ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ประวัติน่ารู้เกี่ยวกับ “นางสงกรานต์”

วัน เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ จะมีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ การละเล่นสาดน้ำ

วันสงกรานต์ 2558

แต่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้หลายคนคงหลงลืมไปว่า “นางสงกรานต์” ถือเป็นอีกเรื่องเล่าที่หลายคนให้ความสนใจ เรามาดูกันว่าตำนานนางสงกรานต์นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร
จากตำนานเล่าถึงท้าวกบิลพรหมแพ้พนันธรรมบาลกุมาร ต้องตัดเศียรออกบูชาธรรมบาลกุมารตามสัญญาแต่เนื่องจากพระเศียรของพระองค์ตกไปอยู่ที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อที่นั้นไม่ว่าจะเป็นบนอากาศ บนดินหรือในน้ำ

ดังนั้น ธิดาทั้งเจ็ดจึงต้องนำพานมารองรับ และนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาส ครั้นถึงกำหนด 365 วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะต่างๆ ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่

วันสงกรานต์ 2558

โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า “นางสงกรานต์” ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น โดยนัยก็คือ พระอาทิตย์ นั่นเอง เพราะกบิล หมายถึง สีแดง
นอกจากตำนานข้างต้นยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับนางสงกรานต์ที่กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จะขอนำมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมดังนี้

วันสงกรานต์ 2558

นางสงกรานต์ของแต่ละวัน จะมีนาม อาหาร อาวุธ และสัตว์ที่เป็นพาหนะ ต่างๆ กันดังต่อไปนี้

วันอาทิตย์ ชื่อ ทุงษ์
ทัดดอกทับทิม เครื่องประดับปัทมราค ภักษาหารผลมะเดื่อ อาวุธขวาจักร ซ้ายสังข์ พาหนะครุฑ

วันจันทร์ ชื่อ โคราค
ทัดดอกปีบ เครื่องประดับมุกดา ภักษาหารน้ำมัน อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายไม้เท้า พาหนะเสือ

วันอังคาร ชื่อ รากษส
ทัดดอกบัวหลวง เครื่องประดับโมรา ภักษาหารโลหิต อาวุธขวา ตรีศูล ซ้ายธนู พาหนะสุกร

วันพุธ ชื่อ มัณฑา
ทัดดอกจำปา เครื่องประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย อาวุธขวาเข็ม ซ้ายไม้เท้า พาหนะลา

วันพฤหัสบดี ชื่อ กิริณี
ทัดดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถั่วงา อาวุธขวาขอ ซ้ายปืน พาหนะช้าง

วันศุกร์ ชื่อ กิมิทา
ทัดดอกจงกลนี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำว้า อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายพิณ พาหนะกระบือ

วันเสาร์ ชื่อ มโหทร
ทัดดอกสามหาว เครื่องประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย อาวุธขวาจักร ซ้ายตรีศูล พาหนะนกยูง


ที่มา  //horoscope.sanook.com/80229/




 

Create Date : 12 เมษายน 2558    
Last Update : 12 เมษายน 2558 9:33:31 น.
Counter : 1694 Pageviews.  

