ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

” น้ำมันตับปลา “กับ ” น้ำมันปลา “แตกต่างกันอย่างไร

” น้ำมันตับปลา “กับ ” น้ำมันปลา “แตกต่างกันอย่างไร

ทำไมจึงต้องทานน้ำมันปลา
หลายคนคงทราบมาก่อนแล้วว่าน้ำมันปลามีกรดไมขัน โอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ น้ำมันปลามีอยู่ในจำพวกอาหารทะเล อาทิ ปลาอินทรีย์ ปลาทู ทูน่า หอยนางลม กุ้งฝอย เป็นต้น

น้ำมันปลากับโรคหัวใจและหลอดเลือด
ชาวเอสกิโมที่อาศัยอยู่ในแถบหมู่เกาะกรีนแลนด์มีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหัวใจและข้ออักเสบต่ำ ทั้งๆ ที่กลุ่มคนเหล้านี้มีการบริโภคไขมันปลาในปริมาณสูง ภายหลังมมีการค้นพบว่าไขมันปลาที่ชาวเอสกิโมบริโภคอยู่นั้นประกอบไปด้วย โอเมก้า 3 ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันในเลือดสูง และโรคความดันโลหิต

น้ำมันปลากับการบำรุงสมอง
เนื่องจากดีเอชเอ (DHA) เป็นส่วนประกอบหนึ่งของเนื้อเยื่อสมอง น้ำมันปลาจึงมีผลต่อหน้าที่การทำงานของสมองหรือแม้แต่การสร้างสารสื่อนำประสาทในสมอง

น้ำมันปลากับโรครูมาตอยด์ (โรคข้ออักเสบ)
อีพีเอ (EPA) จากโอเมก้า 3 (Omega 3) มีผลในการลดการอักเสบที่เกิดจากสารก่ออักเสบในร่างกาย ซึ่งจะพบมากในผู้ป่วยที่เป็นโรครูมาตอยด์

น้ำมันปลา (Fish Oil) คืออะไร ?
น้ำมันปลา คือน้ำมันที่สกัดจาก เนื้อ หัว หาง และหนังของปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาทูน่า เป็นต้น น้ำมันปลายังเป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัวที่ เรียกว่า โอเมก้า 3 (Omega 3 ) ประกอบไปด้วย อีพีเอ (EPA) และ ดีแอชเอ (DHA) ซึ่ง มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ บำรุงสมองและสายตา

ต่างจาก (Cod Liver Oil) อย่างไร ?
น้ำมันตับปลา เป็นน้ำมันที่ได้จากตับปลาทะเล เป็นแหล่งที่ให้วิตามินเอ ช่วยบำรุงผิวพรรณ และวิตามินดี ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูก หากรับประทานมากเกินขนาด อาจเกิดพิษจากการสะสมของวิตามินเอและดีซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในร่างกายส่วนที่เป็นไขมัน

น้ำมันปลา
1. สกัดได้จากเนื้อ หัว หางและของปลาทะเล
2. เป็นแหล่งที่ให้กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า 3
3. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันในเลือดสูง

น้ำมันตับปลา
1. สกัดจากตับปลาทะเล
2. เป็นแหล่งที่ให้วิตามินเอและดี
3. บำรุงร่างกายทั่วไป


ที่มา: รายการ Healthy Time ทาง MCOT1




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2557    
Last Update : 29 ตุลาคม 2557 8:56:38 น.
Counter : 1113 Pageviews.  

ที่มาของทางม้าลาย

ที่มาของทางม้าลาย

สัญลักษณ์ของทางลายขาว-ดำ ที่มีไว้สำหรับให้คนข้ามถนน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า 'ทางม้าลาย' นั้นแท้จริงแล้วในตอนแรกหาได้เป็นสีขาวกับสีดำอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันไม่

เดิมทีแถบสีสัญลักษณ์ของทางคนข้ามนี้เคยเป็นสีน้ำเงินและสีเหลืองมาก่อน โดยมีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก (หลังทำการทอดลองใช้แล้ว) ตามท้องถนนของประเทศอังกฤษราว 1,000 จุด เมื่อปี ค.ศ.1949 เพื่อบ่งบอกให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทราบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทางที่อนุญาตให้คนสามารถข้ามถนนได้

