Week แห่งข่าวดีที่มาพร้อมกับอาการไอขั้นรุนแรงไม่ได้นอนทั้งคืน (อีกแล้ว)
ถึงแม้ว่า week นี้จะได้ทำงานแค่ 3 วันหลังจากปิดเทอมไปซะเกือบ 10 วัน เล่นเอาเปิดมาทำงานไม่เป็นเลย แถมงานท่วมหัว แค่ตอบ email ทำงานส่งเมืองนอกก็หมดไปเป็นวันแล้ว
แต่ก็ยังได้รับข่าวดีมากถึง 2 ข่าวแน่ะ ก็จะอะไรซะอีกล่ะสำหรับข่าวดีของเราน่ะ นอกได้ได้ไปเที่ยวเมืองนอกฟรี สิ่งที่เราตั้งใจร่วมสนุกกับคลื่นวิทยุอย่างจริงจังเกือบทุกเดือนถ้าเค้ามีให้ร่วมสนุก 555
คราวนี้เราได้ไป Switzerland ฟรี 7 วันกลางเดือนหน้า ตกใจเหมือนกันเพราะไม่ได้หวังเลย คลื่นนี้เล่นกับเค้ามาหลายปีดีดัก ไม่เคยได้ไปกับเค้าเล้ย เพราะถึงเข้ารอบแรกก็ตกรอบ 2 ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายอยู่ดี เพราะรอบแรกเค้าจะสุ่มหรือตอบคำถามหน้าไมค์ซึ่งมันไม่ยากมาก ถ้าเราฟังและดวงดีเค้าสุ่มเจอ แต่รอบ 2 เนี่ย มีทั้งตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ ๆ เราจะไปบ้าง จับผิดภาพบ้าง แข่งยกมือตอบบ้าง แต่ต้องมีการสัมภาษณ์ซึ่งเราคิดว่ามันไม่แฟร์ เพราะเค้าไม่ยอมบอกคะแนนรวม แล้วเราก็ไม่รู้คะแนนสัมภาษณ์ด้วย แล้วอีกวัน 2 วันค่อยประกาศผลว่าใครได้ ซึ่งเราจะไม่รู้เลยว่าเราได้คะแนนแต่ละ part เท่าไหร่ คือจริง ๆ แล้วอาจจะตัดสินที่สัมภาษณ์ก็ได้ว่าเค้าชอบคนนี้ จะเอาคนนี้ แต่คนนี้ได้คะแนนข้อเขียนน้อยแต่จะเอาไปก็เอาไปได้ เพราะทุกคนก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนได้คะแนนส่วนไหนเท่าไหร่บ้าง เค้าประกาศแต่คนที่ได้ไป 3-4 คนเท่านั้น
ไม่เหมือนบางคลื่นที่เค้าโปร่งใส คือเล่นตอนนั้น คัดคล้าย ๆ เกมวัดดวงตัดไปเรื่อย ๆ จนเหลือ 3-4 คนสุดท้ายที่เค้าจะเอาไป คือเราสามารถรู้เลยว่าใครได้ไปบ้างภายในเย็นวันนั้นเลย โดยส่วนมากจะไม่มีสัมภาษณ์นะ เล่นบางเกมความรู้บ้างแต่ก็เล่นกับการฉายสไลด์ยกขึ้นใครเร็วสุดอะไรเงี้ย แบบว่าโปร่งใส คนที่ตกรอบสามารถนั่งดูได้ แล้วรู้เลยว่าใครได้ไปบ้างที่เหลือตามจำนวนคนที่เค้าให้ไป
