ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ตีแผ่การเข้าวงการและชีวิตหลังการแสดงหนังเอวีในญี่ปุ่น

วงการหนังเอวีญี่ปุ่นเรียกได้ว่าบูมฮิตติดชาร์ตมาก สามารถครองยอดขายได้ถึง 20% จากยอดขายหนังเอวีทั่วโลก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต จึงทำให้ชาวญี่ปุ่นหลายคนหันมาสนใจทำอาชีพนี้

การเข้าวงการนี้ คือจะมีชายหนุ่มสวมสูทสีดำซึ่งประมาณวัยรุ่นหน่อย คอยยืนอยู่แถวซอยช็อปปิ้งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นย่านอากิฮะบาระ ชายหนุ่มที่ว่านี้จะเดินตามชักชวนสาวๆเข้าไปทำงาน อีกวิธีเป็นการวอล์คอินซึ่งจะต้องรู้วงในพอสมควร ที่ญี่ปุ่นค่าครองชีพสูงมากครับ การจะหาเงินมาใช้จ่ายนั้นลำบากมากๆ ซึ่งเจ้าพวกชายชุดดำเค้าจะเสนอเงินค่อนข้างสูง แล้วคิดเอาสิว่าสาวๆเค้าจะไม่สนใจได้ยังไง จึงไม่แปลกที่ สาวๆสวยที่เราเห็นในหนังจะหน้าตาดีกันเป็นส่วนใหญ่

แต่จากการชักชวนนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมาเป็นดาราเอวีกันได้ทุกคนนะครับ จะต้องมีการคัด หลังจากคัดเสร็จแล้วก็ต้องมีการจัดเกรด A, B หรือ C ตามหน้าตาและลีลา ทว่าบางคนหน้าตาดี สวยมากๆ แล้วมาทำงานด้านนี้เค้าจะส่งไปให้ค่ายหนังเลย ไปรับค่าแรงทำงานเป็นชิ้นเป็นอันเลยดีกว่า ซึ่งสาวสวยเหล่านี้ส่วนมากจะไปแจ้งเกิดเป็นดาราเกรด A ทันที และถ้าเป็นที่ถูกอกถูกใจ ก็จะมีงานเข้าเยอะและรายได้ก็มากตามมาด้วย

Atsuhiko Nakamura เจ้าของหนังสือชื่อ “The Nameless Women” ได้สัมภาษณ์ดาราเอวีหลายร้อยคน ได้ให้ข้อมูลว่าจำนวนหญิงสาวที่เข้ามาทำงานด้านนี้ได้เพิ่มขึ้นในแต่แต่ละปี สาเหตุหลักที่เข้ามาทำก็เพื่อเงินทั้งนั้น ในขณะที่บางส่วนทำเพื่อบำบัดความใคร่ของตัวเองและเห็นว่าเป็นงานที่หาเงินได้ง่าย ยังไงเรื่องเงินก็เป็นดูเป็นประเด็นที่ชัดเจนที่สุด ประเทศญี่ปุ่นก็ไม่ได้ร่ำรวยกันทุกคนนะครับ ทุกประเทศย่อมมีเงามืดของแต่ละประเทศอยู่ คนเหล่านั้นจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ

ในแต่ละปีนั้นมีชาวญี่ปุ่นต้องการเข้ามาทำงานในวงการหนังเอวีราว 6,000 คน (เราขอเน้นไปที่ผู้หญิง) ซึ่งดูเหมือนจะเยอะนะครับ ด้วยจำนวนนักแสดงมากหน้าหลายตา หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วหลังจากแสดงหนังเสร็จ พวกเค้าต้องออกไปใช้ชีวิตตามปกติแล้วจะมีคนจำได้มั้ย? Nakamura กล่าวว่า ดาราเอวีหลายคนมีชีวิตปกติ คือแต่งงาน มีลูก เหมือนคนธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ และก็มีหลายเคสที่ผู้หญิงบางกลุ่มมาแสดงหนังเอวีเพียงชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้น เพื่อให้ได้เงินตามต้องการ หลังจากนั้นก็เลิกและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ

แต่หลายคนที่แสดงหนังเอวีเป็นอาชีพแล้ว ไม่สามารถกลับไปทำงานปกติอย่างอื่นได้ เพราะว่าค่าตอบแทนไม่ดีพอเหมือนตอนแสดงหนังเอวี ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จึงต้องหันไปทำงานในธุรกิจที่คล้ายๆกันเช่นการเป็นบาร์โฮส ในขณะที่อีกบางกลุ่มที่เหมือนอยากจะเลิกแสดงหนัง แต่ก็เลิกไม่ได้เพราะมีเม็ดเงินเป็นตัวดึงดูดนั่นเอง