แต่ก่อนนั้น สัญลักษณ์ของทางข้ามนี้จะอยู่คู่กับ 'เสาโคมไฟสัญญาณบีลิสชา' ซึ่งถือกำเนิดมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ปี 1934 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสัญญาณให้พาหนะที่สัญจรอยู่บนท้องถนนหยุดวิ่งชั่วขณะเพื่อให้คนที่อยู่สองข้างทางได้เดินข้ามถนนอย่างปลอดภัย โดยพาหนะต่างๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อโคมไฟสัญญาณบีลิสชาซึ่งมีสีส้มส่องสว่างขึ้น

ต่อมา เลสลี ฮอร์น บีลิสชา รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมแดนผู้ดี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มไอเดียนำโคมไฟสัญญาณดังกล่าวมาติดตั้งก็คิดว่าน่าจะมีการเพิ่มสัญลักษณ์ที่เป็นแถบสีบนพื้นถนนบริเวณที่มีการติดตั้งโคมไฟสัญญาณเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สัญลักษณ์ของทางข้ามที่มีแถบสีจึงถือกำเนิดขึ้น

จากนั้นก็มีการทดลองใช้สีขาว-แดง และสีขาว-ดำ ทาเป็นสัญลักษณ์ แล้วในปี ค.ศ.1951 สัญลักษณ์ของทางข้ามที่เป็นแถบสีขาว-ดำก็ถูกนำมาใช้คู่กับโคมไฟสัญญาณบีลิสชาอย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมกับได้รับการขนานนามว่า 'ทางม้าลาย' เนื่องจากมีลักษณะเหมือนลายของม้าลายนั่นเอง

ต่อมาอังกฤษได้นำไอเดียดังกล่าวไปใช้กับประเทศอาณานิคมของตัวเอง เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ทางม้าลายจึงกลายเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก และกลายเป็นเครื่องหมายจราจรที่เป็นสากล

ที่มาข้อมูล kungsss.exteen.com
ที่มาภาพประกอบ doobybrain.com




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2557    
Last Update : 28 ตุลาคม 2557 8:49:10 น.
Counter : 1049 Pageviews.  

พบ "แมงมุม" หายากพันธุ์ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาใต้


The South American Goliath birdeater
สาระน่ารู้ นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันพบแมงมุมยักษ์หายาก พันธุ์ "The South American Goliath birdeater" ขนาดเท่าลูกสุนัข เฉพาะส่วนขายาวถึง 1 ฟุต

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 21 ต.ค.ว่า นายพิโอตร์ นาสเคร็คกี นักกีฏวิทยาและช่างภาพประจำพิพิธภัณฑ์สวนสัตว์ของมหวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐเผย พบแมงมุมยักษ์พันธุ์หายาก "The South American Goliath birdeater" ขณะเดินอยู่ในเขตป่าฝนในประเทศกายอานา (Guyana) ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ เขาเล่าว่า ในคืนนั้นเขาเดินเข้าไปในป่าแล้วเกิดไปเหยียบสัตว์ตัวหนึ่งเข้า ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็นหนูหรือสิ่งมีชีวิตมีขนประเภทอื่นแต่สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าคือแมงมุมหายากขนาดใหญ่

แมงมุมตัวดังกล่าวเป็นเพศเมียและเป็นพันธุ์ที่ได้รับการบันทึกสถิติโดยกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส ว่าเป็นแมงมุมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หากเหยียดขาของของมันออกทั้งหมดจะมีความยาวถึงราว 30 เซนติเมตร ลำตัวมีขนาดเท่ากำปั้นมนุษย์ มีน้ำหนักราว 170 กรัม โดยรวมสามารถพูดได้ว่า แมงมุมชนิดนี้มีขนาดตัวเทียบเท่าลูกสุนัขก็ว่าได้

แมงมุมยักษ์พันธุ์นี้เป็นแมงมุมที่มีพิษน้อย แต่ขนของมันสร้างความเจ็บปวดและทำให้เกิดอาการคันได้อย่างรุนแรง ซึ่งวิธีการป้องกันตัวหากมีศัตรูเข้ามาใกล้ก็คือ มันจะถูขาหลังกับหน้าท้องเพื่อสลัดขนและเงี่ยงขนาดเล็กมากใส่ อาวุธนี้ถ้ากระจายเข้าตาหรือถูกเนื้อเยื่อก็จะทำให้แสบและคัน นอกจากนี้ มันยังมีเขี้ยวยาวราว 5 เซนติเมตรที่ใช้กัดผู้รุกรานได้ แม้จะไม่ถึงตายเพราะไม่มีพิษแต่ก็สามารถทำให้ได้รับความเจ็บปวด

"The South American Goliath birdeater" กินสัตว์จำพวกกบ แมลงและหนอน ไม่ทำร้ายมนุษย์ ไม่ดุร้าย ทั้งนี้ นายนาสเคร็คกี ได้พามันกลับมายังพิพิธภัณฑ์สหรัฐเพื่อทำการศึกษาวิจัยต่อไปอีกด้วย

The South American Goliath birdeater


The South American Goliath birdeater




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2557    
Last Update : 22 ตุลาคม 2557 7:53:25 น.
Counter : 2151 Pageviews.  