แต่กับคราวนี้ ต้องขอบคุณสถานการณ์บ้านเมือง ที่ตัดสินใจให้ทางคลื่นเลือกสุ่มเอาผู้โชคดีเลย เพราะจริง ๆ แล้วเค้าจะสุ่มเอา 100 คนไปทำกิจกรรมที่สวนจตุจักรก่อน แล้วค่อยเอา 10 คนที่ชนะวันนั้นไปมั้ง แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ การจัดกิจกรรมก็คงไม่เหมาะ เดี๋ยววิ่ง ๆ ไปสะดุดระเบิดก็คงแย่ แล้วมันก็หยุดมานาน ให้ไปทำกิจกรรมอีกก็คงยิ่งช้า เพราะอีก 2 อาทิตย์จะไปแล้ว ทางทัวร์ก็ต้องเอาเอกสารไปขอวีซ่า เพื่อวีซ่าบางคนต้องขอเอกสารเพิ่มอีก ฯลฯ
เท่าที่จำความได้ เราไม่เคยได้รางวัลจากจากสุ่มจับสลากเลยซักครั้ง ส่วนใหญ่จะได้จากการต้องแข่งกิจกรรมแล้วชนะด้วยความสามารถ หรือเล่นเกมวัดดวงที่ตัวเองเป็นคนเลือกมากกว่าที่คนอื่นมาเลือกเรามากกว่า แต่ยังไงซะ ข่าวนี้คงเป็นข่าวดีที่สุดในรอบปีของเราเลยทีเดียว
ส่วนข่าวดีเรื่องที่ 2 ของเราก็คือ เราจะได้ไป conference ที่เกาหลีเดือน July ของออฟฟิศ ก็ต้องขอบคุณสถานการณ์บ้านเมืองอีกนั่นแหละ เพราะ conference ของ Asia Pacific นี้ เค้าจะให้ประเทศแถบ Asia Pacific โหวตว่าให้จัดประเทศไหนในแต่ละปี แล้วประเทศไทยก็เป็นคนเหมาจัด conference นี้เกือบทุกปี แหม ก็เข้าใจนะว่าคนอื่นก็อยากมาเที่ยวประเทศเรา ซึ่งปีนี้เค้าก็ลงมติจัดที่ไทยอีกนั่นแหละตั้งแต่ต้นปี แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ เค้าก็เลยเปลี่ยนประเทศกระทันหัน หวยเลยไปตกที่เกาหลี
กรี๊ด ดีใจจังได้ไปเหยียบเกาหลีกะเค้าซักที หลังจากดูซีรี่ย์กับหนังเค้ามาหลายปีดีดัก แต่ไม่เคยไปซะที เคยบ้ามาก ๆ ตอนดู Coffee Prince ว่าอยากไปตายรอย บ้าขนาดจะไปลงคอร์สเรียนภาษาเกาหลีเลยทีเดียว ดีนะตอนนี้ไม่ทำตามอารมณ์ ขนาดตอนนี้ได้ตั๋วไปเกาหลีฟรี 2 ใบแต่สุดท้ายก็ขายทิ้ง เพราะมันต้องจ่ายค่ากินอยู่เอง มันก็ไม่คุ้ม (อ๊ะ จำได้ละ ไอ้ตั๋วฟรีนี่เค้าก็สุ่มได้นี่หว่า แต่ต้องโทรไปขอเพลงหน้าไมค์แล้วเค้าเก็บชื่อเอาไว้แล้วสิ้นเดือนเค้าสุ่มโทรกลับที่ต้องรับภายใน 15 วินาที)
จริง ๆ หวยน่าจะไปตกที่ญี่ปุ่นนะ เพราะตอนนี้อยากไปญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลี ก็ไม่เข้าใจเล้ย ว่าพวก Asia Pacific ไม่มีใครอยากไปนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มัลดีฟ กันมั่งเหรอไงวะ เล่นโหวตแต่ไทย ไม่ก็ฟิลิปินส์ เฮ้อ คนไทยเลยต้องประชุมในประเทศตัวเองตลอด พวกเราก็อยากไปประชุมต่างประเทศมั่งนะเฟ้ย
