ประทับใจบางเรื่องที่กาละแมร์กับนิ้วกลมเขียนในมติชน สุดสัปดาห์
คืออยากอัพบล็อคนะ แต่ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรดี ช่วงนี้ชีวิตเพลนมากจนไม่มีเรื่องจะเล่า แต่อยากจะอัพบล็อค ก็ตั้งเงื่อนไขตัวเอง ประมาณว่าถ้าวันนี้มีคอมเม้นท์เพิ่มจะอัพบล็อค คือจริง ๆ อยากอัพตั้งแต่วันจันทร์แล้วไง แต่ไม่มีคอมเม้นท์เพิ่มเลย มาวันนี้เพิ่งมา 1 คอมเม้นท์มาเพิ่ม เลยได้โอกาสมาอัพตามเงื่อนไขที่ตัวเองตั้งไว้ ฮา ๆ
อยากอัพเรื่องที่ได้อ่านในมติชนสุดสัปดาห์น่ะ ป๊าเราซื้อทุกเล่ม ฝนตก น้ำท่วมยังไงก็ต้องออกไปซื้อทุกวันศุกร์ ขาดไม่ได้มา 20-30 ปีแล้ว ซื้อทุกเล่ม ขนาดตอนนั้นอพยพย้ายบ้านตอนน้ำท่วมไปชลบุรี ยังต้องขับรถไปซื้อตั้งไกลเลย
เราก็อ่านมาตั้งแต่ม.ปลาย ตอนนี้ก็ 10 กว่าปีแล้วที่อ่านมติชนสุดสัปดาห์ ทำให้เรารู้จักนักเขียนที่เราชอบ เรารู้จักพี่'ปราย พันแสงก็จากที่นี่ แต่ตอนนี้พี่'ปรายไม่ได้เขียนที่นี่มาหลายปีแล้ว
แล้วเราก็รู้จักหนุ่มเมืองจันท์ก็จากที่นี่เหมือนกัน ตอนนี้พี่เค้าก็ยังเขียนอยู่
จริง ๆ มติชนสุดสัปดาห์จะมีคอลัมน์เยอะมากเลยนะ มีเป็นร้อยหน้า แต่สมัยเรียนเราอ่านอยู่ 3-4 หน้าเอง ก็จะมีนักเขียน 2 คนนั่นแหละ แล้วก็มีคอลัมน์ดาราเล็ก ๆ ครึ่งหน้า อิอิ
แต่พอโตมา นักเขียนก็เพิ่มขึ้นเยอะ เราเลยได้อ่านเยอะคอลัมน์ขึ้น แต่จริง ๆ เราก็อ่านไม่ทันหรอกนะเล่ม ๆ นึงเนี่ย แม้จะอ่านไม่กี่คอลัมน์ แล้วอ่านเฉพาะตอนอยู่บนรถไฟฟ้าไป-กลับเอง อยู่บ้านก็ไม่อ่าน ดูหนังกับเล่นเน็ทก็หมดเวลา จะให้แบกไปทั้งเล่มก็หนักไป เราเลย "ฉีก" เฉพาะคอลัมน์ที่ตัวเองอยากอ่านเก็บไว้ในกระเป๋า เบากว่ากันเยอะเลย
แต่ก่อนไม่เคยฉีกนิตยสารเลยนะ มีเล่มนี้แหละเล่มแรกที่ฉีก แต่ก่อนก็แบกไปอ่านทั้งเล่ม ไม่เคยคิดจะฉีก แต่ได้แรงบันดาลใจจากฝรั่งข้าง ๆ เนี่ยแหละ ที่เค้าจะฉีกเฉพาะหน้าที่ตัวเองสนใจเก็บไว้อ่าน แล้วเค้าก็บ่นเรานะ ว่านิตยสารเนี่ย ยูทำไมต้องแบกทั้งเล่ม หนักไป ยูสนใจเรื่องไหนยูก็ฉีกมาอ่านทีละเรื่อง 2 เรื่องสิ เบากว่ากันเยอะ แล้วเวลายูแบกไปทั้งเล่ม ยูก็อ่านไม่หมดอยู่ดี เปลืองแรงงาน เออจริง
แล้วมติชนมันเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์น่ะ จริง ๆ ทั้งเล่มมันก็ไม่ได้หนักมากหรอกนะ แต่มันเกะกะ จะรู้เลยว่าพอฉีกออกมาไม่กี่แผ่นแล้วมันเบากว่ากัน 10 เท่าเลย แล้วมันพับได้ด้วย แต่ถ้าพกทั้งเล่มมันพับไม่ได้ ม้วนได้อย่างเดียว ใส่ลงกระเป๋าถือก็ไม่ได้ แล้วฉีกก็ไม่เสียดายหรอก เพราะอ่านเสร็จก็ทิ้งเอาไปชั่งกิโลขายอยู่ดี
