Blu & Rosso จากแรงบันดาลใจที่เขาบอกว่า เขาอ่านหนังสือคู่นี้ปีละครั้ง
เมื่อวาน คุยกับหนุ่มคนนึงทาง MSN ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหนุ่มคนนี้เข้ามาอยู่ใน MSN เราได้ยังไง เพราะตั้งแต่ทำงาน เราไม่เคยได้ใช้ MSN เลย จนมาตอนนี้เวลาขอไฟล์อะไรจากใคร เค้าก็จะสะดวกที่จะส่งทาง MSN กันมากกว่า ด้วยเหตุนี้ เราจึงใช้เมลใหม่สมัคร MSN ไว้พร้อมกับมีเพื่อนแค่ 3-4 คน และ 1 ใน 3-4 คนนั้นก็มีหนุ่มคนนี้อยู่ในลิส
มาได้ยังไง? เข้ามาตอนไหน? รู้จักเรารึเปล่า?
ไม่มีใครตอบได้ทั้งคู่ แต่ถามไปถามมา เค้าเคยเรียนคลาสเดียวกับเพื่อนที่ชมรมเรา อ่อ อย่างน้อยก็มีลิงค์ ๆ กันบ้างนิดนึง
พอดีคุยกันเรื่องหนังสือ ตั้งแต่เรื่อง 100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว
เล่มนี้เคยอยากอ่าน แต่ก็ไม่เคยได้อ่านเลย แต่เค้าเก่งมาก อ่าน version ภาษาอังกฤษด้วย
เรามีนิยายภาษาอังกฤษอยู่เหมือนกันนะ แต่อ่านไม่เคยจบซักเล่ม ที่อ่านจบเล่มเดียวแล้วหยิบมาอ่านอีกเกิน 1 รอบแต่นาน ๆ ครั้งคือเรื่อง TRUE LOVE
เล่มนั้นจำได้ว่าพออ่านคอลัมน์ของพี่'ปราย พันแสง นักเขียคนโปรด ที่พี่เค้าเขียนลงมติชนสุดสัปดาห์เมื่อ 10 กว่าปีก่อน จำได้ว่าต้องนั้นอยู่ม.ปลาย รีบแจ้นไปซื้อที่เอเชีย บุ๊คเลย เป็นหนังสือที่แพงที่สุดในชีวิตที่ซื้อเลยก็ว่าได้
ก็บอกแล้วไง ว่าเป็นผู้หญิงที่อินกับอะไรง่าย แถมอินมาก อยากได้ก็ต้องไปหาให้ได้ในเวลาที่ัสั้นที่สุด เพราะไม่งั้น เดี๋ยวความรู้สึกอยากมันก็จางและลางเลือนไป ซึ่งมันอาจจะดีก็ได้เนอะ จะได้ไม่ต้องเสียเงินบ่อย ๆ ถ้าเราอินกับอะไรบ่อย ๆ
จริง ๆ อยากอ่านนิยายทุกเล่มเป็น version ภาษาอังกฤษนะ เพราะเวลาเราเห็นใครอ่านนิยาย version ภาษาอังกฤษเนี่ เขาหรือเธอคนนั้นดูดีมากเลย
เลยอยากเป็นผู้หญิงที่ดูดี มีภูมิกะเค้าบ้าง อย่างน้อยก็ในสายตาตัวเองละวะ แต่ก็ไม่ไหวนะ
เคยอ่านนิยาย คุณเก็บความลับได้ไหม ตอนแปลมา
ชอบมาก อ่านจบรวดเร็วภายใน 1 คืนถึงเช้าเลย แต่ตอนหลังมาได้เป็นฉบับภาษาอังกฤษ Can you keep a secret? ของ Sophie Kinsella ถึงแม้ว่าเรื่องมันก็สนุกเหมือนกัน แต่จนป่านนี้ก็กองไว้ในลิ้นชักแล้ว อ่านไปได้แค่ 20% เองมั้ง อ่านแล้วพยายามแปล มันไม่ได้อรรถรสเลยจริง ๆ คงเป็นผู้หญิงมีภูมิกะเค้าไม่ได้จริง ๆ ซะแล้ว
จริง ๆ เราเป็นคนอ่านนิยายน้อยมากนะ แล้วก็ไม่ค่อยชอบอ่านด้วย เพราะมันยาวและมันเยอะ มันใช้เวลาเยอะมาก ที่อ่านจบ ก็มีเวลาในขวดแก้ว
เรื่องนี้จำได้ว่าสนุก แต่หน้าปกเฉยมาก อ่านรวดเดียวจบ แต่จำไม่ได้แล้วว่าเกี่ยวกับอะไร
แล้วก็เป็น สุดขอบจักรวาล ของจุฑารัตน์
เล่มนี้เพื่อน recommend มาก ๆ เลยฮึดอ่าน เล่มหนาเท่าฝ่ามือ เพื่อนเล่าให้ฟังว่าพี่สาวเค้าอ่านแบบไม่นอนเลย นั่งกินข้าวก็ต้องอ่านไปกินไป ไม่ละสายตาจากหนังสือเล่มนี้เลย ได้ฟังดังนั้น อินสิคะ ไปหาซื้อมาบ้างเลย รู้สึกว่าเป็นหนังสือที่แพงรองมาจาก TRUE LOVE เลยนะนั่นสมัยนั้น อ่านแล้วก็สนุกดี แฟนตาซีดี สมคำร่ำลือ
