Group Blog
 
<<
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
8 กันยายน 2555
 
All Blogs
 
พลังแห่งจิตใต้สำนึก ความคิดมีแรงดึงดูดจริง ๆ เราเจอกับตัวเองมาแล้ว

ตอนนี้กำลังอินเกี่ยวกับเรื่องจิตใต้สำนึกล่ะ
หนังสือที่เช่าจาก TK Park มาอ่านทั้งหมด
ก็มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับจิตใต้สำนึกหมดเลย
แต่มีเล่มนึงที่เราอ่านจบแล้วเราอยากซื้อมาเก็บติดบ้านไว้อ่านบ่อย ๆ

คู่มือชีวิต
ผู้เขียน ภูเบศร์ ล้ำคุณากร





กับคำโปรยที่ว่า

หลายคนบอกว่า
ก็เพราะโชคชะตาถูกกำหนดเอาไว้แล้วตั้งแต่เราเกิด
ว่าเราจะโชคดีหรือโชคร้าย
จะเจริญก้าวหน้า หรือเป็นคนจนธรรมดา ๆ
คนที่บอกและเชื่อแบบนั้นก็เพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่า
ทุกอย่างในชีวิต
เราเป็นผู้กำหนด
ก็ในเมื่อเราเป็นเจ้าของชีวิตนี้แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่โชคชะตาจะเป็นผู้กำหนด??
คำตอบเดียวเท่านั้นก็คือ ตัวคุณ กำหนดชีวิตของคุณเอง
แค่เพียงรู้จักชีวิตให้มากขึ้น
แล้วทุกอย่างที่ต้องการจะอยู่ในมือคุณ





เราชอบหนังสือเล่มนี้นะ
เป็นหนังสือที่เราค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้เข้าใจยาก
แต่เราอยากจะซึมซับและพยายามฝึกฝนให้จิตใต้สำนึกเราทำงานแบบเค้าบ้าง

จริง ๆ ทั้งเล่มก็จะสอนให้เราคิดบวก คิดอย่างแน่วแน่ จริงจัง มีจุดมุ่งหมาย พร้อมกับใส่ความรู้สึกลงไปด้วย
เพราะความคิดก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง
ความคิดมีแรงดึงดูด
อธิบายเหตุผล เบื้องหลังให้เราเชื่อว่าทำไมถึงต้องคิดแบบนั้น
แล้วก็อิงกับศาสนาพุทธไปด้วยในตัว
สอนเรื่องการทำสมาธิ การปล่อยวาง การสำนึกรู้คุณ
มันแตกต่างจากหนังสือ The secret ของฝรั่ง
อธิบายในเชิงพุทธมากกว่า
ไม่ใช่สักแต่ว่าขอกับจักรวาล คิดว่าทุกอย่างมีพร้อม สมบูรณ์ เพียงพอกับทุกคน
จะว่าไป
เราก็อ่าน The secret มาหลายภาคเหมือนกัน




เราก็เพิ่งรู้ตัวเองว่าเราชอบเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกอยู่มากนะ


ตอนเราอ่านหนังสือ The Secret เนี่ย
เค้าก็บอกเรื่องความคิดมีแรงดึงดูดใช่มั้ย
พออ่านจบ
เราอยากไปสวิส
เราก็ลองหลับตา นึกถึงภาพในประเทศสวิส
แล้วก็เชื่อพร้อมกับรู้สึกว่า
ชีวิตนี้ซักวันนึง เราจะได้ไปประเทศนี้ฟรี
(คือเราไม่คิดจะทุ่มเงินหลายหมื่นไปละลายกับการเที่ยวต่างประเทศอยู่แล้ว
แล้วเราก็มุ่งมั่นเล่นเกมหลาย ๆ อย่างเพื่อจะทำให้ไปไปต่างประเทศได้
โดยจ่ายเงินเยอะที่สุดที่เราจ่ายคือค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากรางวัลเท่านั้น)