พอได้ข่าวดี 2 ชั้นมาก็เล่นไม่มีสมาธิทำงานเลย เพราะในหัวมัวแต่คิดว่าจะแต่งตัวยังไงตอนไป Switzerland ดีในแต่ละวัน เครื่องกันหนาวก็ยังไม่มีซักอย่าง แถมกล้องก็กิ๊กก๊อกมาก ๆ เพราะซื้อกล้องพี่เคนมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แบตแท้ แบตสำรองก็เสื่อมอีกต่างหาก กล้องเราก็ไม่ค่อยได้ใช้ เพราะไปเที่ยวต่างจังหวัดหลัง ๆ มีเพื่อน ๆ น้อง ๆ ซื้อกล้องโปรแบกไปถ่าย แล้วเราจะเอาไปทำไม ได้รูปสวยกว่ากล้องกิ๊กก๊อกเราเป็นไหน ๆ จะให้ยืมเค้าก็คงจะไม่ไหว เพราะใครจะให้ยืมกล้องตัวละหลายหมื่น แถมเราก็เล่นกล้องตัวใหญ่ไม่เป็นด้วย
แล้วที่สำคัญ เราไม่ได้อยากเป็นคนถ่าย แต่เราอยากถูกถ่ายมากกว่า แล้วการจะให้เพื่อนร่วมทริปซึ่งเป็นหญิงล้วนแล้วเพิ่งรู้จักกันที่สนามบินมายกกล้องหนัก ๆ ถ่ายให้ตลอดทริปก็คงเป็นไปไม่ได้ แถมแต่ละคนคงมีเทคนิคการถ่ายกล้องตัวใหญ่กันแทบเป็น 0 เพราะขนาดเพื่อนผู้หญิงแต่ละคนเรา ให้ลองยกกล้องตัวใหญ่ถ่ายให้เล่นเอาเครียดเลย เพราะภาพมักจะมัว focus ผิดจุด แล้วบางคนไม่รู้จักแม้จะทั่งต้องกดครึ่งชัตเตอร์เพื่อ focus ก่อนเล้ย มาถึงก็ยกกล้องกดถ่ายเลย จะบ้าตาย
กำลังลุ้นอยู่เหมือนกันว่าการได้ไปเมืองนอกครั้งนี้ต้องเจอโชคร้ายอะไรรึเปล่า เพราะไปฝรั่งเศสตอนใต้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็เอาหน้าผากตัวเองไปเฉาะกับประตูรถชาวบ้านเย็บไป 10 เข็มกลางหน้าผากก่อนไปทริปแค่อาทิตย์กว่า เราเล่าไปแล้วในบล็อคนี้
แต่คราวนี้รู้สึกว่าจะได้โชค(ร้าย)มาอีกแล้ว เพราะตอนนี้เราเจ็บคอมากถึงมากที่สุด ส่วนนึงก็มาจากการซ้อมอัด spot ที่เราได้ไปทริปครั้งนี้เพื่อเอาไปออกอากาศ ซึ่งเราเป็นคนนิสัยเสียอย่างนึงคือ เวลาอัดเสียงพวกนี้ เราจะดัดเสียงให้มันดูดีนิดนึง แล้วเราต้องใช้ลมเข้าคอเยอะมาก แล้วเราซ้อมพูด spot 30 วินาทีนี้หลาย 10 ครั้ง เล่นเอาคอแห้งผาก คันคอไปหมดเลย
นอนคืนนั้นเลยแทบนอนไม่ได้เลย เพราะคันคอมาก ไอทั้งคืน ตาโหลไปทำงานเลย ไอ้หลอดลมอักเสบที่มันทรมานแค่ไหน ลองกลับไปบล็อคเก่าเราดูได้ เพราะเราเคยเป็นมาก่อนเมื่อปี 2 ปีที่แล้ว คราวนั้นเป็นประมาณ 3 เดือนได้ เล่นเอาเครียดจนเลิกเครียดไปเลย