กลิ่นเท้าแรง มีวิธีแก้

กลิ่นเท้าแรง มีวิธีแก้

เรื่องเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อย คุณเคยได้กลิ่นเหม็นอบอวน ชวนอาเจียนโชยมาในห้องเรียน,ออฟฟิศ หรือที่ต่างๆบ้างไหม แล้วคุณคิดว่ากลิ่นมันมาจากไหน เจ้าของกลิ่นจะรู้ตัวหรือไม่ ว่ากำลังทำร้ายคนรอบข้างอยู่ แน่นอนเข้าคงไม่รู้ตัวหรอก เพราะถ้าเขารู้เขาคงไม่ถอดรองเท้าออกปล่อยกลิ่นขนาดนั้น หรือไม่กลิ่นอาจจะมาจากเท้าของคุณเองก็ได้ ไม่เชื่อลองแอบยกมาดมดูสิ "กลิ่นเท้า" เกิดจากการหมักหมมของแบคทีเรียของรองเท้า ทำให้เกิดกลิ่นมักจะเกิดกับคนที่มีเหงื่อออกเท้ามาก แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้กับตัวเอง เพียงรักษาความสะอาดซักนิดนอกจากเท้าของคุณจะปราศจากกลิ่นแล้วเท้าของคุณก็จะไม่หยาบกร้าน ส้นเท้าแตก แก่ก่อนวัย
วิธีดูแล1. ทำความสะอาดเท้าด้วยการล้างน้ำอุณภูมิปกติ2. ผสมน้ำอุ่นกับสบู่ แช่เท้าลงไปประมาณ 5 นาที เพื่อให้รูขุมขนเปิดและทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกไปได้ง่าย3. จากนั้นขัดเท้าและซอกนิ้วด้วยที่ขัดเท้า ขัดเป็นวงกลมนวดไปให้ทั่วโดยเน้นเฉพาะส่วนที่หยาบ หนากว่าส่วนอื่น4. ล้างออกด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิปรกติเพื่อปิดรูขุมขน แล้วเช็ดออกด้วยผ้า5. ทาครีมบำรุงให้ทั่วเท้าโดยเฉพาะส้นเท้าและซอกนิ้ว ทำสัปดาห์ละครั้ง นอกจากจะได้เท้าสะอาดไร้กลิ่นยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดได้อีกทางด้วย



ข้อมูลและรูปภาพจาก : ความรู้รอบตัว.com




 

Create Date : 07 เมษายน 2558    
Last Update : 7 เมษายน 2558 8:15:56 น.
Counter : 1007 Pageviews.  

ทำอย่างไร! เมื่อแอร์ไม่เย็น

นอนอยู่บ้านสบายๆตากแอร์อยู่ดีๆ แอร์ก็ไม่เย็นซะงั้น ยิ่งช่วงนี้เป็นฤดูร้อนด้วยแล้วอาจจะละลายกันได้เลยถ้าหากแอร์ไม่เย็น สาเหตุเกิดจากอะไรนั้นมีด้วยกันหลายองค์ประกอบที่บรรดาแม่บ้านทั้งหลายรวมไปถึงคนอยู่อาศัยในบ้านก้อต้องช่วยกันตรวจตรา แต่ก่อนที่จะเรียกช่างมาดูไม่ให้เสียตังค์ไปแบบง่ายๆ เรามาดูกันก่อนว่าเกิดจากอะไร ซึ่งจะต้องดูอะไรบ้างนั้นมาดูกัน 

ซ่อมแอร์

 ขั้นตอนการตรวจเช็คแอร์เมื่อแอร์ไม่เย็น

ตรวจเช็คสภาพการทำงานของระบบแอร์บ้านว่าปกติหรือไม่ เช่นเมื่อเปิดรีโมทแอร์ให้ตรวจเช็คไฟแสดงการทำงานถูกต้องไหม การทำงานของแอร์ต้องอยู่ในโหมดคูล(cool)ต้องไม่อยู่ในระบบพัดลม(Fan) รวมไปถึงไฟแสดงการทำงานของคอมเพรสเชอร์(คอยล์ร้อนหรือคอนเด็นชิ่งที่อยู่ด้านนอก)แสดงการทำงานหรือไม่ หากไฟไม่แสดงการทำงานของคอมเพรสเชอร์ปัญหาก็เกิดจากคอยล์ร้อนที่อยู่ด้านนอก นั่นคือ คอนเด็นชิ่งที่อยู่ด้านนอกไม่ทำงาน อาจเกิดจาก สายไฟขาด หนูกัดสายไฟ หรือไม่ก็ตัวคอมเพรสเชอร์มีปัญหา ปัญหานี้ต้องเรียกช่าง