อีก 2-3 ปีต่อมา
เราได้ไปสวิสจริง ๆ 1 อาทิตย์เต็ม ๆ โดยไม่เสียเงินซักบาทจากการสุ่มรายชื่อ ที่เราไปลงทะเบียนเล่นเกมส์!!!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ความคิดมีแรงดึงดูดจริง ๆ
ซึ่งกรณีของเราเป็นกรณีศึกษาได้นะ
เพราะถ้าเป็นกรณีคนที่เสียเงินไปเอง
มันเป็นจริงได้ง่ายอยู่แล้ว เพราะมันขึ้นอยู่กับเราโดยแท้
แต่กรณีเรา หลายคนก็อาจจะคิดว่าขึ้นอยู่กับโชคชะตา
แต่สำหรับเรา มันก็ขึ้นอยู่กับเราที่ดึงดูดมันหลังจากอ่านหนังสือ The Secret จบ

คือเราเป็นคนชอบวิวหลังคาสีส้ม ๆ ที่ Prague แบบนี้มาก




แล้วดูเมือง Bern ในสวิสที่เราได้ไปสิ
ไม่ได้ต่างกันเลย แถมน้ำในแม่น้ำยังสวยกว่าด้วยเพราะมันเป็นสีเขียว




มีอีกนะ
เราจำได้ว่าตอนเราดูซีรี่ย์เกาหลีแรก ๆ เนี่ย
เราอินมากกก
เราอยากไปตามรอยซีรี่ย์มาก
โดยเฉพาะเรื่อง Coffee Prince
ที่เราเล่าแล้ว เล่าอีกว่าเราอินกับเรื่องนี้สุด ๆ
ดูแบบไม่หลับไม่นอน 2 รอบติดกัน
อินจนอยากไปเกาหลีมาก ๆ ไปเป็นเดือน ๆ เลย
แต่เราก็ไม่ได้ไป

แล้วจากนั้นอีกประมาณปีครึ่ง
เราได้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับเกาหลี 2 ที่นั่งจากการสุ่ม (อีกแล้ว)
แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ไปนะ
เพราะมันไม่ได้มาพร้อมที่พักและอาหาร
เลยขายถูก ๆ ไป

แต่ก็ได้ไปจริง ๆ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ที่เราเดินทางคนเดียว เที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิต
ดูสิ บทจะเที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิตก็เที่ยวมันต่างประเทศที่ไม่มีใครใช้ภาษาอังกฤษซะด้วย
ตามไปอ่านได้ที่กรุ๊ปบล็อคนี้นะ
เอาให้อ่านตั้งแต่บทแรก ไล่ไปเป็นซีรี่ย์ 14 ตอนจบมันไปเลย
(จริง ๆ ควรจะเป็น 15 เนอะ เพราะเริ่มอันแรกเป็น 0)


เที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิตที่ "เกาหลี" กับบันทึกร่วม 40 หน้า เราว่า...มันยังน้อยไป



จริง ๆ ก่อนหน้าที่เราอ่านหนังสือพวกนี้
เราลองมาคิดดู
มันก็เกิดกับเราเหมือนกันนะ
อย่างเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
เรากำลังจะซื้อมือถือใหม่
แล้วอยากได้รุ่นนึงมาก เห็นโฆษณาบนรถไฟฟ้าก็ยิ่งอยากได้
กะว่าเดี๋ยวภายในเดือน 2 เดือนนี้แหละจะไปถอยมา

แล้วพอดี
เราได้มือถือจากการขอเพลงทางวิทยุ
รุ่นนี้เป๊ะเลย แต่คนละสีที่เราจะไปถอยมา
ไม่น่าเชื่อเลย
เพราะเราไม่รู้มาก่อนว่ามันมีเล่นเกมชิงมือถือ!!
เราก็เพิ่งรู้ตอนที่ทางทีมงานเค้าโทรมาเนี่ยแหละ
เหมือนกับว่าเราโทรไปขอเพลงหน้าไมค์
เค้าก็จะเก็บรายชื่อทุกคนเอาไว้
แล้วสิ้นเดือนก็จับสลาก 1 คนได้มือถือรุ่นนี้
แล้วตอนเค้าประกาศรายชื่อ เราก็ยังนอนปิดมือถืออยู่เลย
จำได้ว่าวันนั้นลาพักร้อน แล้วเราเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดเลยลานอนพัก ตื่นเที่ยง
แต่พอดีคนที่ออฟฟิศเค้ามาแซวในวันรุ่งขึ้นว่าโชคดีจังเลยได้มือถือด้วย
เพราะเค้าประกาศชื่อเราหน้าไมค์
เราก็เอ๋อไปเลย มือถืออะไรเหรอ เค้าก็ตกใจว่าเราไม่รู้เรื่องเลยเหรอ
5555