อาการเดิม repeat เลย คือไอทั้งคืน ก็จิบน้ำที่เตรียมไว้ข้างเตียงทั้งคืน ก็เข้าห้องน้ำทั้งคืนเหมือนกัน แล้วเราเป็นคนที่ถ้าตื่นแล้วจะหลับยากมาก พอจะหลับก็ไอ พอไอก็จิบน้ำ พอจิบน้ำเสร็จจะหลับ ๆ ก็ปวดฉี่ วงจรอุบาทว์นี้อยู่กับเรามา 3 คืน จนเราทนไม่ไหวต้องไปหาหมอ หมอก็ตรวจแล้วบอกว่าคอแดง แล้วก็บอกอย่างเดิมเหมือน 2 ปีก่อนคือหลอดลมอักเสบ แล้วจ่ายยาฆ่าเชื้อกับยาแก้ไอมาให้กันติดต่อกันจนหมด แล้วก็จับฉีดยาที่สะโพก
แต่คราวนี้ดีหน่อยนะที่ไม่ถึงกับกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ แล้วก็ไม่ได้พูดคำนึง ไอ 3 คำ แต่เสียงแหบแสบคอไปหมด
แต่การเป็นครั้งที่ 2 นี้ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างนะ เช่นอาการไอเนี่ย เราได้เรียนรู้ว่า เวลาจะไอเนี่ย ให้เกร็งหน้าท้องก่อนจะไอมันจะได้ไม่เจ็บซี่โครง ถ้าเอะอะไอเลยมันจะไปกระแทกซี่โครงทำให้เจ็บ ถ้าเจ็บซี่โครงแล้วเนี่ย แค่หายใจเข้า-ออกมันยังเจ็บเลย ทรมานมาก แต่คราวนี้ไม่เป็นแล้ว
แล้วก็ได้เรียนรู้ที่จะเลือกยาน้ำแก้ไอที่เหมาะกับตัวเอง เพราะเมื่อเป็นคราวก่อนเนี่ย เหมามาหมดทุกยี่ห้อไอ้ยาน้ำแก้ไอที่เค้าขาย ๆ กันเป็น 10 ยี่ห้อ กินมาหมด แล้วก็ได้รู้ว่ายาน้ำแก้ไอที่เหมาะกับเราคือ "ยาน้ำแก้ไอมะแว้ง บ้านอโรคยา" เท่านั้น เป็นยาน้ำแก้ไอที่รสแย่ที่สุดในทุกตัว แต่กินแล้วชุ่มคอสุด หายคันคอได้เร็วสุด แต่ตอนนี้เราหาซื้อไม่ได้แล้ว เพราะร้านที่ซื้อประจำบอกว่าขายยาก กว่าจะขายหมดก็คือเรานี่เหลือไปซื้อตั้งแต่เค้าเหลือ 2-3 ขวด แล้วก็เป็นเรานี่แหละที่ซื้อขวดสุดท้ายที่เค้าตั้งอยู่มาครึ่งปี
ไปหาหมอครั้งนี้ก็ฉลาดขึ้น แอบขอยานอนหลับหมอมาด้วย ไม่งั้นตายแน่ ๆ ไม่ได้นอนมา 3 คืนแล้ว ถึงแม้ว่าประกันจะไม่ cover ยานี้ก็เหอะ ยอมจ่ายเอง เพราะซื้อยานอนหลับร้านขายยาไม่ได้นี่นา แล้ว hidden agenda ของเราขอยานอนหลับของเราก็คือ เราจะเอาไปกินบนเครื่องตอนไป-กลับ เพราะไปยุโรปครั้งที่แล้วเรา suffer มาก นอนหลับไม่สนิทเลยตลอดการบิน 11 ชั่วโมง หลับไปได้แป๊บนึงถูกปลุกมากินข้าว กว่าจะหลับได้อีกก็เป็นชั่วโมง พอหลับได้อีก 3-4 ชั่วโมงก็ถูกปลุกมากินข้าวอีกแล้ว
เราเป็นคนที่นอนไม่พอไม่ได้นะ เพราะเราเป็นภูมิแพ้ พอนอนไม่พอน้ำมูกก็เริ่มไหล เริ่มคันตา อยากนอน ไร้ซึ่ง energy ไม่ร่าเริงเหมือนที่เคยเป็น อยากนอนแต่นอนไม่หลับ เป็นอะไรที่ทรมานมาก