แต่ถ้าไฟแสดงการทำงานของคอมเพรสเชอร์โชว์ปกติแต่แอร์ไม่เย็น เย็นไม่ฉ่ำ เมื่อตรวจสอบคอยล์ร้อนด้านนอกก็ทำงานปกติ(ให้ฟังจากเสียงการทำงานของพัดลม)   สาเหตุที่แอร์ไม่เย็น เย็นไม่ฉ่ำอาจเกิดจาก แอร์สกปก น้ำยาแอร์ขาด  ปัญหานี้เรียกช่างเช่นกัน

เมื่อเรียกช่างแอร์มาแล้ว ถ้าแอร์ตัวนั้นไม่ได้ล้างทำความสะอาดใหญ่มานานเกิน6เดือน ก็ควรให้ช่างแอร์ล้างใหญ่ไปพร้อมกับตรวจเช็คสภาพแอร์ไปด้วย แต่ถ้าเพิ่งล้างแอร์ไปไม่ถึง3เดือนและล้างฟิลเตอร์ทุกสองสัปดาห์ ก็ควรให้ช่างเข้ามาตรวจเช็คว่าสาเหตุเกิดจากอะไรหากช่างบอกว่า ตรวจพบแล้วแอร์สกปกติ สกปกติจริงไหม? ถ้าเรามั่นใจว่าไม่ใช่ก็ต้องบอกเขาว่าพึ่งล้างไปไม่นานนี้เอง แต่ก็อย่างว่าบางทีบางคนก็ล้างแอร์ไม่ค่อยสะอาด ถ้าช่างบอกว่ามันสกปกจริง ลองเอามืออังลมดูค่ะ ลมไม่ค่อยแรง เสียงอื้อๆ ก็ควรให้เขาล้าง ค่าล้างแอร์400-500 บาท (ก่อนจะให้ล้างแอร์ควรให้ช่างเช็คน้ำยาแอร์ด้วยนะคะว่าปกติไหม หากน้ำยาขาดก็ควรเติมให้เบ็ดเสร็จไปเลย)

นอกจากนี้หากช่างบอกว่าน้ำยาแอร์ขาด  หากน้ำยาแอร์ขาดก็ต้องแสดงให้เห็นว่าขาดเท่าไหร่  โดยดูได้ที่เครื่องมือตรวจวัดของช่าง ที่เรียกว่า เกจวัดค่าแรงดัน และตัองวัดขณะที่เครื่อง(คอมเพรสเชอร์)กำลังเดินหรือทำงานอยู่ ไม่ใชตรวจวัดค่าตอนคอมเพรสเชอร์ไม่ได้ทำงาน เกจมันจะบอกค่าว่า ขณะที่คอมเพรสเชอร์ทำงานปกติระดับน้ำยามีแรงดันอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งหากตัวเลขบอกว่า 65-80 ก็ไม่ใช่สาเหตุของแอร์ไม่เย็น



และหากพบว่าน้ำยาแอร์ขาดจริงและขาดมาก ถามต่อว่าทำไมน้ำยาแอร์ขาด มันรั่วตรงไหน พบเห็นร่องรอยไหม จุดไหนที่เสี่ยงในการรั่ว หรือระบบในท่อน้ำยาอุดตัน หากพบร่องรอยการรั่วซึมก็ควรซ่อมเพราะหากเติมน้ำยาเข้าไปก็จะรั่วหายไปอีกเช่นกัน(เย็นได้ไม่นาน) หากการรั่วซึมที่ไม่พบร่องรอยก็ต้องลองให้เติมและกำชับช่างให้ปิดวาล์วลูกศรให้ดี อาจต้องเปลี่ยนหัวจุกศรใหม่ หากเติมแล้วใช้ได้ไม่กี่วันแล้วแสดงอาการไม่เย็น เย็นไม่ฉ่ำออกมา ก็ต้องเรียกช่างมาซ่อม เช็คให้ละเอียดอีกทีว่า น้ำยาที่เติมขาดหายไปไหม หากขาดหายก็ต้องหารอยรั่วให้เจอ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของช่างด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : 3mbuildingfilm.com




 

Create Date : 06 เมษายน 2558    
Last Update : 6 เมษายน 2558 15:09:43 น.
Counter : 3650 Pageviews.  