อันนี้อาจจะเป็นชิงโชคน่ะนะ
ก่อนหน้านั้นอีก
ตอนเราเป็นเด็กมัธยม
คืนนั้น
เราอยากกินข้าวมันไก่มาก
แต่บ้านเราแทบไม่เคยซื้อมากินเลย เพราะมันไม่มีประโยชน์แล้วก็อ้วนด้วย
แล้วมันดึกแล้ว ร้านก็ปิดแล้ว แล้วเราไม่กินข้าวเย็นด้วย (ตอนนี้ก็ไม่กินนะ กินผลไม้หรือน้ำเต้าหู้แทน เพราะเป็นคนนอน 3 ทุ่มไง ไม่ค่อยหิว)
ปรากฏว่าเช้าอีกวันเป็นวันเสาร์
ข้างหน้าเค้าซื้อข้าวมันไก่มาฝาก
เหลือเชื่อมั้ยล่ะ








แต่เรื่องกินพวกนี้เกิดกับเราบ่อยนะ
คือบ้านเราเนี่ย หม่าม้าจะทำข้าวเช้าให้กินทุกเช้าตั้งแต่อนุบาลยันตอนนี้ 30 ก็ยังตื่นมาทำ
ลูกเปลี่ยนที่ทำงานทีนึง ก็เปลี่ยนเวลากินข้าวเช้าทีนึง
ก่อนหน้านี้เราทำงานสาย ออกจากบ้าน 9 โมง
หม่าม้าก็ตื่นมาทำได้สาย
ตอนนี้ ออกจากบ้าน 6 โมงครึ่ง
เค้าก็ตื่นมาทำตี 5 ครึ่ง
ไม่รู้ล่ะ ลูกบ้านนี้ต้องได้กินข้าวเช้าก่อนก้าวออกจากบ้านเสมอ
สมัยเรียนก็จะบอกว่าพรุ่งนี้เช้าอยากกินอะไร
แต่พอทำงานก็ไม่ได้บอกว่าอีกวันอยากกินอะไร กินอะไรก็ได้
ยังไงก็ต้องมีผักอยู่แล้ว (เพราะหม่าม้ารู้ว่ามื้อกลางวันเราจะไม่ค่อยได้กินผักหรอก เพราะเรากินผักได้แค่ไม่กี่อย่าง เผ็ดก็ไม่กิน เลยคงกินได้แค่ก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ผักแล้วก็ไม่ปรุง 555)

แล้วบ่อยครั้งมาก
ที่เราคิดก่อนนอนว่าเราจะอยากกินอะไร แล้วเราก็ไม่ได้บอกหม่าม้า
ปรากฏว่า สิ่งที่เราคิด มันคือข้าวเช้าของอีกวันจริง ๆ









หนังสือของบัณฑิต อึ้งรังษีทุกเล่ม
เราอ่านแล้วเราชอบมากเลยนะ
อ่านแล้วฮึกเหิม มุ่งมั่น มั่นใจ มีความพยายามในการคิดและทำให้ไปถึงสิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้
เรามีหนังสือของเค้าหลายเล่มเลยทีเดียว
สั้น กระชับ ได้ใจความ ซึ่งเป็นหัวใจของหนังสือบัณฑิตทุกเล่ม
อย่างเล่มล่าสุดที่เราอ่าน

เชื่อมั่นในตน 2 ตอน ประกาศความเป็นตัวตน




ก็จะสอนให้คิดบวก
แถมคิดให้เป็นรูปเป็นร่าง เขียนออกมาเลยว่าอยากทำอะไร อยากได้อะไร
แล้วก็ลงรายละเอียดและกำหนดระยะเวลาไปเลย
เวลามีใครมาถามว่าอนาคนอยากทำหรืออยากเป็นอะไร
เราจะไม่มีการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ คิดคำตอบ
เราจะสามารถตอบออกมาได้ทันทีเหมือนกับที่เราถามว่าเมื่อเช้ากินอะไรมาอย่างนั้น

ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน คิดถึงมันตลอดเวลาอย่างไม่มีความคลางแคลงใจ แล้วพยายามทำทุกวิธีทางให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
มันจะมีแรงดึงดูด คนหรือสถานการณ์ที่ร่วมเปิดทางให้เราไปถึงเป้าหมายนั้นในที่สุด

เวลาเรามีเป้าหมายที่เกินฝัน
อย่าไปบอกคนอื่น
เพราะคนอื่นจะเยาะเย้ยและทำให้เราหมดกำลังใจและล้มเลิกกับความคิดนั้น ๆ ในที่สุด
(อีเรื่องทำให้คนอื่นหมดกำลังใจเนี่ย คนเราชอบนักล่ะ พวกสัญชาตญาณแมลงวันเนี่ย เป็นยังไง อยู่ในย่อหน้าถัดไป)

ความคิดก็มีระยะเวลา
ไม่ใช่ว่าคิดว่าจะถูกรางวัลที่ 1 ก่อนวันหวยออก
มันก็คงจะยากซักหน่อย
แล้วความคิดเราต้องชัดเจน ไม่แปรปรวนไปตามกระแสสังคม
เราเคยอ่านหนังสือเล่มแรก ๆ 30 วิธีเอาชนะโชคชะตา






เค้าบอกให้เราคิดบวกและชัดเจนทุก ๆ วัน
ถ้าเราคิดแบบนั้นได้ในทุก ๆ นาที ทุก ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน 21 วัน
ทัศนคติเราจะเปลี่ยนได้

เราว่ามันยากเลยนะ
เพราะเคยทำอยู่
แต่ว่าให้คิดแบบนั้นทุก ๆ นาทีมันเป็นไปไม่ได้
เพราะเคยอ่านมาว่า
ใน 1 วัน คนเราจะคิดเรื่องประมาณ 6 หมื่นเรื่อง
จริง ไม่จริงไม่รู้ แต่รู้ว่าเกิน 1 พันเรื่องแน่นอน
เพราะจิตเราไวกว่าแสง วินาทีนี้คิดถึงเพื่อนอีกฝั่งของโลก
อีกวินาทีนึงมาบ่นเพื่อนร่วมงานก็เป็นได้

แถมสมัยนี้มี internet เข้ามาทำให้คนเราฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม
ยิ่งเราอ่านข่าวและอยู่หน้า facebook เยอะเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งฟุ้นซ่านเรื่องชาวบ้านที่เรารู้จักและไม่รู้จักมากขึ้นเท่านั้น
เราไม่เคยอยู่กับตัวเองเลยเวลาเราอยู่หน้าคอม
แล้วส่วนใหญ่เรื่องที่เรา ๆ ท่าน ๆ คิดก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ดีทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็น หมั่นไส้ อิจฉา โกรธ เศร้า หดหู่ แค้น เครียดโดยไม่รู้ตัว
พยายามกลับมาคิดบวกก็เผลอลืมตัวไปครึ่งวันแล้ว แฮ่





กลับมาที่หนังสือคู่มือชีวิต
เราชอบเรื่องนึง (ในหลายเรื่อง) ของหนังสือนะ
เค้าบอกให้เรามีสัญชาตญาณของผึ้ง อย่าไปมีสัญชาตญาณเหมือนแมลงวัน

เราจะรู้กันว่า ผึ้งนั้น เสาะแสวงหาแต่สิ่งสวยงาม พวกดอกไม้นานาพรรณ แล้วพวกมันยังช่วยผสมเกสร สร้างสิ่งสวยงามเพิ่มให้กับโลกนี้ ให้โลกนี้สวยงามน่าอยู่ขึ้น

ส่วนแมลงวันนั้น เสาะแสวงหาแต่สิ่งโสมม ไม่ว่าจะเป็นกองอึ กองขยะ ของเน่าเหม็น แถมพวกมันยังเอาเชื้อโรคต่าง ๆ แพร่ให้กับคนและสัตว์ในทุกที่ ๆ มันไปอีกต่างหาก