ก.เอ๋ย ก.ไก่ ซ่อนอะไรใน แบบเรียน

"หยิบหนังสือของเราและปากกาของเราขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ทรงอานุภาพกว่าอาวุธ เด็กคนหนึ่ง ครูคนหนึ่ง หนังสือหนึ่งเล่ม ปากกาหนึ่งด้าม สามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้" คือคำที่ "" เด็กหญิงอายุ 17 ปีชาวปากีสถาน ได้กล่าวต่อหน้าสหประชาชาติเมื่อเธออายุครบ 16 ปีมาลาลา คือเด็กที่ลุกขึ้นมาต่อต้านตาลิบันที่ปิดกั้นการศึกษาในปากีสถาน เพราะต้องการควบคุมให้ผู้อยู่ใต้การปกครองไม่รู้หนังสือ

มาลาลาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกตอนที่เธออายุเพียง 11 ขวบเท่านั้น โดยครั้งนั้น นายไซอุดดิน บิดาของเธอได้พาลูกสาวไปเข้าร่วมงานชุมนุมต่อต้านการโจมตีโรงเรียนสตรีของตาลิบัน

ในครั้งนั้น มาลาลาได้กล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ "ตาลิบันอาจหาญอย่างไรในการระงับสิทธิขั้นพื้นฐานทางการศึกษาของฉัน" (How Dare the Taliban Take Away My Basic Right to an Education) จากนั้นเธอเริ่มมีชื่อเสียงจากการเขียนบล็อกให้ BBC ในชื่อ "กุล มาไค (Gul Makai)" และปรากฏตัวตามสื่อระดับนานาชาติ

มาลาลาเป็นเด็กผู้หญิงที่อยากเรียนหนังสือ อยากให้ทุกคนได้เรียนหนังสือ อยากให้สังคมมีเสรีภาพ อยากเห็นความเท่าเทียม อยากเห็นทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้ เธอเรียกร้อง เธอพูดในสิ่งที่เธอคิด... จนวันหนึ่งตาลิบันบุกถึงรถรับ-ส่งนักเรียน ในขณะที่เธอกำลังกลับจากโรงเรียนในวันนั้น มาลาลาในวัย 15 ปี โดนปืนโคลต์ .45 ยิงเข้าที่ศีรษะ

ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่อ่อนข้อ ไม่หยุดต่อสู้เพื่ออุดมคติของตนเองล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ ชื่อของ "มาลาลา ยูซัฟไซ" เป็นข่าวดังไปทั่วโลกอีกครั้ง เพราะเธอได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ท่ามกลางความยินดีและเสียงชื่นชมเรื่องราวของมาลาลาอาจจะดูไกลตัว หากเรามองว่าเธอเป็นชาวต่างชาติ แต่หากมองประเด็นที่มาลาลาเรียกร้องคือสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาและความเสมอภาคในสังคม

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลใครเลย มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการความเสมอภาคและต้องการการศึกษา เพื่อจะพัฒนาและยกระดับชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น ในประเทศไทยของเรามีการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีตำราเรียนที่รัฐจัดให้ประชาชน เราไม่โดนปิดกั้นการศึกษา แต่เราไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า เราไม่โดนปิดกั้นความรู้และเรามีอิสระในการรับรู้ อีกทั้งเรายังไม่ตื่นตัวที่จะขวนขวายหาความรู้ ทั้ง ๆ ที่เรามีโอกาสเข้าถึงการศึกษามากกว่าหลาย ๆ ประเทศ