บินคราวที่แล้ว ตอนไปยังไม่เท่าไหร่นะ แต่ตอนกลับเนี่ยสิ suffer กว่าอีก เพราะเรากินแต่ขนมปังอบ ๆ กรอบ ๆ แล้วเราร้อนในอ่ะ กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอไปหมดเลย ไฟลท์บินกลับเลยต้องขอน้ำจากแอร์จิบตลอดเลย ขอแบบว่า ตอนเค้ามาเสิร์ฟเราขอน้ำเค้าขวดนึง แล้วก็แกะดื่มรวดเดียวหมดขวด เค้ายังเสิร์ฟแถวเราไม่หมด เราก็ขออีกขวดแล้ว
หลัง ๆ เค้าก็จะรู้แล้ว เวลามาเสิร์ฟน้ำเราก็จะให้มาเพิ่มอีก 2 ขวด เพราะอีนี่กดของน้ำเปล่าเค้าเกือบทุกชั่วโมง ก็เกรงใจนะ แต่เจ็บและคันคอเกินกว่าจะทน แล้วก็เข้าห้องน้ำบ่อยมาก เลยต้องขอแลกที่นั่งกับพี่ที่นั่งติดกับทางเดิน เพื่อจะได้ไม่กวนเค้าเวลาอยากเข้าห้องน้ำ
อยู่บนเครื่องหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน คอก็เจ็บ แล้วพวกผู้โดยสารอ่ะ เวลาเดินไปเข้าห้องน้ำข้างหลังอ่ะ เดินกันกระแทกมาก เค้าคงไม่รู้สึกหรอกเพราะเดินมาจากข้างหน้ามาเข้าห้องน้ำข้างหลัง แต่เราอ่ะรู้สึกเวลาเค้าเดินผ่านเบาะเราเวลาเรากำลังหลับอ่ะ มันจะกระแทบตึง ๆ เกาอี้สั่นเลย ไม่รู้จะโทษเก้าอี้หรือการเดินกระแทกของเค้าดี
เพราะเวลาเราเดินไปเข้าห้องน้ำเราจะพอรู้แล้วไง ก็จะเดินแบบย่องเบาที่สุด แล้วเดินแบบกระเถิบข้าง ๆ เหมือนเดินเลียบกำแพงเอา เพราะถ้าเดินหน้าตรงมันจะทางแคบมากแล้วมันจะต้องเดินกระแทกเท้าน่ะ สงสารคนที่ได้ที่นั่งหน้าห้องน้ำมากเลยอ่ะ แสงกับเสียงห้องน้ำคงแยงตาทำให้นอนไม่หลับตลอดไฟลท์ 11 ชั่วโมงเลย
หวังว่าการไปทริปครั้งนี้คงจะเตรียมอะไรต่อมิอะไรพร้อมกว่าครั้งที่แล้ว แล้วคงเตรียมยาไปให้เพื่อทุกโรคที่จะเกิดขึ้นเลยล่ะ
พอได้รางวัลครั้งนี้นะ แว้ปแรกที่นึกถึงนะ เรานึกถึงคำพูดของแฟนพี่ที่ทำงานเก่าเราเลย เค้าบอกว่าให้พยายามไปเถอะจนกว่าจะสำเร็จ เค้าเปรียบเทียบกับการทอยเหรียญน่ะ พี่เค้าบอกว่า เราทอยเหรียญหัวก้อยเนี่ย chance ที่เหรียญจะออกหัวหรือก้อยจากการทอยเหรียญ 10 ครั้งมันไม่ใช่ 50:50 นะ เพราะการที่จะได้ความน่าจะเป็น 50:50 เนี่ย เค้าจะต้องทอยกันเป็นหมื่น ๆ ครั้ง ถ้าเราทอย 10 ครั้งเนี่ย โอกาสมันอาจจะเหลือแค่ 90:10 หรือ 80:20 เท่านั้น แล้วพี่เค้าก็ลองทอยให้ดู จริงด้วย โอกาสออกหัวแค่ 2 ใน 10 ครั้งเท่านั้น
มันก็เหมือนกับการแข่งเกมหรือเสี่ยงโชคนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าโอกาสได้กับไม่ได้จะอยู่ที่ 50:50 นะ บางครั้งมันอาจจะอยู่ที่ 90:10 หรือ 99:1 ก็ได้
