Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
27 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
ประทับใจบางเรื่องที่กาละแมร์กับนิ้วกลมเขียนในมติชน สุดสัปดาห์



คืออยากอัพบล็อคนะ
แต่ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรดี
ช่วงนี้ชีวิตเพลนมากจนไม่มีเรื่องจะเล่า
แต่อยากจะอัพบล็อค
ก็ตั้งเงื่อนไขตัวเอง
ประมาณว่าถ้าวันนี้มีคอมเม้นท์เพิ่มจะอัพบล็อค
คือจริง ๆ อยากอัพตั้งแต่วันจันทร์แล้วไง
แต่ไม่มีคอมเม้นท์เพิ่มเลย
มาวันนี้เพิ่งมา 1 คอมเม้นท์มาเพิ่ม
เลยได้โอกาสมาอัพตามเงื่อนไขที่ตัวเองตั้งไว้ ฮา ๆ

อยากอัพเรื่องที่ได้อ่านในมติชนสุดสัปดาห์น่ะ
ป๊าเราซื้อทุกเล่ม
ฝนตก น้ำท่วมยังไงก็ต้องออกไปซื้อทุกวันศุกร์
ขาดไม่ได้มา 20-30 ปีแล้ว
ซื้อทุกเล่ม
ขนาดตอนนั้นอพยพย้ายบ้านตอนน้ำท่วมไปชลบุรี
ยังต้องขับรถไปซื้อตั้งไกลเลย

เราก็อ่านมาตั้งแต่ม.ปลาย
ตอนนี้ก็ 10 กว่าปีแล้วที่อ่านมติชนสุดสัปดาห์
ทำให้เรารู้จักนักเขียนที่เราชอบ
เรารู้จักพี่'ปราย พันแสงก็จากที่นี่
แต่ตอนนี้พี่'ปรายไม่ได้เขียนที่นี่มาหลายปีแล้ว

แล้วเราก็รู้จักหนุ่มเมืองจันท์ก็จากที่นี่เหมือนกัน
ตอนนี้พี่เค้าก็ยังเขียนอยู่




จริง ๆ มติชนสุดสัปดาห์จะมีคอลัมน์เยอะมากเลยนะ
มีเป็นร้อยหน้า
แต่สมัยเรียนเราอ่านอยู่ 3-4 หน้าเอง
ก็จะมีนักเขียน 2 คนนั่นแหละ
แล้วก็มีคอลัมน์ดาราเล็ก ๆ ครึ่งหน้า อิอิ

แต่พอโตมา
นักเขียนก็เพิ่มขึ้นเยอะ
เราเลยได้อ่านเยอะคอลัมน์ขึ้น
แต่จริง ๆ เราก็อ่านไม่ทันหรอกนะเล่ม ๆ นึงเนี่ย
แม้จะอ่านไม่กี่คอลัมน์
แล้วอ่านเฉพาะตอนอยู่บนรถไฟฟ้าไป-กลับเอง
อยู่บ้านก็ไม่อ่าน ดูหนังกับเล่นเน็ทก็หมดเวลา
จะให้แบกไปทั้งเล่มก็หนักไป
เราเลย "ฉีก" เฉพาะคอลัมน์ที่ตัวเองอยากอ่านเก็บไว้ในกระเป๋า
เบากว่ากันเยอะเลย




แต่ก่อนไม่เคยฉีกนิตยสารเลยนะ
มีเล่มนี้แหละเล่มแรกที่ฉีก
แต่ก่อนก็แบกไปอ่านทั้งเล่ม
ไม่เคยคิดจะฉีก
แต่ได้แรงบันดาลใจจากฝรั่งข้าง ๆ เนี่ยแหละ
ที่เค้าจะฉีกเฉพาะหน้าที่ตัวเองสนใจเก็บไว้อ่าน
แล้วเค้าก็บ่นเรานะ
ว่านิตยสารเนี่ย
ยูทำไมต้องแบกทั้งเล่ม หนักไป
ยูสนใจเรื่องไหนยูก็ฉีกมาอ่านทีละเรื่อง 2 เรื่องสิ
เบากว่ากันเยอะ
แล้วเวลายูแบกไปทั้งเล่ม
ยูก็อ่านไม่หมดอยู่ดี เปลืองแรงงาน
เออจริง