หากย้อนกลับไปมองอดีตอย่างพินิจพิเคราะห์ เราจะเห็นว่าแบบเรียนของไทยเรามีปัญหาอย่างไรบ้าง มีอะไรหรือไม่ที่แบบเรียนยังให้เราไม่มากพอ และมีบางอย่างที่แบบเรียนตั้งใจ "ยัด" ใส่เรา แต่ในตอนเป็นเด็กเรายังไม่รู้จักตั้งคำถามกับมัน ดังที่ "ปราบดา หยุ่น" นักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ ปี 2545 กล่าวว่า ตอนที่เรียนเรายังเป็นเด็ก เราอาจจะยังไม่ได้วิเคราะห์มันละเอียดชัดเจนขนาดนั้น แต่คิดว่ารัฐพยายามจำลองประเทศให้เป็นชุมชนเล็ก ๆ ตัวละคร ครอบครัว

ในเรื่องจะแทนอุดมคติที่ชาติต้องการให้ประชาชนคิด หรือมีแนวโน้มที่จะไปทางนั้น มันมีส่วนปลูกฝังความเชื่อและวิธีคิดบางอย่าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเช่นกันกับ "จรัญ หอมเทียนทอง" นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ที่กล่าวว่า แบบเรียนไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือการอ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างพลเมืองตามอุดมคติของผู้นำในแต่ละยุค ผู้นำต้องการให้สังคมเป็นไปในทางไหนก็จะใส่ความคิดแบบนั้นลงไปในแบบเรียน ชาตินิยม คือสิ่งหนึ่งที่ตำราไทยปลูกฝังให้ประชาชนและเห็นผลเป็นที่สุด ภาพจำ-ทัศนคติที่คนไทยมองว่าเพื่อนบ้านคือศัตรู มองว่าเพื่อนบ้านด้อยกว่า ชาติไทยเหนือกว่า ล้วนแต่ได้รับการปลูกฝังมาจากแบบเรียนทั้งนั้น

หนังสือ "ชาตินิยมในแบบเรียนไทย" ของ สุเนตร ชุตินธรานนท์และคณะ ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์มติชน ได้กล่าวไว้ว่า กระบวนการสร้างภาพลักษณ์ของชาติไทย และภาพลักษณ์ของประเทศรอบข้างที่ถูกปรุงแต่งขึ้น จนเกิดเป็นทัศนคติที่เป็นปรปักษ์ สอดแทรกสำนึกความเป็นชาตินิยมเป็นแก่นหลักในการเสนอชีวประวัติของชาติ และขับเน้นภาพความเป็นศัตรูของเพื่อนบ้านกระบวนการนี้ถ่ายทอดส่งผ่านออกสู่สาธารณะ ซึ่งกิจกรรมที่เป็นระบบที่สุดคือการส่งผ่านทางการศึกษาในระบบ ผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนและแบบเรียน จนท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นความทรงจำร่วมกัน และเป็น "ตำนานแห่งชาติ" ที่พร้อมจะถูกหยิบยืมไปเป็นมาตรฐานปรุงแต่งจินตนาการก่อเกิดเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ละครเวที ละครโทรทัศน์ ฯลฯ

หนังสือชาตินิยมในแบบเรียนไทยบอกว่า ปัญหาที่ไทยมีกับประเทศรอบข้างในปัจจุบันเป็นปัญหาใหม่และเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง จำเป็นต้องอาศัยการปรับโครงสร้างทางความรู้ใหม่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่ ซึ่งจุดเริ่มต้นการปรับโครงสร้างทางความรู้ใหม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด คือ การสำรวจสถานะขององค์ความรู้ที่มีอยู่เดิม เพื่อให้เข้าใจในข้อจำกัดและเพื่อความเป็นไปได้ในการแสวงหาหรือกำหนดทิศทางใหม่ให้แก่สังคมในการศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อนบ้านต่อไปในอนาคต

ส่วน จรัญ หอมเทียนทอง กล่าวว่า หนังสือเป็นตัวจะนำพาประเทศเราไปสู่ความสำเร็จ การอ่านเป็นการทลายกำแพงความโง่เขลา เกาหลีใช้เวลาสามสิบปีในการพัฒนาประเทศ ก้าวข้ามหลายประเทศไป เช่นกันกับแนวคิดของงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 ที่จะจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 15-26 ตุลาคมนี้ ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยจะจัดงานขึ้นในแนวคิด "ก.เอ๋ย ก.ไก่ เรียนรู้อดีต มุ่งสู่อนาคต" เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาการศึกษา นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯบอกว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการจัดงานในสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังอ่อนไหว รัฐบาลกำลังจะปฏิรูปประเทศ การที่ประเทศไทยจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ก็เปรียบเหมือนการเริ่มเรียน ก.เอ๋ย ก.ไก่ และยังมีการจัดนิทรรศการ "ระลึกชาติในแบบเรียน" นำเสนอวิวัฒนาการของแบบเรียนไทยในอดีตถึงปัจจุบัน ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาตลอด

"ก่อนจะเริ่มนับหนึ่งไปข้างหน้าเพื่อก่อความหวัง จะต้องแลไปข้างหลังเพื่อแก้ความผิดเสียก่อน กระทรวงศึกษาธิการควรส่งเจ้าหน้าที่มาดูงานนี้เยอะ ๆ เพราะในนิทรรศการระลึกชาติในแบบเรียน จะเน้นย้ำให้เห็นการสร้างแบบเรียนในอดีตที่ผ่านมาว่าประสบความสำเร็จและล้มเหลวอย่างไร ผลของการสร้างแบบเรียนตอบโจทย์การเมืองในอดีตสามารถสร้างผลกระทบระยะยาวของประเทศได้อย่างไร นอกจากมาดูเพื่อรำลึกความหลังกับแบบเรียนในวัยเด็กของตัวเองแล้ว จะทำให้รู้จักตัวตนของเรามากขึ้น และจะเห็นความผิดพลาดในอดีตเพื่อจะรู้ว่าเราจะเดินกันไปทางไหน" นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯกล่าว

สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวของมาลาลา สาวน้อยหัวใจใหญ่ เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพคนล่าสุด พบกับหนังสือ "I Am Malala" ที่จะจุดไฟแห่งทางความคิดและปลุกพลังความอยากเรียนรู้ในตัวคุณ หรือถ้าอยาก "อ่าน" แบบเรียนไทยอย่างถ่องแท้ใน "ชาตินิยมในแบบเรียนไทย" เดินไปสัมผัสครอบครองได้ที่บูทสำนักพิมพ์มติชน โซนพลาซ่า

นอกจากนั้น ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งนี้ มีนิทรรศการ กิจกรรมเสวนา และหนังสือน่าสนใจมากมายจาก 435 สำนักพิมพ์ ที่รอคอยจะติดอาวุธทางปัญญาให้คนฟัง-คนอ่าน ...ไปอ่านกันเถอะ ถ้าอยากรู้ว่าการอ่าน-การศึกษาเปลี่ยนโลกได้จริงหรือเปล่า

รุ่งนภา พมมะศรี




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2557    
Last Update : 21 ตุลาคม 2557 7:38:23 น.
Counter : 1129 Pageviews.  

ฝรั่ง สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ !

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า !

ฝรั่ง เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้องอาการหิวที่คอยมากวนใจ เพราะกากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้เหมาะสม และกากใยยังช่วยล้างพิษโดยรวบได้อีกด้วย จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใส

คำแนะนำ : การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของฝรั่ง

               1.              มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยต่างๆได้ดี

               2.              ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

               3.              ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่างๆ

               4.              เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก

               5.              ช่วยลดไขมันในเลือด

               6.              สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง

               7.              ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค

               8.              ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

               9.              ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

              10.            ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้

              11.            ใบฝรั่งใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง

              12.            ผลอ่อนช่วยบำรุงเหงือกและฝัน

              13.            ใบฝรั่งช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เหงือกบวม

              14.            ประโยชน์ของฝรั่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้

              15.            รากใช้แก้อาการเลือดกำเดาไหล

              16.            น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบ

              17.            น้ำต้มใบฝรั่งสดช่วยรักษาอาการท้องเสีย ป้องกันโรคลำไส้อักเสบ

              18.            ใบช่วยรักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง

              19.            ชาที่ทำจากใบอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคบิด

              20.            ผลสุกใช้ทานเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก

              21.            ช่วยล้างพิษโดยรวมในร่างกาย

              22.            ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ

              23.            ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้

              24.            ใบใช้แก้แพ้ยุง

              25.            ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล

              26.            ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า

              27.            รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นฝี แผลพุพอง

              28.            ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)

              29.            ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2-3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไป

              30.            การรับประทานฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้

              31.            เปลือกของต้นฝรั่งนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า

              32.            นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง และขนมอีกหลากหลายชนิด

              33.            นำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม

ที่มาข้อมูลและรูปภาพ //www.phyathai.com




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2557    
Last Update : 19 ตุลาคม 2557 9:34:53 น.
Counter : 3489 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.