แต่ถ้าเป็นนิตยสารผู้หญิงเล่มหนา ๆ หนัก ๆ ก็ไม่กล้าฉีกนะ มันต้องฉีกเยอะเกิน แล้วมันไม่น่าดูด้วย แม้ว่าอ่านเสร็จก็เอาไปชั่งกิโลอยู่ดี แต่เราก็แทบไม่ซื้อหรอก อาศัยเช่าอ่านเอา ซื้อมา อ่านจบก็กองไว้ เปลืองพื้นที่บ้าน แถมหนักมากด้วยเวลาย้ายไปทิ้งที่ไหน
เกริ่นมาประมาณ 200 ประโยค เข้าเรื่องได้ซะที หลังจากที่เราฉีกมาอ่านติดกระเป๋าวันละ 4-5 คอลัมน์ อ่านย้อนหลังร่วม 10 เล่มตั้งแต่เล่มน้ำท่วม ติดใจอยู่ 2 เรื่องของ 2 นักเขียน คือกาละแมร์กับนิ้วกลมเลยพับเก็บไว้ก่อน ไม่ได้อ่านแล้วทิ้งเหมือนอันอื่น พับเก็บมาเป็นอาทิตย์ละ ไม่มีโอกาสได้เขียนถึงซะที
เรื่องที่กาละแมร์เขียนคือตอนที่กาละแมร์ได้คุยกับคุณหมอในรายการ health me please ของเธอ
คุณหมอถามเรื่องความโสดของนาง แล้วบอกว่า
มันไม่มีใครในโลกเพอร์เฟ็กต์หรอกนะ หาให้ตายก็ไม่เจอ
คนเรามีความต้องการในชีวิตไม่เหมือนกัน หาส่งที่สำคัญในชีวิตเราให้เจอ คุณสมบัติแบบไหนที่เราต้องการให้เขามี เอาสำคัญจริง ๆ แค่นั้นพอ
ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอามาชั่งน้ำหนักกัน ถ้าเขามีสิ่งที่พอดีกับความต้องการของเราแล้ว ส่วนอื่นเราก็ค่อย ๆ มาปรับกัน ซึ่งมันจะไม่ยากถ้าคนสองคนมีคุณธรรมไปในทางเดียวกัน คือคุยกันรู้เรื่อง เห็นชอบไปในทางเดียวกัน เข้าใจกัน และที่สำคัญ เราต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
แต่งไปเถอะ ถ้าตอบเรื่องหลัก ๆ สำคัญได้แล้ว เพราะมันยังต้องมีเรื่องไปเรียนรู้ ไปปรับกันอีกเยอะ ก็ค่อย ๆ ทำกันไป
ชะอุ๋ย มิใช่เพียงแต่กาละแมร์เท่านั้น ที่คำพูดของหมอยังวนเวียนอยู่ในหัวนาง ฉันอ่านจบแล้ว เรื่องมันก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวฉันเหมือนกัน
บางทีมันไม่ได้หมายความว่าเราไม่อยากมีคู่ก็ได้ แต่เรายังหาคนแบบนั้นไม่เจอ ที่จะมีคุณธรรมไปในทางเดียวกัน คุยกันรู้เรื่องและเห็นชอบไปในทางเดียวกัน ยิ่งอินดี้อยู่ด้วย
แต่อยู่คนเดียวมันสบายตัวกว่ากันเยอะ ไม่มีเรื่องปวดหัว ไม่ต้องแคร์ใคร หรือเกรงใจใครมากมาย
ซึ่งมันลิงค์กับอีกบทความนึงของพี่เอ๋ นิ้วกลม ที่เขียนอยู่ในมติชนเหมือนกันแต่เอามาคนละสัปดาห์
พี่เอ๋พูดถึงการอยู่คอนโด คนเดียว คนสมัยนี้ชอบการอยู่คอนโดคนเดียว เพราะมันใกล้ที่ทำงาน สะดวก และอิสระ แม้อยู่บ้านจะอบอุ่นกว่า แต่ความอิสระมันน้อยกว่ากันเยอะ
ความไม่อิสระที่เกิดจากการแชร์พื้นที่ร่วมกันภายในบ้าน พื้นที่กลางที่ทุกคนใช้สอยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว ห้องครัว ห้องน้ำ