แล้วมติชนมันเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์น่ะ
จริง ๆ ทั้งเล่มมันก็ไม่ได้หนักมากหรอกนะ
แต่มันเกะกะ
จะรู้เลยว่าพอฉีกออกมาไม่กี่แผ่นแล้วมันเบากว่ากัน 10 เท่าเลย
แล้วมันพับได้ด้วย
แต่ถ้าพกทั้งเล่มมันพับไม่ได้ ม้วนได้อย่างเดียว
ใส่ลงกระเป๋าถือก็ไม่ได้
แล้วฉีกก็ไม่เสียดายหรอก
เพราะอ่านเสร็จก็ทิ้งเอาไปชั่งกิโลขายอยู่ดี

แต่ถ้าเป็นนิตยสารผู้หญิงเล่มหนา ๆ หนัก ๆ ก็ไม่กล้าฉีกนะ
มันต้องฉีกเยอะเกิน
แล้วมันไม่น่าดูด้วย
แม้ว่าอ่านเสร็จก็เอาไปชั่งกิโลอยู่ดี
แต่เราก็แทบไม่ซื้อหรอก
อาศัยเช่าอ่านเอา
ซื้อมา อ่านจบก็กองไว้ เปลืองพื้นที่บ้าน
แถมหนักมากด้วยเวลาย้ายไปทิ้งที่ไหน



เกริ่นมาประมาณ 200 ประโยค
เข้าเรื่องได้ซะที
หลังจากที่เราฉีกมาอ่านติดกระเป๋าวันละ 4-5 คอลัมน์
อ่านย้อนหลังร่วม 10 เล่มตั้งแต่เล่มน้ำท่วม
ติดใจอยู่ 2 เรื่องของ 2 นักเขียน
คือกาละแมร์กับนิ้วกลมเลยพับเก็บไว้ก่อน
ไม่ได้อ่านแล้วทิ้งเหมือนอันอื่น
พับเก็บมาเป็นอาทิตย์ละ ไม่มีโอกาสได้เขียนถึงซะที

เรื่องที่กาละแมร์เขียนคือตอนที่กาละแมร์ได้คุยกับคุณหมอในรายการ health me please ของเธอ







คุณหมอถามเรื่องความโสดของนาง
แล้วบอกว่า

มันไม่มีใครในโลกเพอร์เฟ็กต์หรอกนะ
หาให้ตายก็ไม่เจอ

คนเรามีความต้องการในชีวิตไม่เหมือนกัน
หาส่งที่สำคัญในชีวิตเราให้เจอ
คุณสมบัติแบบไหนที่เราต้องการให้เขามี
เอาสำคัญจริง ๆ แค่นั้นพอ

ส่วนเรื่องอื่น ๆ
เอามาชั่งน้ำหนักกัน
ถ้าเขามีสิ่งที่พอดีกับความต้องการของเราแล้ว
ส่วนอื่นเราก็ค่อย ๆ มาปรับกัน
ซึ่งมันจะไม่ยากถ้าคนสองคนมีคุณธรรมไปในทางเดียวกัน
คือคุยกันรู้เรื่อง
เห็นชอบไปในทางเดียวกัน
เข้าใจกัน
และที่สำคัญ
เราต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น

แต่งไปเถอะ
ถ้าตอบเรื่องหลัก ๆ สำคัญได้แล้ว
เพราะมันยังต้องมีเรื่องไปเรียนรู้ ไปปรับกันอีกเยอะ
ก็ค่อย ๆ ทำกันไป

ชะอุ๋ย
มิใช่เพียงแต่กาละแมร์เท่านั้น
ที่คำพูดของหมอยังวนเวียนอยู่ในหัวนาง
ฉันอ่านจบแล้ว
เรื่องมันก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวฉันเหมือนกัน

บางทีมันไม่ได้หมายความว่าเราไม่อยากมีคู่ก็ได้
แต่เรายังหาคนแบบนั้นไม่เจอ
ที่จะมีคุณธรรมไปในทางเดียวกัน
คุยกันรู้เรื่องและเห็นชอบไปในทางเดียวกัน
ยิ่งอินดี้อยู่ด้วย





แต่อยู่คนเดียวมันสบายตัวกว่ากันเยอะ
ไม่มีเรื่องปวดหัว
ไม่ต้องแคร์ใคร หรือเกรงใจใครมากมาย

ซึ่งมันลิงค์กับอีกบทความนึงของพี่เอ๋ นิ้วกลม
ที่เขียนอยู่ในมติชนเหมือนกันแต่เอามาคนละสัปดาห์






พี่เอ๋พูดถึงการอยู่คอนโด คนเดียว
คนสมัยนี้ชอบการอยู่คอนโดคนเดียว
เพราะมันใกล้ที่ทำงาน สะดวก และอิสระ
แม้อยู่บ้านจะอบอุ่นกว่า แต่ความอิสระมันน้อยกว่ากันเยอะ









ความไม่อิสระที่เกิดจากการแชร์พื้นที่ร่วมกันภายในบ้าน
พื้นที่กลางที่ทุกคนใช้สอยร่วมกัน
ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว ห้องครัว ห้องน้ำ










ที่ทุกคนก็รู้จักเรียนรู้และยอมรับความต่างซึ่งกันและกัน
กับคนที่มีรสนิยมที่แตกต่าง เพราะโตกันคนละยุค

บ้านจึงเป็นส่วนผสมของคนที่ไม่เหมือนกัน
แต่ยอมรับซึ่งกันและกัน
บ้านสอนคนในบ้านวิธีอยู่ร่วมกัน
สิ่งซึ่งการอยู่คอนโดคนเดียวไม่มีให้





การอยู่คนเดียวนาน ๆ ทำให้ติดความอิสระ
ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นอิระที่จะ "ทำ" อะไรก็ได้ไม่ต้องแคร์ใคร
แต่เมื่ออยู่คนเดียวนานเข้า
สิ่งที่เราเสพติดอีกอย่างคือการคิดแบบไม่มีใครค้าน
เพราะไม่มีใครมาถงเถียงเหมือนตอนอยู่บ้าน
นานเข้าก็เริ่มไม่คุ้นที่จะฟังความคิดที่ไม่เหมือนตัวเอง
หงุดหงิดง่ายเวลาได้ยินคนที่คิดไม่เหมือนเรา
เพราะไม่คุ้นชินกับการที่จะต้องไปอยู่ในวงล้อมของคนที่แตกต่างกันออกไป
เพราะทำทักษะนั้นหล่นได้ที่ "บ้าน" เสียแล้ว
จึงขี้เกียจให้เวลากับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ




ขี้เกียจรู้ ขี้เกียจดู ขี้เกียจฟัง
เหมือนที่คนเมืองหลายคนบนรถไฟฟ้าหลบเข้าโลกส่วนตัวด้วยการด้มหน้าเล่นมือถือหรือฟังเพลง
ไม่ได้ผิดอะไร
และก็ไม่ได้แปลกที่เราอยู่ใน "โลกส่วนตัว" มากขึ้นเรื่อย ๆ
เรารู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในที่ ๆ เราชอบ
แต่การอยู่ในโลกที่เราชอบบ่อยจนเคยตัว
ทำให้เราหวาดกลัว "ความต่าง" มากเกินจริง
เพราะเคยชินกับโลกที่ควบคุมได้ มีแต่สิ่งที่ฉันชอบ







