การที่จะบอกพวกผู้ชายในออฟฟิศให้รักษาความสะอาดเนี่ย ไม่คนบอกเหนื่อยที่จะพูด คนฟังก็เหนื่อยที่จะฟังกันไปข้างนึงสินะ
ก็อย่างที่จั่วหัวไว้นั่นแหละ คือที่ออฟฟิศเล็กแต่ละแผนกของเราไม่มีแม่บ้าน จะมีจ้างคนมาทำความสะอาดมาอาทิตย์ละครั้ง พี่เค้าก็แค่ปัดกวาด เช็ด ถู ล้างห้องน้ำให้ แต่ที่เหลือคือเราทำกันเอง ไอ้ที่เหลือหลัก ๆ เนี่ยก็คือการล้างแก้ว ล้างจานของส่วนตัวของตัวเองที่ใช้กันทุกวัน เหตุมันเกิดตรงนี้คือ เราไปหาพี่ผู้หญิงที่สนิทกันอีกแผนกนึง แล้วแผนกนี้ผู้ชายเยอะ (แอะ ไม่ได้ไปเพราะผู้ชายนะ เพราะแต่ละคนแต่งงานแล้วทั้งน้าน) ไปทีไรก็เม้า ๆ อยู่ตรงโต๊ะพี่ผู้หญิงที่สนิท แล้วมีเช้าวันนึง พี่เค้าดันไปอยู่ในครัวก็เลยไปคุยเล่นในครัว แล้วทีนี้ มีพี่ผู้ชายคนนึงเค้าเอากับข้าวมาอุ่นในครัว เป็นแกงอะไรซักอย่าง เค้าก็เทใส่ชาม แล้วก็เอาเข้าไมโครเวฟเลยโดยไม่ได้ครอบอะไรทั้งนั้น ผ่านไปไม่กี่วินาที เป็นยังไงล่ะทีนี้ มันก็เดือนปุด ๆ แกงก็กระจายเต็มไมโครเวฟน่ะสิ
แล้วคิดเหรอว่าผู้หญิงปากไวและรักความสะอาดอย่างสุด ๆ อย่างเราจะอยู่เฉย เราก็เริ่มเลยว่าทำไมพี่เอาแกงเข้าไปอุ่นแล้วไม่เอาฝาครอบเข้าไปครอบล่ะ ทำงี้แกงมันก็เลอะเทอะเต็มไมโครเวฟสิ คราวนี้พี่แกก็ปิดเวฟ แล้วเอาฝาที่เข้าไปครอบแล้วอุ่นต่อ คราวนี้แกงมันก็ปุด ๆ กระจายเต็มฝาครอบถูกมั้ย
พออุ่นเสร็จ พี่แก็เอาชามออกมาเดินไปกินที่โต๊ะทำงานตัวเองซะอย่างงั้น เราก็บอกว่าเฮ้ย พี่คะ แล้วไม่คิดจะล้างไอ้ฝาครอบแล้วเช็ดไมโครเวฟที่มันเปื้อนแกงของพี่หน่อยเหรอคะ แล้วคนที่เค้ามาใช้ต่อทำไงอ่ะคะ
พี่แกก็เริ่มไม่พอใจถามกลับมาว่า ออฟฟิศตัวเองเหรอไง แต่ก็ยังดีที่พี่เค้าเอาฝาครอบไปล้างตามที่เราบอกนะ เพราะเราก็พูดแบบสงสัย ไม่ได้วีน ไม่ได้เหวี่ยง แนวขำ ๆ แล้วก็สุภาพ เพราะรู้สึกว่ามันเป็น common sense จิตสำนึกของคนที่ใช้ของร่วมกันพึงมีน่ะนะ แล้วพี่เค้าก็กำลังถือกับข้าวออกไปจากครัว
แล้วเราก็ถามต่อว่า อ้าว พี่คะ แล้วไมโครเวฟที่เปื้อนแกงพี่ล่ะคะ ไม่เช็ดเหรอคะ พี่ผู้หญิงที่อยู่กับเราแกก็ขำนะ คงเห็นเราไปเจ้ากี้เจ้าการพี่ที่ออฟฟิศเค้า ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้มาใช้ครัวนี้ พี่เค้าก็เลยต้องทำตาม แต่ขอโทษ พี่แกใช้ผ้าแห้งเข้าไปเช็ด คิดได้ไงเนี่ย อยู่บ้านเมียไม่สอนเหรอไงวะ หรือทำแบบนี้ตลอดให้เมียตามล้างตามเช็ดตลอด (อันนี้แอบคิดในใจ) ก็บอกพี่เค้าว่า พี่ต้องชุบน้ำสิคะ ไม่งั้นแกงพี่จะออกได้งั้นยัง พี่แกก็คงเหลืออดกับเราแล้วมั้ง แต่ก็ทำตามให้มันเสร็จ ๆ ไป เพราะทำตามยัยน้องนี่มาหลายขั้นตอนแล้ว เหลือชั้นตอนสุดท้ายละ
พี่แกทำยังไงรู้มั้ย เอาผ้าไปซักน้ำ บิดหมาด ๆ แล้วก็สะบัดคลี่มันลงพื้นครัว!