ดื่มน้ำผลไม้ให้ประโยชน์มากแค่ไหน

ณ วันนี้เป็นยุคที่ผู้คนทั้งประเทศตื่นตัว กลัวตาย หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ขณะเดียวกันในด้านของผู้ผลิต ก็ตอบสนองโดยการผลิตสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภค ที่ห้อยท้ายด้วยคำว่า "เพื่อสุขภาพ" ออกมาจำหน่ายกันมากมาย หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือ น้ำผลไม้หลากชนิด นานายี่ห้อ ที่มีให้เลือกซื้ออย่างจุใจ

การดื่มน้ำผลไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น ดับกระหาย ส่วนคุณค่าทาง โภชนาการจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทุกคนต้องทราบ เพื่อที่จะได้จัดสรรอาหารการกินในแต่ละวันให้เป็นไปอย่างสมดุล และร่างกายได้รับประโยชน์จากอาหารที่เรากินเข้าไปมากที่สุด แต่ก่อนที่จะไปถึงคำตอบในคำถามที่ตั้งหัวข้อไว้ อยากให้ทำความรู้จักกับน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ กันก่อน


ชนิดของน้ำผลไม้

น้ำผลไม้ที่เราซื้อมาดื่ม ทั้งที่มีขายอยู่นอกห้างและในห้างสรรพสินค้าซึ่งมีทั้งชนิดคั้นสด บรรจุกล่อง บรรจุขวด ฯลฯ
หลากหลายรูปแบบนั้น ความจริงแบ่งได้ เป็น ๒ ประเภทเท่านั้น คือ

๑. น้ำผลไม้สด หมายถึง น้ำผลไม้ที่คั้นสำหรับดื่มสดๆ โดยไม่เติมสารปรุง แต่งใดๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่น น้ำส้ม หรือน้ำฝรั่ง ที่คั้นกันสดๆ หรือบรรจุขวดแช่น้ำแข็งขาย

๒. น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ หมายถึง น้ำผลไม้ที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีการถนอมอาหาร โดยใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งอื่นๆ เพื่อยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น ซึ่งน้ำผลไม้ประเภทนี้ก็มีหลายรูปแบบ เช่น

น้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ทำจากผลไม้สดที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น  เช่น ส้ม ฝรั่ง สับปะรด เป็นต้น โดยไม่ เติมกรด หรือน้ำตาล ซึ่งน้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นี้จะมีรสชาติใกล้เคียงน้ำผลไม้คั้นสดมากที่สุด

น้ำผลไม้ผสม น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจมีน้ำผลไม้ผสมอยู่มากกว่า ๑ ชนิด และส่วนใหญ่มักจะเติมน้ำตาล สารกันบูด สี และสารปรุงแต่งกลิ่นรสลงไปด้วย โดย ที่มีน้ำผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๖๐ เปอร์เซ็นต์

น้ำผลไม้ยูเอชที น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจผลิตจากผลไม้สด หรือน้ำผลไม้เข้มข้น (ที่ต้องมาทำให้เจือจาง) ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วบรรจุขวด หรือผนึก กล่องสุญญากาศ เพื่อให้เก็บได้นานวัน

ดื่มน้ำผลไม้ได้ประโยชน์อะไร

ในบรรดาอาหารชนิดต่างๆ ที่เรากิน ผักสด ผลไม้สด จะให้วิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิดแล้ว ถ้าหากแปรรูปมาเป็นน้ำผักหรือน้ำผลไม้ เราจะยังได้รับคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนเท่าเดิม เท่าที่ควรจะได้หรือเปล่า ไปฟังคำตอบจากนักวิชาการด้านอาหารกันค่ะ อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข ๙ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

คุณค่าของน้ำผลไม้ทั้ง ๒ ชนิด ถ้าเปรียบเทียบคุณค่าจะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเทียบระหว่างผลไม้และน้ำผลไม้ สดๆ ผลไม้สดย่อมดีกว่าน้ำผลไม้  แน่นอน ซึ่งได้วิตามินเต็มที่ เพราะระหว่างที่คั้นผลไม้ อาจจะสัมผัสกับแสงแดด และระหว่างการเก็บจะทำให้ วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดสูญหายไป เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ เมื่อโดนแสงก็สลายไปหมด