คงมีนิยายเท่านี้ล่ะมั้งในชีวิตที่อ่านจบ ไม่นับเรื่องที่คล้าย ๆ พ็อคเก็ตบุ๊คแล้วกันนะ เ่ช่น กล่องไปรษณีย์สีแดง
เรื่องนี้พี่'ปรายก็เอามาแนะนำในคอลัมน์นะ แล้วมีประโยคนึงประมาณว่า ขาหักยังไม่เท่าไหร่ แต่หัวใจชั้นที่หักแล้วหักอีก รีบแจ้นไปซื้ออีกเหมือนกัน เรื่องนี้น่ารักมาก เป็นนิยายกึ่งสารคดี
เรื่องนี้มีอยู่ช่วงนึงบ้ามาก ก่อนที่เค้าจะเอามาทำหนังเรื่อง เพื่อนสนิท อีกนะ คือมาวางหัวเตียงเลย อ่านก่อนนอนทุกคืน อ่านซ้ำไป ซ้ำมาอยู่หลายรอบมาก แต่ตอนนี้ก็เลิกอินไปละ
พอมาทำหนังก็หมดกัน จำไว้เลยถ้าเราชอบหนังสือเล่มไหนมาก ๆ อย่าไปดูหนังที่เค้าสร้างมาจากหนังสือเล่มนั้น เพราะเราจะผิดหวังทุกครั้งไป
แต่พวกนิยายดัง ๆ เราไม่อ่านเลยนะ พวก Harry Potter, Lord of the ring อะไรพวกเนี้ย ไม่เห็นสนใจอยากอ่านเลย
มีอันเดียวที่สนใจคือเพชรพระอุมา ตอนเรียนมหาลัยตั้งใจมากว่าต้องอ่านให้ครบ 48 เล่มก่อนจบ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่จบ จบไป 12 เล่มเองมั้งแล้วก็ค้างอยู่อย่างนั้น ถ้าให้มาอ่านต่อ คงต้องเริ่มอ่านใหม่หมดเลยแน่ ๆ
แล้วเราก็คุยกันถึงเรื่อง หลับ(Asleep)
เรื่องนี้ก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกะเค้าเล้ย แต่นักเขียนที่ชอบอีกคนคือ เพลงดาบแม่น้ำร้อยสายเป็นคนแปล ก็เลยไปตามมาหาอ่านกะเค้า
อินกับคำโปรยหนังสือที่บอกว่า
"รวมนิยายขนาดสั้น 3 เรื่อง สำหรับผู้พิสมัยในราตรีกาลและดื่มด่ำกับการนอน เป็นเรื่องราวของ 3 สาวซึ่งเสพติดการหลับใหลด้วยเหตุผลที่ไม่ธรรมดา"
เขียนโดยโยชิโมโต บานานา แปลโดยเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย
แต่เรื่องนี้จำไม่ได้เหมือนกันว่าอ่านจบรึเปล่า เพราะอ่านไปก็ง่วงไปตามสาวในเรื่องเลย แถมง่วงแบบปวดหัวอีกต่างหาก ปวดหัวเหมือนคนนอนเยอะเกินไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้นอนแต่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่น่ะ เหมือนโดนสะกดจิต บังคับง่วง ก็บอกอีกรอบไงว่าเป็นคนอิน อ่านหนังสือก็อินจนเกินเหตุ
แล้วก็เรื่อยมาถึงหนังสือคู่ Blu & Rosso
หรือภาษาไทยที่เค้าแปลมาว่าเรื่อง "ร้อนแรง" กับ "เยือกเย็น" ตอนนั้นก็อยากอ่านเพราะพี่'ปรายเขียนอีกนั่นแหละ เลยไปหามาอ่าน แต่มันตั้ง 10 ปีมาแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นเค้าบอกว่าเป็นนิยายขายดีทีุ่สดในญี่ปุ่น ยอดพิมพ์เป็นล้าน ๆ เล่ม ตอนนี้คง 10 ล้านไปแล้วมั้ง
หนุ่มคนนี้บอกว่าเค้าชอบมากเลย เค้าต้องกลับมาอ่านหนังสือคู่นี้ปีละครั้ง อ่านแค่ประโยคนี้ ต่อมอยากอ่านทำงานเต็มสูบ วันนี้หลังเลิกงานเลยแจ้นไปหาหนังสือเล่มนี้ แต่ไม่ได้แวะไปไหนเลยหาเช่าเอาปากซอยบ้านก่อน
คนคุมเค้าขึ้นไปหาในกองหนังสือเก่านานมาก นานจนเกรงใจแล้วบอกเค้าว่าไม่ต้องก็ได้ เพราะหนังสือมันนานเป็น 10 ปีแล้ว แต่สุดท้ายเค้าก็หาเจอ เลยยืมเค้ามาก่อน 1 เล่ม จำได้ว่าเคยอ่านฝั่งผู้หญิงนะ เลยเลือกอ่านฝั่งผู้ชายก่อนดีกว่า
หลังจากอ่านจบทั้ง 2 เล่ม