คือเวลาเราเล่าเรื่องที่เราโชคดีให้คนที่ไม่ได้เคยเล่นอะไรแบบนี้น่ะ เค้าก็จะบอกว่าหูย โชคดีจัง แต่เค้าไม่ได้มารู้หรอกว่ากว่าเราจะโชคดีซักครั้งเนี่ย เราพยายามมากแค่ไหน ลงทุนมากแค่ไหน เราไม่ได้เล่นครั้งเดียวแล้วได้นะ เราเล่นเกือบทุกเดือน แล้วการที่จะผ่านเข้ารอบแรกเนี่ย เราก็ต้องจดจ้อง เฝ้ารอ รอร่วมสนุก รอส่ง sms รอโทรเข้าไปให้ติดหน้าไมค์เป็นคนแรก บางครั้งโทรติดคนแรกหรือเค้าสุ่ม sms มาเจอแต่เราตอบคำถามผิดก็ต้องเริ่มกันใหม่อีก บางครั้งโทรกี่รอบก็ไม่ติด หรือส่ง sms เค้าก็ไม่สุ่มซะที เราก็ต้องตั้งนาฬิกาปลุกไปเล่นรอบตี 3 ที่คนเค้าเล่นน้อย ๆ จะได้มีโอกาสที่เค้าจะสุ่มหรือโทรติดง่ายกว่า
ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ได้อะไรได้มาง่าย ๆ หรอก เหมือนที่เราอ่านหนังสือของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี วาทยกรชาวไทยที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ที่เราอ่านหนังสือของเค้าทุกเล่มนะ อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจมาก ๆ เราอ่านหนังสือเรื่อง กฎแห่งความโชคดี แล้วเห็นว่าจริงเลย คนที่คิดว่าเค้าโชคดีเนี่ย แสดงว่าไม่ได้รู้เบื้องหลังที่เค้าประสบความสำเร็จขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่โชคอย่างเดียวนะ เค้าต้องพยายามและเตรียมตัวพร้อมทุกสถานการณ์และก็ต้องรู้จัก connection ด้วย
ขนาดคนที่เค้าส่งพวกฉลากชิงโชค เค้ายังต้องลงทุนเลย แต่ก็เชื่อว่าของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับดวงด้วย อย่างของเพื่อนเราเนี่ย ที่ได้ไปทริปออสเตรีย ฮังการี่ เช็คกับคลื่อน 103 Virgin Soft ที่ปิดตัวไปแล้วเนี่ย เราอึ้งมาก เค้าไม่เคยเล่นอะไรพวกนี้เลยนะ เค้าตกรอบจากอีกคลื่น เราก็เลยแนะนำให้เค้าลองเล่นกับคลื่นนี้ เค้าโทรครั้งเดียวติดเลย เข้ารอบ 2 ก็ไปสัมภาษณ์แล้วก็ได้ไปเลย นั่นมันคงเป็นดวงของเค้าจริง ๆ แต่น้อยคนนะที่จะได้แบบนี้
แต่ก็เอาเหอะ เล่าเรื่องดีกับไม่ดีมาซะยืดยาว ยังไงซะเราก็จะ enjoy กับทริปนี้ให้ถึงที่สุด เราเคยอ่านหนังสือ "โตเกียวไม่มีขา" ของพี่เอ๋ นิ้วกลม (ซึ่งทำให้เราชอบเค้าและก็ได้รู้สึกสำนักพิมพ์ A Book มาตั้งแต่ตอนนั้น) มีคนเขียนบอกนิ้วกลมว่า "เที่ยวตอนที่เรายังเด็ก มันสนุกกว่าอะไรทั้งนั้น เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ"