อีกประการหนึ่ง การที่คนหันมานิยมดื่มน้ำผลไม้ สิ่งที่จะขาดไปคือใยอาหาร ซึ่งคนปัจจุบันกินผักน้อยลงมาก จึงได้ไฟเบอร์หรือใยอาหารน้อย นักโภชนาการเองเคยหวังว่า เมื่อคนกินผักน้อยหรือไม่ชอบกินผัก (จะด้วยเหตุผลว่าผักไม่อร่อย หรือขี้เกียจเคี้ยวก็ตามที) ประชาชนก็น่าจะกินผลไม้ให้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าแทนที่จะกินผลไม้สดๆ กลับไปกินน้ำผลไม้แทนเพราะสะดวก สบาย ไม่ต้องเคี้ยว ผลคือ ทำให้ได้ใยอาหารต่ำ

ไฟเบอร์ไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นไฟโตเคมีคอล เป็นสารที่อยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งมีคุณสมบัติอมน้ำ แล้วขณะอมน้ำก็เกิดน้ำหนัก ก็เลยไหลผ่านระบบลำไส้ กระเพาะ แล้วขณะที่ไหลมันก็จะไปกวาดเอาน้ำตาล ไขมัน โคเลสเตอรอล หรือสารก่อมะเร็งออกไปจากร่างกายด้วย

ฝรั่งจึงกล่าวว่าไฟเบอร์ที่ได้จากผัก ผลไม้ เปรียบประดุจไม้กวาด ที่กวาดเอา สิ่งที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ปัจจุบันนักวิชาการให้ความสำคัญกับเรื่องไฟเบอร์มากจริงๆ ก็พูดกันมานาน แต่ไม่เป็นข่าวมากเหมือนทุกวันนี้ และที่เป็นข่าวมากก็เพราะคนทั่วโลกกินผัก ผลไม้น้อยลงอย่างน่าตกใจโดยเฉพาะผัก เมื่อไม่กินผักไม่กินผลไม้ โรคภัยก็ตามมา เพราะฉะนั้นระยะหลังคนจึงเป็นโรคภัยไข้เจ็บกันเยอะมาก

ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้แบบไหน

การดื่มน้ำผลไม้ให้ภาพลักษณ์ที่ดูดี (ว่าเป็นคนที่รักสุขภาพ) ขณะเดียวกันการโฆษณาหรือกล่องสวยๆ ของเครื่องดื่ม ก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อไม่น้อย อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้คำแนะนำในการเลือกดื่มน้ำผลไม้ให้ได้ประโยชน์ว่า

พูดถึงน้ำผลไม้ ผมขอรวมเอาน้ำสมุนไพรที่กำลังเห่อกันอย่างน้ำลูกยอ หรือน้ำผักปั่นเข้าไปด้วย สิ่งที่น่าห่วงคือการที่ผู้ขายใส่น้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ จนแทบไม่มีกลิ่นหรือมีรสของสมุนไพรเลยจริงๆ แล้วตามความหมายของน้ำสมุนไพร คือ ต้องมีกลิ่นสมุนไพรนำหน้า ไม่ใช่กลิ่นหรือความหวานของน้ำตาลนำหน้า อาจหวานนิดหน่อยปะแล่มๆ น้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่หวานจัด น้ำตาลที่สะสมมากๆ นี่แหละ ที่จะเปลี่ยนเป็นไขมันแล้วทำให้อ้วนได้

ข้อเสียของการดื่มน้ำผลไม้ที่หวานจัด คือ เด็กๆ ที่กินหวานมากจะไม่รู้สึกหิวข้าวซึ่งเป็นอาหารหลัก ผลคือ อาจทำให้ขาดสารอาหาร  ทำให้เด็กติดรสหวาน ทำให้ฟันผุ ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการดื่มน้ำอัดลมเป็นครั้งคราว หรือวันละ ๑-๓ แก้ว เพื่อดับกระหาย เพื่อความสดชื่นก็สามารถดื่มได้ ถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เติมน้ำตาล แต่ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการกินผลไม้ ผมไม่สนับสนุน"