การทำตัวเหมือนผึ้งก็คือ ให้ความสำคัญกับสิ่งดี ๆ ในคน ๆ นั้น
เพราะทุกคนอยู่ได้ด้วยความภูมิใจในตนเอง
ทำให้เค้าเรับรู้ว่าเค้าป็นคนมีคุณค่า มีความสำคัญ
ฝึกมองข้อดีของผู้อื่น จะทำให้จิตเราสูงขึ้น ได้บุญด้วยเพราะทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกดีกับตัวเอง

อย่าทำตัวเหมือนแมลงวัน
ที่จะจ้องแต่จับผิด นินทา วิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ
ซึ่งการทำอย่างนั้น ทำให้จิตเราลงต่ำ มีแต่ความรุ่มร้อน สกปรก ไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย





พอเราอ่านถึงตรงนี้
เราก็คิดถึงน้องคนนึงที่ไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน
เค้าเพิ่งเรียนจบ ได้ทำงานบริษัทอันดับ 1 ในสายงานของเค้า
มีการเลี้ยงตอนเย็นเป็นระยะ
ซึ่งเค้าไม่อยากไปเลย แต่ก็ต้องไปบ้างเพื่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน
แต่เค้าบอกว่า
ไปแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาไปนินทา เม้าถึงคนโน้น คนนี้ แถมจิตเรายังดูดซับเรื่องพวกนี้ไว้ในจิตใต้สำนึก
ขนาดตื่นมาเช้าอีกวัน บางเรื่องในวงสนทนาเมื่อคืนยังแว้ปขึ้นมาตามหลอกหลอนเราอยู่เลย
ทำให้เราเสียสมาธิ ฟุ้งซ่าน ทำให้จิตเราขุ่นมัว

เราก็ได้แต่อนุโมทนาบุญกับน้องเค้าไปที่น้องเค้าคิดได้แบบนี้
เพราะกว่าเราจะคิดได้(บ้าง ไม่ได้บ้าง) เราก็ต้องทำงานมาตั้งหลายปี
กว่าเราจะมีสติคิดได้ถึงความสกปรกของการนั่งเม้า นั่งนินทาเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ดารา นักการเมือง ฯลฯ

ตอนนี้
ขนาดนั่งกินข้าวกลางวันในกลุ่มสาว ๆ
ก็หนีไม่พ้นเม้าเรื่องพวกนี้
ซึ่งหลัง ๆ เราก็พยายามไม่เออ ออ ไม่เข้าไปมีส่วนร่วม
ไม่ต่อความยาว สาวความยืด
แต่ก็ยังต้องนั่งกินในกลุ่ม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
จะทำตัวแปลกแยกก็ใช่ที่
แต่เราก็รู้แหละ
ถ้าเรานั่ง ๆ อยู่ในวงสนทนาแล้วลุกไปทำธุระ
เค้าก็จะมานั่งนินทาเราอยู่ดี
ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใด รังแต่จะทำให้จิตเราดิ่งลงต่ำและสกปรกกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเราเลยแม้แต่น้อย





เราอ่านหนังสือเข็มทิศจิตใต้สำนึก หนังสือเล่าล่าสุดของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง






ที่ตอนแรกเราไม่คิดจะซื้อ เพราะเห็นว่าเนื้อหามันน้อยมาก
แต่เราก็มีเข็มทิศทุกเล่มเลยนะ
แต่สุดท้ายก็ตรงดิ่งไปซื้อจนได้
หลังจากดูการให้สัมภาษณ์ของคุณอ้อยในเจาะใจ 2 คลิปนี้







เป็นสิ่งที่เราอยากรู้อยู่แล้ว
แล้วเป็นคุณอ้อยที่ปฏิบัติธรรมเพราะหนังสือเข็มทิศชีวิตเล่มแรก
เราก็เลยไปซื้อหนังสือเล่มนี้จากการดูคลิปไปแล้ว