ที่ทุกคนก็รู้จักเรียนรู้และยอมรับความต่างซึ่งกันและกัน กับคนที่มีรสนิยมที่แตกต่าง เพราะโตกันคนละยุค
บ้านจึงเป็นส่วนผสมของคนที่ไม่เหมือนกัน แต่ยอมรับซึ่งกันและกัน บ้านสอนคนในบ้านวิธีอยู่ร่วมกัน สิ่งซึ่งการอยู่คอนโดคนเดียวไม่มีให้
การอยู่คนเดียวนาน ๆ ทำให้ติดความอิสระ ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นอิระที่จะ "ทำ" อะไรก็ได้ไม่ต้องแคร์ใคร แต่เมื่ออยู่คนเดียวนานเข้า สิ่งที่เราเสพติดอีกอย่างคือการคิดแบบไม่มีใครค้าน เพราะไม่มีใครมาถงเถียงเหมือนตอนอยู่บ้าน นานเข้าก็เริ่มไม่คุ้นที่จะฟังความคิดที่ไม่เหมือนตัวเอง หงุดหงิดง่ายเวลาได้ยินคนที่คิดไม่เหมือนเรา เพราะไม่คุ้นชินกับการที่จะต้องไปอยู่ในวงล้อมของคนที่แตกต่างกันออกไป เพราะทำทักษะนั้นหล่นได้ที่ "บ้าน" เสียแล้ว จึงขี้เกียจให้เวลากับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
ขี้เกียจรู้ ขี้เกียจดู ขี้เกียจฟัง เหมือนที่คนเมืองหลายคนบนรถไฟฟ้าหลบเข้าโลกส่วนตัวด้วยการด้มหน้าเล่นมือถือหรือฟังเพลง ไม่ได้ผิดอะไร และก็ไม่ได้แปลกที่เราอยู่ใน "โลกส่วนตัว" มากขึ้นเรื่อย ๆ เรารู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในที่ ๆ เราชอบ แต่การอยู่ในโลกที่เราชอบบ่อยจนเคยตัว ทำให้เราหวาดกลัว "ความต่าง" มากเกินจริง เพราะเคยชินกับโลกที่ควบคุมได้ มีแต่สิ่งที่ฉันชอบ
เปรียบเทียบกับบ้าน พื้นที่ส่วนหลางไม่ใช่พื้นที่ของใครคนใดคนหนึ่ง ต้องอาศัยความเข้าใจ ยอมรับและให้เวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ในบ้าน เพราะเราไม่กลัวคนร่วมบ้าน และลึก ๆ แล้ว เราต่างรู้กันดีว่า จะเห็นต่างแค่ไหน สุดท้าย เราก็ต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยกันอยู่ดี "บ้าน" สอนให้เราลดตัวตนลง เพื่อนแบ่งพื้นที่ให้คนอื่นได้อยู่ร่วมด้วย
ลองออกจากโลกของฉันไปอยู่ในโลกของเธอดูบ้าง เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไม่สำคัญ อย่างน้อยก็เข้าใจกันมากขึ้น
แต่จะหาได้มั้ยเนี่ย คนที่จะเข้าใจเรา จะได้ทำได้มั้ยเนี่ย ที่จะเข้าใจคนอื่น แล้วจะลงตัวเมื่อไหร่เนี่ย ที่จะรับผิดชอบร่วมกัน แล้วคำพูดของคุณหมอที่อ่านก็วนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
แต่งไปเถอะ ถ้าตอบเรื่องหลัก ๆ สำคัญได้แล้ว เพราะมันยังต้องมีเรื่องไปเรียนรู้ ไปปรับกันอีกเยอะ ก็ค่อย ๆ ทำกันไป
Create Date : 27 เมษายน 2555 |
Last Update : 16 กรกฎาคม 2560 16:50:57 น. |
|
5 comments
|
Counter : 2952 Pageviews. |
|
|
ความขัดแย้งของหัวใจ =)