น้ำผลไม้ยูเอชทีเพิ่มวิตามิน

ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า น้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ แล้วดื่มทันที จะให้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินซี แต่ถ้าเป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ เช่น น้ำผลไม้บรรจุขวด หรือบรรจุกล่องประเภทยูเอชทีทั้งหลาย แน่นอนว่าวิตามินสำคัญ เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ สลายไปหมดไม่มีเหลือแล้ว

รู้อย่างนี้ บรรดาผู้ผลิตน้ำผลไม้ประเภทต่างๆ จึงเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ โดยการเติมวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ลงไปเพื่อเสริมส่วนขาด (และเพื่อเป็นการส่งเสริมการขายด้วย) วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้จะ ให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้ความรู้ว่า

โดยหลักการ การเติมสารอาหารลงไป เขาจะเติมให้ได้ปริมาณ ๑ ใน ๓ ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน แต่ต้องยอมรับว่า วิตามินเอ วิตามินซี เมื่อเจอความร้อนจะถูกออกซิไดซ์ (ทำปฏิกิริยากับอากาศ) เพราะฉะนั้นผู้ผลิตส่วนใหญ่ ก็จะเติมวิตามินเหล่านี้ในปริมาณมาก เผื่อการสูญสลายเอาไว้ด้วย หรือบางยี่ห้ออาจใช้วิธีบรรจุเครื่องดื่มในกล่องทึบแสง ซึ่งก็ช่วยให้วิตามินเหล่านั้นคงอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง

แต่ไม่ได้หมายความว่าวิตามินที่เติมลงไปจะอยู่ได้ยืนยาวตลอดเวลาจนถึงวันหมดอายุ วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้ อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารบ้างแต่ไม่มาก ไม่อยากให้ประชาชนผู้บริโภค ตื่นกระแสน้ำผลไม้ที่เติมวิตามิน แล้วอุปาทานเหมือนกับว่าดื่มน้ำผลไม้แล้วได้รับประโยชน์มากมาย โดยไม่กินผักและผลไม้ ซึ่งจะทดแทนกันไม่ได้

ผมอยากบอกว่า การกินผลไม้ทุกชนิดโดยตรง แล้วดื่มน้ำเปล่าๆ จะได้ประโยชน์กว่าการดื่มน้ำผลไม้ ยกตัวอย่าง เช่น กินส้ม ๑ ผล กินน้ำส้มคั้น ๑ แก้ว (ที่คั้นสดๆ) ที่หากทิ้งไว้ไม่นาน ก็อาจมีวิตามินซีอยู่บ้าง มีไฟเบอร์เล็กน้อย นอกนั้นก็เป็นน้ำ เป็นน้ำตาล ส่วนธาตุอาหารอย่างอื่นเรียกว่ามีอยู่น้อยมาก แต่ถ้าเรากินผลไม้สด กินส้ม ๑ ผล ขณะที่ปอกเปลือกแล้วกินทันที เราจะได้วิตามินซีแบบเต็มๆ และได้วิตามินอื่นๆ เช่น วิตามินเอ หรือบีตาแคโรทีน เรียกว่า มีประโยชน์มากกว่ากันแน่นอน"

เลือกซื้อ เลือกดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์

น้ำผลไม้ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ (กว่าน้ำอัดลม หรือชา กาแฟ) นี้ หากเลือกไม่เป็น หรือซื้อแบบไม่เลือกเลย ก็อาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร และบาง กรณีก็อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ คำแนะนำต่อไปนี้จากนักโภชนาการ อาจเป็นคำแนะนำสามัญธรรมดาที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่นำไปปฏิบัติจริง ก็ไม่มีประโยชน์ต่อการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันเลย

ครั้งต่อไปหากจะซื้อน้ำผลไม้มาดื่ม ก็ควรจะพิถีพิถันกันสักหน่อย ถ้าเป็นน้ำผลไม้เข้มข้น ก็ต้องทำให้เจือจางก่อน แล้วน้ำที่จะมาทำให้เจือจางนั้น ควรต้องเป็นน้ำต้มสุกที่สะอาด ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเดินได้ น้ำผลไม้ที่ใส่น้ำแข็ง ก็ควรจะพิถีพิถันในการเลือกซื้อสักหน่อย เพราะบางทีน้ำผลไม้ทำมาสะอาด แล้วใส่น้ำแข็งที่สกปรก ก็ท้องเสียได้ง่ายเช่นกัน

เพราะน้ำผลไม้เองก็ง่ายต่อการทำให้ เกิดการบูดเน่าอยู่แล้ว การเลือกซื้อน้ำผลไม้บรรจุกล่องนั้น ก่อนซื้อควรอ่านฉลากทุกครั้ง เพราะผู้บริโภคจะทราบว่า น้ำผลไม้ชนิดนั้นมีปริมาณน้ำตาลอยู่เท่าไหร่ มีสารกันบูดหรือไม่ (การบริโภคสารกันบูดบ่อยๆ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน) วันหมดอายุของสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องดูทุกครั้ง

โดยเฉพาะน้ำผลไม้ หากหมดอายุแล้วดื่มเข้าไป จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะร้านค้าบางแห่งหรือบางห้าง มักจะนำสินค้าที่ใกล้หมดอายุมาวางปะปนกัน ถ้าผู้ซื้อดูไม่ละเอียดรอบคอบก็อาจได้สินค้าที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์มาดื่มกิน จะให้ดีที่สุด ควรคั้นเองสดๆ แล้วดื่มทันที นั่นล่ะประโยชน์เต็มร้อย ข้อสำคัญต้องเพิ่มความขยันให้กับตัวเองอีกสักหน่อย แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงพลังความสดชื่นที่แท้จริง

ที่มา : เฟซบุ๊ก มูลนิธิหมอชาวบ้าน




 

Create Date : 05 เมษายน 2558    
Last Update : 5 เมษายน 2558 16:12:36 น.
Counter : 1136 Pageviews.  

"น้ำมันมะกอก" แก้นอนกรน

"น้ำมันมะกอก" แก้
คอลัมน์ เครื่องแนม


นอนกรน เป็นเรื่องธรรมชาติ!

แต่บ่อยครั้ง...ธรรมชาติก็เป็นเรื่องที่โหดร้าย

ฟี้เล็กๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้ามาเป็นหวูดรถไฟ น่าคิดว่าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน

จริงๆ แล้วมีกลวิธีง่ายๆ ในการขจัดเสียงกรน โดยไม่ต้องใช้หมอน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจที่มาของการกรนเสียก่อน

โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้นจะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือบริเวณที่โคนลิ้น เป็นที่มาของเสียงกรน

แต่วันไหนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วนอนหลับสนิทมากๆ "ลิ้น" ที่ว่าจะตกลงไปมาก ทำให้ยิ่งกรนหนักขึ้น ยิ่งเป็นคนอ้วน เสียงยิ่งดังสนั่น

วิธีแก้แบบปัจจุบันทันด่วน...เพียงแค่ให้เจ้าตัวนอนในท่าตะแคง หรือเกือบๆ คว่ำ ช่วยลดเสียงกรนลงได้

ส่วนวิธีแก้แบบระยะยาว "น้ำมันมะกอก" ช่วยได้ โดยใช้น้ำมันมะกอกชนิดสำหรับทำอาหาร (จะให้ดีควรเลือกแบบ Extra virgin olive oil) กิน 4-5 หยดก่อนนอน ที่สำคัญควรทำควบคู่กับการคุมน้ำหนักตัว

เท่านี้โลกก็กลับมาสงบอีกครั้ง...อาเมน




 

Create Date : 03 เมษายน 2558    
Last Update : 3 เมษายน 2558 7:56:27 น.
Counter : 1279 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.