เราชอบเรื่องพรมเช็ดเท้าที่ครูอ้อยพูดนะ
ตรงนาทีที่ 19-20 ในคลิปที่ 2
เราว่ามันตรงกับเราตอนเป็นวัยรุ่นนิดนึง
ตรงที่ทั้งพ่อและลูกเห็นแม่เป็นพรมเช็ดเท้า เหยียบย่ำแม่
พอใครเครียดมาจากที่ทำงานหรือโรงเรียน
ตัวเองไม่มีค่าที่ข้างนอก ก็มาเหยียบย่ำแม่ในบ้านให้รู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน ยิ่งใหญ่
เราควรเปลี่ยนจากการเป็นเหยื่ออารมณ์และวงจรพวกนี้
เราควรจะลุกขึ้นมารับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง เคารพตัวเอง
จากที่คิดว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำ รู้สึกไม่ดีแล้วไประบายกับคนในบ้าน
เราต้องมาดูแลระบบในจิตใจเรา มีสติยั้งคิด
แล้วเราจะรู้สึกเคารพคนในครอบครัวและคนอื่นในที่สุด

ทดสอบว่า
หลังจากอ่านบล็อคเราจบ
สิ่งที่คุณกำลังคิด
เป็นบวกรึเปล่า?

แล้วระหว่างที่อ่าน
คุณคิดเรื่องต่าง ๆ ไปทั้งหมดกี่เรื่อง?




Create Date : 08 กันยายน 2555
Last Update : 22 มิถุนายน 2557 20:35:57 น. 14 comments
Counter : 24189 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ เราก็เชื่อทฤษฏีแรงดึงดูดเหมือนกัน
เป็นทฤษฏีที่สอนให้เราเชื่อมั่นในตัวเอง :)

เรามีหนังสือคุณบัณฑิต อึ้งรังษี 1 เล่ม คือ "คำคมกำลังใจ" มันอ่านง่ายดี ชอบแนวคิดของเขา
เดี๋ยวจะลองหาหนังสือตามที่คุณหนูลีลีแนะนำมาอ่านนะคะ

ส่วนเข็มทิศชีวิตและเข็มทิศจิตใต้สำนัก ของคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง เราก็อ่านแล้วเหมือนกัน
เป็นผู้หญิงที่แกร่งและน่านับถือมากๆ อ่านแล้วรู้สึกสงบ

ปล.ชอบที่คุณหนูลีลีบอกเกี่ยวกับเฟสบุ๊คและอินเตอร์เน็ต

ไปแล้วค่ะ ^^


โดย: ูู^^ (Slowlyliving ) วันที่: 8 กันยายน 2555 เวลา:20:03:27 น.  

 
ผมอ่าน the secret ลองทำตาม แล้วมีประสบการณ์ไม่คาดฝันเช่นเดียวกับคุณครับ ตอนหลังมาผมก็ได้อ่าน the secret เล่ม 2 ที่ชื่อว่า the power เค้าบอกว่าทุกอย่างเป็นจริงได้ เพราะเกิดมาจากความรัก ผมจึงตามหาว่าความรักจริงแท้เป็นเช่นไร จึงได้ศึกษาเกี่ยวกับ ศาสนาคริสต์ จนได้พบว่า หลายอย่างในหนังสือ ได้นำมาจาก พระคัมภีร์ไบเบิล อย่างเช่น การขอ การมีความเชื่อ ความรัก การขอบพระคุณทุกกรณี ตอนนี้ผมพบทางแห่งความจริงนั้นแล้ว ว่าทางแห่งความเชื่อที่ทำให้มีกำลังใจ มีความหวังในทุกๆวัน นั้นอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า และการขอแต่ละครั้งด้วยความเชื่อในพระเจ้าทรงพลังและเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนที่คุณบอกจริงๆครับ ^^
ถ้าคุณสนใจหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณ จิตใต้สำนึก แนะนำ อ่าน พระคัมภีร์ไบเบิล อีกเล่มหนึ่งครับ


โดย: best IP: 110.49.249.200 วันที่: 8 กันยายน 2555 เวลา:23:21:34 น.  

 
อ่านคร่าวๆชอบจังค่ะ เดี๋ยวเก็บไว้ พรุ่งนี้จะมาอ่านต่อ ขอบคุณมากนะคะ ทุกอย่าง เรากำหนดตัวเราได้^^ ฝันดีนะคะ อิอิ


โดย: สัญญาลมปาก วันที่: 8 กันยายน 2555 เวลา:23:37:10 น.  