แล้วก็อ่านเรื่อง "หน่อไม้" เค้าก็บอกว่า การเที่ยวมี 2 ประเภท การเดินทาง ทำให้เราเติบโต การท่องเที่ยว ทำให้เราเยาว์วัย
ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น หนูดีเคยบอกว่า สารแห่งความสุขมันไม่ได้หลั่งตอนเราไปเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้นนะ มันหลั่งตั้งแต่ก่อนเราไปเที่ยวแล้ว มันหลั่งตั้งแต่เราเริ่มคิดถึงแผนการเดินทาง คิดถึงการเตรียมตัวเดินทาง จัดของ แพ็คกระเป๋าแล้ว ดังนั้น 2 อาทิตย์ก่อนทริปนี้ เราจะมีความสุขทุกวัน (แต่ก็แอบเครียดทุกวันเพราะเครื่องกันหนาวโน่น นี่ นั่นก็ยังไม่ได้ซื้อ) แต่มันคงน้อยกว่าความสุขที่จะได้ไปเที่ยวครั้งนี้ล่ะนะ
แล้วจะรู้กัน ว่าเราจะเติบโตหรือเยาว์วัย
แต่เราคิดว่าการไปกับทัวร์ เราคงเติบโตได้น้อยกว่าการทำให้เราเด็กลงนะ ก็เรายังเด็กอยู่นี่เนอะ เที่ยวตอนอายุเท่านี้มันคงจะสนุกกว่าอะไรทั้งนั้น
แค่เขียนลงบล็อคก็ตื่นเต้นมีความสุขแล้ว กายพร้อม ใจพร้อม วันลา approved Let's go!!!! เย้!
ปล. ตลกมั้ย เราที่เราเขียนอะไรยืดยาวเนี่ย เราต้องร่างในกระดาษก่อนเสมอเลย แล้วเวลาร่างเนี่ย จะลิสเป็น point ไม่ได้นะ แต่เขียนยืดยาวเหมือนไดอารี่แล้วค่อยมาถ่ายทอดพิมพ์ลงบล็อคอีกทีนึงเหมือนนักเขียนสมัยก่อน เหมือนกับว่าถ้าไม่ได้จับดินสอหรือปากกามันจะเขียนไม่ออก แต่ก็จริงนะ เวลาเราวางมือลงบน keyboard เราจะเริ่มต้นไม่ถูก เขียนไม่ออกจนกว่าจะได้เขียนลงกระดาษก่อน
เดี๋ยวเรื่องหน้าวางไว้ละว่าจะเขียนหนังญี่ปุ่นเรื่อง About Love ที่นางเอกเป็นคนญี่ปุ่นกับพระเอกเป็นคนจีน (คนเดียวกับเรื่อง Waiting in the dark ที่เราเคยเขียนไว้ในบล็อคก่อนแล้ว แต่เรายังดูไม่จบหรอกนะ เพราะฤทธิ์ยาแก้ไอ + ยานอนหลับที่ลองกินดูก่อน แต่ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ดูแค่ 10 นาทีแรกแล้ว ดูสิ ขนาดดูแค่ 10 นาทีแรกแล้วก็ pause มาจดยุกยิกยืดยาวได้ขนาดนี้แล้ว ถ้าดูจบจะเวิ่นเว้อขนาดไหนกันนะ ไว้มาดูกัน
Create Date : 29 พฤษภาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 17:23:24 น. |
Counter : 2211 Pageviews. |
|
|
|