เราชอบ Blu หรือ เยือกเย็น ฝั่งจุนเซ ชายหนุ่มในเรื่องมากกว่า ดูเค้ามีพลัง คิดถึงแต่อาโออิในทุกอณูลมหายใจเข้าออกไม่ว่าเค้าจะอยู่ที่ไหน หรือทำอะไร ก็จะมีแต่ความทรงจำเกี่ยวกับอาโออิในทุกเรื่องราว อาโออิช่างเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาเสียนี่กระไร
เราอ่านยือกเย็น ก่อนที่จะมาอ่านร้อนแรง ความคิด มุมมอง และความในใจของอาโออิ หญิงสาวที่นอกจากอยู่ในความทรงจำของชายหนุ่นมที่รักเธอมากมาถึง 10 ปีแล้ว ชีวิตเธอก็น่าอิจฉาไม่น้อย ที่ทำงานประจำแค่อาทิตย์ละ 3 วัน วันที่ไม่ได้ทำก็สามารถนั่งเล่น นอนเล่นอ่านหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดอย่างสบายใจได้ทั้งวัน แล้วตอนบ่ายแก่ ๆ ก็นอนเล่นแช่น้ำอุ่นปลดปล่อย อารมณ์สบายใจ แถมได้นอนตื่นเที่ยง ๆ ได้เสมอ ๆ
สารภาพว่าอ่านร้อนแรงฝั่งอาโออิแบบข้าม ๆ แต่อ่านเยือกเย็นฝั่งจุนเซแบบทุกตัวอักษร
จุนเซเขียนถึงอาโออิเยอะมาก มากจนเราสามารถสัมผัสความรักอันร้อนแรงของจุกเซที่ส่งผ่านไปให้อาโออิอย่างชัดเจน เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวด สับสน กังวลของจุนเซ ความรักอันร้อนแรงของจุนเซดึงดูดและบีบอัดหัวใจเราให้เข้าไปค้นหาตัวตน ความคิด ความทรงจำ ความรู้สึกมากมายผ่านการไล่สายตาไปทุกตัวอักษรที่ผ่านไปหน้าแล้วหน้าเล่าอย่างไม่รู้จักเหนื่อย สิ่งที่เค้าพูด ทำ คิดหรือแม้แต่อาชีพของจุนเซดูจะเป็นเรื่องที่เราอยากรู้และสนใจไปซะหมดทุกอย่าง
แต่อาโออิกลับเขียนถึงจุนเซน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เธอจะเล่าชีวิตประจำวันที่อยู่กับมาร์ฟมากกว่า เราเลยจับความรักอันเยือกเย็นของอาโออิที่ส่งผ่านไปให้จุนเซได้อย่างแผ่วเบาแต่ทว่าไม่ขาดสาย จากคำพูดที่ว่า
"อางาตะ จุนเซเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน
ไม่ว่าจะดวงตาคู่นั้น เสียงของเขา และรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความว้าเหว่
สมมติว่าจุนเซจะดับสูญไป ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
ฉันจะต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าจะห่างไกลแสนไกล
แม้ว่าจะไม่ได้พบกันอีกเลย"
เราเลยเลือกอ่านช่วงที่อาโออิพูดถึงความทรงจำที่มีจุนเซอยู่ด้วยเท่านั้นตอนครึ่งหลัง
บางครั้ง ความผูกพันของคนเราก็เป็นแบบนี้ แต่อยู่ที่ว่าทั้ง 2 ฝ่ายคิดเหมือนกันรึเปล่า ถ้าคิดเหมือนกัน อีก 10 ปีมาเจอกันมันก็ยังไม่สายที่จะตอบคำถามหรือรื้อฟื้นอะไรบางอย่างที่มันยังไม่ชัดเจน โลกนี้ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเป็นแบบแผนชัดเจนไปหมดทุกเรื่องก็ได้ บางครั้งอะไรที่มันไม่ชัดเจนมันก็ทำให้หลายอย่างยังคงขับเคลื่อนไปได้
คิดแล้วก็แปลกแฮะ ว่าคำพูดประโยคเดียวจากคนที่ไม่เคยเห็นหน้า กลับมีอิทธิพลทำให้เราไปขวนขวายหาหนังสือ 2 เล่มนี้มาให้ได้
แต่ก็ขอบคุณที่ทำให้รับสัมผัสความรักทั้ง 2 แบบจากหนังสือ 2 เล่มนี้
Create Date : 27 ธันวาคม 2553 |
Last Update : 15 กันยายน 2556 19:13:41 น. |
|
5 comments
|
Counter : 5775 Pageviews. |
|
|
|
ชอบนะคะ ความรักระหว่างจุนเซ กับ อาโออิ
^^
เรื่องของคุณเหมือนพรหมลิขิตเลยนะคะ :)