 
เคยได้ดูคลิปครูอ้อยนะคะ ตัวเราเองเท่านั้นที่จะเก็บเอาเรื่องราวต่างๆมาจดจำในสมอง บางคนคิดในแง่ลบๆร้ายๆ ก็วนซ้ำคิดไปคิดมา เหมือนเอาซีดีที่มีแต่สิ่งไม่ดีมาเปิดให้ตัวเองคิด ซีดีความสุข ดีๆ มันก็มีเช่นกัน แล้วทำไมเราไม่เอามาเปิดล่ะ มันจริงอย่างที่ครูพูดไว้นะคะ

แล้วก็อย่างที่คุณเจ้าของบ้านบอกเหมือนกันค่ะ เรื่องเฟสบุ๊ค อิอิ เมื่อก่อนเป็นนะคะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเป็นแล้วค่ะ 5555555555 มันอยู่ที่เรานะคะ ว่าจะเก็บเอาอะไรมาใส่หัว 5555555555 แค่บางทีมันก็มีบ้าง นิสนึง อิอิ


โดย: สัญญาลมปาก วันที่: 9 กันยายน 2555 เวลา:8:10:24 น.  

 
ขอบคุณครับ เขียนดีทีเดียว


โดย: chai IP: 203.144.164.158 วันที่: 29 กันยายน 2555 เวลา:10:20:58 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ ชอบที่คุณหนูลีลีเขียนมากเลยค่ะ ตอนนี้กำลังสนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่สงสัยว่าจะมาสนใจช้าไป หวังว่าจะได้อ่านบทความดีๆของคุณหนูลีลีอีกนะคะ :)))


โดย: yui IP: 58.8.42.196 วันที่: 28 ตุลาคม 2556 เวลา:17:35:33 น.  

 
อยากบอกว่า เห็นไปที่ประวัติของน้องแล้วตกใจมากก เพราะอ่านหนังสือเหมือนกันกมดทุกเล่ม รวมถึงชอบนักเขียนคนเดียวกันเกือบหมด ตอนแรกตกใจว่าจะเหมือนไรขนาดนี้ :) ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เป็นคนใช้กฏแรงดึงดูดในชีวิตบ้างเหมือนกัน ได้บ้างไม่ได้บ้างแล้วแต่สมาธิ ช่วงไหนเครียด ฟุ้งซ่านนี่ทำไม่ได้เลย 555 ตอนนี้กำลังฝึกจิตใต้สำนึกอยู่ค่ะ ลองอ่านของทต.สม สุจีรา เล่ม เดอะทอปพาวเว่อร์ เล่มนี้ก็ดีค่ะ เราอ่านทุกเล่มเลย หนังสือเนื้อหาเยอะเกินราคาค่ะ


โดย: มินนี่ IP: 101.108.84.184 วันที่: 7 มกราคม 2557 เวลา:8:22:00 น.  

 
ขอบคุณครับ
อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะ ^^


โดย: เก่ง IP: 171.6.203.220 วันที่: 21 มีนาคม 2557 เวลา:11:52:31 น.  

 
ผมมาออกความเห็นช้าไปหน่อย แต่หนังสือที่คุณอ่านมาผมก็ได้อ่านเหมือนกัน และตอนแรกก็เชื่อแบบคุณนั่นแหละ


แต่ต่อมาผมพบว่าหลายเรื่องที่ผมต้องการมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น ทั้งๆที่มั่นใจมากและเชื่อมากว่าจะได้


และต่อมาผมก็พบว่า แม้ผู้เขียนก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จ รุ่งโรจน์เหมือนช่วงแรกๆที่เขียนหนังสือเหล่านั้นทั้งๆที่ถ้าเค้าใช้กฎการดึงดูด เค้ามีแต่จะรุ่งขึ้นเรื่อยๆและมีความเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ


โดย: ผ่านมา IP: 125.25.108.235 วันที่: 21 มกราคม 2558 เวลา:14:03:48 น.  