แล้วก็เอาไปเช็ดไมโครเวฟแล้วก็ทิ้งผ้านั่นพาดไว้ตรงซิงค์แล้วเดินถืออาหารออกไปเลย โดยไม่รอให้เราบ่นแล้ว แต่ แต่ แต่ ทำไมไม่มีจิตสำนึกเลยว่าพื้นครัวมันก็เต็มไปด้วยน้ำที่พี่แกสะบัดเมื่อกี๊น่ะสิ พี่ผู้หญิงเค้าก็ทนไม่ได้ ต้องไปเอาไม้ม็อบมาถูอีกรอบ
เราที่เดือดปุด ๆ แทนพี่ผู้หญิงที่เราสนิทเลย เหมือนเค้าทำอย่างนึง แล้วต้องให้เรามาตามล้างตามเช็ดอีกอย่างนึงน่ะ เราก็บอกว่า ออฟฟิศนี้ไม่มีใครบอกพี่เค้าเหรอไงว่าต้องทำความสะอาดของใช้ส่วนรวมด้วย ไม่มีจิตสำนึกกันเลยแฮะ
พี่เค้าก็บอกว่า บอกแล้ว บอกปากเปียกปากแฉะจนเลิกบอกไปแล้ว เพราะบอกไปก็ทำตามทีนึง อีกวันก็ทำอย่างเดิมอีก พี่เค้าก็ต้องมาคอยเช็ดทำความสะอาดเอง เหมือนใครทนได้ก็ไม่ต้องทำ ใครทนความสกปรกไม่ได้คนนั้นก็เป็นคนทำ เพราะคนที่เค้าทำสกปรก เค้าอยู่ได้ไม่เดือดร้อน ใครเดือดร้อนก็ทำไปแล้วกัน ประมาณนั้น ยังดีนะที่ห้องน้ำในออฟฟิศแยกชาย หญิง ไม่งั้น คาดว่าพี่ชั้นต้องไปล้างห้องน้ำเช้า เย็นแน่นอน เรานี่ฟังแล้วเซ็งเลยทีเดียว
เราเข้าใจเลยว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเนี่ย เค้าจะมีความ "หยวน ๆ" เยอะมากกว่าผู้หญิงโสดอย่างเราเยอะ เพราะที่บ้าน สามีแต่ละคนก็มีนิสัยมักง่าย ชุ่ย ๆ สกปรก เลอะเทอะแบบนี้เหมือนกันหมด บ้านใครรวย มีคนใช้ก็ดีไป ไม่ต้องมาอารมณ์เสีย ส่วนบ้านใครไม่มี คนเป็นเมียก็ต้องทำใจยอมรับกันไป เพราะคาดว่าคงมีบ่น แต่บ่นแล้วไม่ทำมากเข้า ก็เลิกบ่นแล้วทำเองท่าทางจะเสียเวลาและอารมณ์น้อยกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่และไม่ใช่เฉพาะกับคนไทย เราอ่านบทความจากเมืองนอกก็มีผู้ชายประเภทนี้เยอะแยะเต็มไปหมด มี how to ต่าง ๆ สำหรับภรรยาในการจัดการกับสามีประเภทนี้เพียบไปหมด และก็มีบทความเกี่ยวกับผู้ชายที่ควรจะช่วยภรรยาทำงานบ้านจนอ่านไม่ไหว คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับคู่ใคร คู่มันแล้วล่ะว่าจะจัดการกับปัญหาเรื่องงานบ้านกันยังไง เหมือนจะเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่สามารถทำให้ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นได้เลยทีเดียวถ้ามันสั่งสมมานานจนเลยที่จะปรับกันแล้ว