เปรียบเทียบกับบ้าน
พื้นที่ส่วนหลางไม่ใช่พื้นที่ของใครคนใดคนหนึ่ง
ต้องอาศัยความเข้าใจ ยอมรับและให้เวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ในบ้าน
เพราะเราไม่กลัวคนร่วมบ้าน
และลึก ๆ แล้ว
เราต่างรู้กันดีว่า
จะเห็นต่างแค่ไหน
สุดท้าย
เราก็ต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยกันอยู่ดี
"บ้าน" สอนให้เราลดตัวตนลง
เพื่อนแบ่งพื้นที่ให้คนอื่นได้อยู่ร่วมด้วย




ลองออกจากโลกของฉันไปอยู่ในโลกของเธอดูบ้าง
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไม่สำคัญ
อย่างน้อยก็เข้าใจกันมากขึ้น






แต่จะหาได้มั้ยเนี่ย คนที่จะเข้าใจเรา
จะได้ทำได้มั้ยเนี่ย ที่จะเข้าใจคนอื่น
แล้วจะลงตัวเมื่อไหร่เนี่ย ที่จะรับผิดชอบร่วมกัน
แล้วคำพูดของคุณหมอที่อ่านก็วนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

แต่งไปเถอะ
ถ้าตอบเรื่องหลัก ๆ สำคัญได้แล้ว
เพราะมันยังต้องมีเรื่องไปเรียนรู้ ไปปรับกันอีกเยอะ
ก็ค่อย ๆ ทำกันไป




Create Date : 27 เมษายน 2555
Last Update : 16 กรกฎาคม 2560 16:50:57 น. 5 comments
Counter : 2952 Pageviews.

 
อ่านแล้วยิ้มตาม
ความขัดแย้งของหัวใจ =)


โดย: พลัม วันที่: 27 เมษายน 2555 เวลา:14:59:26 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณลีลี : )
เราแอบเข้ามากรี๊ดดดดรูปของพี่เอ๋ นิ้วกลมค่ะ
นาน น๊านนน ที
ที่จะเห็นพี่เอ๋ใส่เสื้อสีอื่น ที่ไม่ใช่เสื้อยืดสีดำตัวเก่ง ^^
คุณหนูลีลี ได้อ่านใน "ตรวจภายใน" เล่มล่าสุดแล้วเหมือนกันใช่มั้ยคะ..
เรื่องการอยู่คอนโดของคนในยุคปัจจุบันแล้วเอามาเปรียบเทียบกับทัศนคติของคนรุ่นใหม่นั้น เป็นสิ่งที่เราก็แอบเห็นด้วยกับพี่เอ๋มาก (อีกตอนหนึ่งที่ชอบก็คือ ตอน
"ข้างหลังสเตตัส")



โดย: โนบูตะเองค่า ^^ IP: 202.29.153.10 วันที่: 27 เมษายน 2555 เวลา:22:40:10 น.  

 
ปล.2 ได้ขอพี่เอ๋ "วาดรูปเหมือน หน้าเรา" ใส่ในหน้าหนังสือให้รึเปล่าน๊อว ^^


โดย: โนบูตะ IP: 202.29.153.10 วันที่: 27 เมษายน 2555 เวลา:22:43:34 น.  

 
ข้อเขียนดีมาก


โดย: นอกวงสมาชิก IP: 115.67.128.142 วันที่: 28 เมษายน 2555 เวลา:2:44:21 น.  

 
โนบูตะ
เรายังไม่ได้อ่านหนังสือพี่เอ๋เลย
อันนี้อ่านในคอลัมน์ที่พี่เอ๋เขียนในมติชน สุดสัปดาห์จ้า
แสดงว่าตรวจภายในเป็นการรวบรวมบทความที่เค้าเขียนในนี้แน่เลย

หลัง ๆ เราไม่ชอบไปงานหนังสือเลย
คนเยอะมาก
ยอมซื้อราคาเต็มแล้วแบกทีละเล่ม 2 เล่มดีกว่า
อิอิ


โดย: หนูลีลี วันที่: 28 เมษายน 2555 เวลา:12:21:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.