 
ยังมีเรื่องอื่นๆที่น่าคิดอีก ก็สมมุติว่าคนบ้าที่อยู่ในโรงพยาบาลซึ่งเค้ามีความเชื่อ ตามสมองที่ผิดปกติของเค้าคิดแล้วเป็นจริงขึ้นมา เราคงได้เห็นอะไรแปลกๆอีกเยอะ
ซึ่งเราก็เห็นอยู่ว่าไม่มีเรื่องแบบนัั้นเกิดขึ้นจริง


นอกจากนั้นเด็กๆก็มักมีจินตนาการแปลกๆและเด็กมักเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่เราก็เห็นอยู่ว่ามันไม่ได้เป็นจริงขึ้นมาตามที่เด็กคิดจริงมั้ย


สมมุติว่าคน 10,000 คนที่อยากไปเกาหลีได้อ่านหนังสือเรื่องกฎการดึงดูด และมีเพียง 1 คนที่ คิดว่าจะได้ไปเกาหลีแล้วก็ได้ไปจริงๆ แล้วอีก 99,999 เค้าไม่ได้ไป

1 คนนั้นเอามาประกาศให้โลกรู้ แต่โลกไม่ได้รู้นี่ครับว่าอีก 99,999 คนเค้าก็ยากไปแต่ไม่ได้ไป






โดย: ผ่านมา IP: 125.25.108.235 วันที่: 21 มกราคม 2558 เวลา:14:08:08 น.  

 
ชาวคริสต์ก็เหมือนกัน สอนให้อธิษฐานด้วยความเชื่อแล้วจะได้ ก็มีคนได้บ้างไม่ได้บ้าง

คนที่ไม่ได้ก็จะถูกสอนว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะได้หรือความเชื่อยังน้อย

ส่วนคนที่ได้ซึ่งเป็นส่วนน้อยก้อประกาศว่า ได้ตามที่ขอจ้า ซะดังไปทั่ว


มันเป็นแบบนี้แหละครับ

สรุปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากสมองเรา ถ้าเราคิดว่าจะทำได้ สมองเราจะพยายามทำให้มันได้ตามที่เราคิด ซึ่งก็เกิดจากความพยายามของเราเอง

แต่ไม่ได้มีปฎิหารย์เหลือเชื่ออะไรแบบนั้น ที่มีอะไรแปลกๆนั้นเป็นเพราะฟลุ้กเท่านั้นเอง


ซึ่งมันจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆตลอดไปหรอกครับ ไม่เชื่อคุณลองดูชีวิตคุณต่อๆไป และนับดูว่าเรื่องแปลกๆที่คุณเจอมันมีซักกี่ครั้งเอง


โดย: ผ่านมา IP: 125.25.108.235 วันที่: 21 มกราคม 2558 เวลา:14:14:33 น.  

 
น่าซื้อมาอ่าน the top secrat


โดย: ธนากร ชอบช้าง IP: 49.230.126.238 วันที่: 28 สิงหาคม 2558 เวลา:9:36:59 น.  

 
อ่านแล้วก็ดีครับ อย่างน้อยการคิดบวกก็ทำให้เรารู้สึกดี กับตัวเราและคนอื่นๆ ด้วยนะ


โดย: น้ำครึ่งแก้ว IP: 171.96.173.33 วันที่: 20 กันยายน 2558 เวลา:21:11:36 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ ที่ให้ความรู้และคำแนะนำที่ดี
อ่านหนังสือเหมือนกันเลยค่ะ แต่หญิงฝึกปฏิบัติไม่เก่งค่ะ เรื่องการคิดภาพ มันยังไม่ช้ดเจนเหมือนที่คนอื่นทำ เมื่อประมาณ 3 ปีทีแล้วพบปัญหาในชีวิตกับเพื่อนร่วมงานค่ะ แล้วพี่สาวก็เอาหนังสือของคุณบัณฑิต อึ้งรังษีมาให้ อ่านแล้วลองทำตามคะได้ผลนะคะ แต่ไม่ทุกเรื่อง เหมือนเราฝึกจิตใต้สำนักไม่ดีพอ ไม่เข้มข้นอะคะ ตอนนี้กำลังฝึกใหม่ เน้นฝึกจิตใต้สำนึกเลย เพื่อให้จิตเราเข้มแข็งขึ้น หากมีเคล็ดดีๆแนะนำมาได้เลยนะคะ 061-7895324 กฤษณา ค่ะ
ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับบทความที่เขียนมาให้อ่านคะ
หญิง


โดย: หญิง IP: 116.68.159.61 วันที่: 6 ตุลาคม 2558 เวลา:8:41:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.