ที่ออฟฟิศเราก็มีนะ แต่เป็นเพื่อนร่วมงานฝรั่งผู้ชายที่สนิทกัน มันก็อย่างเนี้ย ไม่เช็ด ไม่ล้างอะไรทั้งนั้น ถ้าเป็นของส่วนตัว เราโอเคนะ แต่จาน ชาม ช้อน ส้อมที่ใช้ร่วมกันเนี่ย เราขยะแขยงมาก ก่อนใช้เราต้องมาล้างใหม่ ลวกใหม่กันเลยทีเดียว เพราะพี่แกกินเสร็จ ไม่ล้างนะจ๊ะ กองไว้ตรงนั้น แต่ก่อนลูกน้องแกที่เป็นพี่ผู้หญิงจะหยวน ๆ ล้างให้เพราะเป็นนาย ตอนนี้ไม่มีลูกน้อง ต้องล้างเอง เห็นล้างได้สกปรกมาก คือไม่ใช้น้ำยาล้างจานด้วยนะ ล้างก็ลวก ๆ ตามประสาผู้ชาย อันนี้คือของส่วนรวมนะ แต่อย่างแก้วน้ำส่วนตัวน่ะเหรอ ไม่อยากจะเม้า คือพี่แกขี้เกียจล้างน่ะ กินเสร็จเย็นนั้นก็เอาไปแช่ไว้ในตู้เย็น เช้าอีกวันก็เอามากินต่อไปเรื่อย ๆ แบบนั้นน่ะ
อ้อ พูดถึงตู้เย็น เซ็งมากกะแกเหมือนกัน ของพี่แกเต็มตู้เย็นไปหมด แล้วเวลาพี่แกแช่ของ พี่แกไม่ wrap อะไรเลยนะ ล่าสุด แช่จานส้มตำทั้งอย่างนั้นน่ะ ไม่ห่ออะไรเลย ทั้ง ๆ ที่พวกเราก็ซื้อ M Wrap มาไว้ให้ทุกคนได้ใช้นะ ใช่ว่าเค้าจะไม่รู้ แต่ด้วยความขี้เกียจไง ขี้เกียจทุกอย่าง แช่มันทั้งอย่างนั้น กลิ่นหึ่งทั้งตู้เย็นเลย ตั้งแต่ช่องแช่แข็งข้างบนยันลิ้นชักแช่ผักล่างสุด แล้วผลไม้ สลัด หรือช็อคโกแลตของทุกคนในออฟฟิศ กลายเป็นกลิ่นส้มตำเผ็ดมากของพี่แกหมดเลย ชุ่ยแค่ไหนคิดดูแล้วกัน แถมอีกเรื่องในตู้เย็น บางครั้งวันเกิดคนในออฟฟิศก็จะมีซื้อเค้กมากินใช่มั้ย เค้าก็ตัดแบ่งกัน แล้วพี่แกก็อยากกินอีก ก็ไปเปิดเค้กมาตัด แต่ไม่ปิดใส่กล่องหรือ wrap เก็บไว้อย่างที่พวกเราเก็บน่ะ ใส่เค้กสด ๆ เข้าไปในตู้เย็นซะอย่างงั้น คนอื่นก็มากินต่อไม่ได้แล้วสิ เพราะเนื้อเค้กแข็งไปหมดแล้วน่ะ
แล้วอย่างพวกขนมฟัง พัฟ หรือผลไม้ของพี่ซื้อมากินนะ กินไม่หมดแล้วแช่แบบเนี้ย มันก็แข็งหมดอ่ะเนอะ แล้วแย่กว่านั้นคือ พี่แกเอามากินกัดคำนึงแล้วแช่ต่อ เราเปิดตู้เย็นออกมา ไม่สงสัยเลยว่าแอ๊ปเปิ้ลหรือขนมปังใครวะเป็นรอยกัดมากเลย เราว่าอันนี้เป็นวัฒนธรรมฝรั่งนะ เพราะอยู่มาทั้งออฟฟิศคนยุโรปหรือเมกัน อิพวกฝรั่งมันก็ทำเงี้ย ไม่ใช่มีดตัดออกมานะ กัดแล้วก็แช่กลับทั้งอย่างนั้นเลย
เหมือนตอนอยู่ออฟฟิศเก่า เพื่อนร่วมงานเป็นคนอังกฤษ ผู้ชายซะ 90% เราฝากเพื่อนซื้อช็อคโกแลตมาจากเมืองนอก ติดชื่อไว้อย่างดี แช่ไว้ในออฟฟิศ กะว่าเย็นนี้จะเอากลับบ้าน แล้วสุดท้าย ลืม เช้าอีกวันมาเอา เชี้ย ฝรั่งคนไหนไม่รู้มากินช็อคโกแลตบาร์ของเราไปครั้งนึง แถมเป็นรอยฟันกัดอีกต่างหาก คือรู้เลยว่าฝรั่งแน่นอน เพราะมันชอบช็อคโกแลตอยู่แล้ว ตอนเย็นทำงานมันคงหิวมาก แต่จับมือใครดมไม่ได้ เพราะออฟฟิศเก่าฝรั่งเยอะมาก แถมไอ้ตู้เย็นก็อยู่ตรงดงฝรั่งอีกต่างหาก คือถ้าคนไทยกินเนี่ย มันต้องมีหักออกมากินแน่นอน ไม่มีรอยฟันกัดแบบนี้ แล้วถ้าเป็นผลไม้ เราก็ต้องเอามีดแบ่งออกมา แต่อิฝรั่งพวกนี้มันใช้ฟันเลยจ้า
