเนี่ย จะลิสเป็น point ไม่ได้นะ แต่เขียนยืดยาวเหมือนไดอารี่แล้วค่อยมาถ่ายทอดพิมพ์ลงบล็อคอีกทีนึงเหมือนนักเขียนสมัยก่อน เหมือนกับว่าถ้าไม่ได้จับดินสอหรือปากกามันจะเขียนไม่ออก
แต่ก็จริงนะ เวลาเราวางมือลงบน keyboard เราจะเริ่มต้นไม่ถูก เขียนไม่ออกจนกว่าจะได้เขียนลงกระดาษก่อน





เดี๋ยวเรื่องหน้าวางไว้ละว่าจะเขียนหนังญี่ปุ่นเรื่อง About Love ที่นางเอกเป็นคนญี่ปุ่นกับพระเอกเป็นคนจีน (คนเดียวกับเรื่อง Waiting in the dark ที่เราเคยเขียนไว้ในบล็อคก่อนแล้ว แต่เรายังดูไม่จบหรอกนะ เพราะฤทธิ์ยาแก้ไอ + ยานอนหลับที่ลองกินดูก่อน
แต่ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ดูแค่ 10 นาทีแรกแล้ว ดูสิ ขนาดดูแค่ 10 นาทีแรกแล้วก็ pause มาจดยุกยิกยืดยาวได้ขนาดนี้แล้ว ถ้าดูจบจะเวิ่นเว้อขนาดไหนกันนะ ไว้มาดูกัน








Create Date : 29 พฤษภาคม 2553
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 17:23:24 น. 1 comments
Counter : 2210 Pageviews.

 
ทักทายตอนเย็นๆ จ้า ทานข้าวให้อร่อยนะคะ ^_^


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 29 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:58:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.