จริง ๆ นะ ผู้ชายไม่ว่าชาติไหน ก็มักง่าย ไม่รักษาความสะอาดด้วยกันทั้งนั้น น้อยคนมากจริง ๆ ที่จะใช้ของแล้ว เก็บล้าง เช็ดทำความสะอาดอย่างดีเข้าที่เดิม ยกเว้นผู้ชายเนี้ยบ อย่างนายเก่าเราเป็นต้น พี่แกแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมไปถึงทรงผม น้ำหอม หรือแม้แต่เล็บที่ต้องไปเคลือบเงา พี่แกรักสะอาดมาก ห้องนายจะเรียบร้อยอยู่เสมอ ไม่มีเอกสารรกหู รกตา แก้วน้ำพี่แกก็สะอาดมาก แทบจะกินแล้วล้างทุกครั้งที่ใช้งานเลย แล้วแทบไม่เคยกินอาหารที่โต๊ะทำงานเลย เวลาใช้จานกินขนมส่วนรวมที่เราแบ่งไปให้แก แกกินเสร็จก็เดินเอามาล้างอย่างดี เราว่าอยู่กับผู้ชายแบบนี้จะไม่เหนื่อย แต่เมียอาจจะเหนื่อยแทนถ้าความเนี้ยบไม่เท่าเทียมกัน
เราว่า การอยู่ร่วมกันกับผู้ชายในออฟฟิศแล้วให้พวกเค้ารักษาความสะอาดเนี่ย ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเลยนะ คือถ้าเราไม่เหนื่อยที่จะบ่นเพื่อให้เค้าแก้ไข เค้าก็เหนื่อยที่จะฟังคำบ่นจากเราแล้วก็แก้ไขตัวเอง ซึ่งโชคดีที่ฝรั่งออฟฟิศเราเค้าเป็นอย่างหลัง แต่ก็มีหลุดเรื่องใหม่ ๆ มาบ้าง แต่เราจะบอกตัวเองว่าเราจะไม่เหนื่อยที่จะบ่นและกำกับให้เค้ารักษาความสะอาดของส่วนรวม ถ้าเราไม่ยอม ก็ต้องเป็นเค้าที่ต้องยอม
ด้วยเหตุนี้ เข้าใจรึยังว่าทำไมเราถึงยังเป็นโสด แล้วก็ยินดีที่จะโสดต่อไปถ้าจะต้องเจอผู้ชายประเภทนี้ ฮา ๆ
จริง ๆ แล้ว เรื่องพวกนี้เป็นจิตสำนึกส่วนรวมของการอยู่ร่วมกันเลยนะ ไม่แน่ใจว่าผู้ชายพวกนี้ไม่รู้เพราะไม่มีใครบอก หรือว่ารู้แต่ไม่ทำ อย่างน้อยการที่เราพูดเอาไป มันทำให้คนพวกนี้รู้ว่า สิ่งที่คุณทำหรือเพิกเฉย มันไม่ถูก
Create Date : 03 สิงหาคม 2556 |
Last Update : 3 สิงหาคม 2556 22:02:15 น. |
|
1 comments
|
Counter : 3044 Pageviews. |
|
|
|
(เราพักกับเพื่อนรูมเมท)
>
>>
รูมเมทเราไม่เคยล้างห้องน้ำเลยค่ะ
ถ้าเคยก็นาน น๊านนน สามสี่เดือนเธอจะลุกขึ้นมาล้างมาขัดห้องน้ำทีนึง
คือเราจะบอกว่า ทุกครั้งเราจะต้องเป็นคนทนไม่ไหวต้องขัดห้องน้ำก่อนทุกครั้งเลยค่ะ คือพอมันเป็นคราบแล้วเราทนนั่งไม่ไหว เคยคิดจะพูด แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนกัน...เลยได้แต่แอบบ่นนี่ล่ะค่ะลีลี
บางคนอาจจะแนะนำให้บอก แต่เราก็เคยคิดจะบอกหลายครั้งนะคะ แต่พอเราขัดเสร็จ เราก็ลืม จริงๆไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ว่าบางทีก็แอบคิดว่า จะมีสักครั้งไหมนะ ที่เค้าจะเป็นคนเริ่มขัดห้องน้ำก่อน
(เห็นลีลีเขียนเกี่ยวกับความสะอาด เลยอดบ่นด้วยไม่ได้ค่ะ )