ปัจจุบันคนที่ประกอบอาชีพนี้จะได้รับทั้งการยอมรับและไม่ยอมรับในคราวเดียวกัน บางคนมองว่าน่ารังเกียจและไม่มีเกียรติ แต่บางคนกลับชื่นชมยกย่องเพราะให้ความสุขกับคนที่เครียด แต่กับสังคมไทยแล้ว คนที่ประกอบอาชีพนี้เรียกได้ว่าแทบไม่มีที่ยืนเลยล่ะครับ

Source: Atsuhiko Nakamura, Sho Oshiba Translated & Edited by : ChicMinistry.com

chicministry ขอขอบคุณ ChicMinistry ผู้สนับสนุนเนื้อหา
//men.sanook.com/8109/




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2558 8:02:11 น.
Counter : 1255 Pageviews.  

“โรฮีนจา” เผ่าพันธุ์ต้องคำสาปและระเบิดเวลาของอาเซียน

“โรฮีนจา” เผ่าพันธุ์ต้องคำสาปและระเบิดเวลาของอาเซียน

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

ภาพของชาวหลายร้อยชีวิตที่เบียดกันอยู่ในเรือประมงเคว้งคว้างกลางทะเล ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงนี้ มันเป็นภาพที่ชวนให้สลด บนเรือลำนั้นมีทั้งเด็กและผู้หญิงรูปร่างผอมแห้ง อยู่ในสภาพอดโซ

สิ่งที่เราเห็น แม้จะชวนให้หดหู่ แต่ก็ต้องตระหนักว่ามันเป็นแค่ปลายด้านบนของภูเขาน้ำแข็ง ลึกลงไปคือปัญหาการเมืองภายในประเทศของเมียนมาร์ที่เกิดขึ้นมายาวนาน

ถึงแม้ว่าไทยจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับต้นตอของปัญหา แต่ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมและการก้าวสู่สังคมอาเซียน ทำให้ต้องเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาอดตายกลางทะเล

เรือลำนั้นอาจพาชาวโรฮีนจาไปถึงน่านน้ำของประเทศใดประเทศหนึ่งได้ แต่อนาคตของคนเหล่านี้ก็ยังคงอึมครึม ด้วยว่าไม่มีประเทศไหนให้การต้อนรับ ปัญหานี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ?

ทีมข่าว Sanook! มีโอกาสได้สอบถามเรื่องนี้จาก Kyi Thar ชาวเมียนมาร์ที่อาศัยอยู่ในไทยมานานกว่า 5 ปี เขาเป็นคนหนึ่งที่คลุกคลีกับปัญหาโรฮีนจา ทั้งในฐานะเพื่อนร่วมชาติและในฐานะคนทำงานด้านผู้อพยพ

Kyi Thar บอกว่า ในฐานะที่ทำงานด้านนี้ เขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเท่าเทียม โรฮีนจาควรได้รับสิทธิที่จะอาศัยอยู่ในประเทศเมียนมาร์ เพราะพวกเขาคือประชากรของเมียนมาร์ ถึงแม้ว่ารัฐบาลทหารและชาวเมียนมาร์อีกหลายๆ คนจะไม่ได้คิดแบบนั้น

"พวกเขาอยู่ในรัฐยะไข่ ซึ่งมีชาวพื้นเมืองของยะไข่อยู่ด้วย มันเป็นพื้นที่ห่างไกลมาก พวกเขาก็เลยมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ชาวยะไข่แท้ๆ จะนับถือพุทธ ส่วนชาวโรฮีนจาเป็นอิสลาม ผมคิดว่ามันเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการแบ่งแยก เพราะคนพม่าส่วนมากก็จะเชื่อว่าโรฮีนจาควรจะเป็นประชากรของบังกลาเทศมากกว่า เพราะมีอาณาเขตติดกัน และนับถือศาสนาเดียวกัน"

เขายังพูดต่อไปอีกว่า ชาวยะไข่จะมองชาวโรฮีนจาด้วยสายตาหวาดระแวง เพราะเชื่อว่ามุสลิมโรฮีนจาจะเข้ามาเปลี่ยนชาวพุทธในท้องถิ่นให้หันไปนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งมันจะทำให้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมเปลี่ยนไปด้วย

ชาวยะไข่หวงแหนวัฒนธรรมดั้งเดิมของตัวเองมากกว่าอะไรทั้งหมด ภายในพื้นที่รัฐยะไข่ก็เคยมีการปะทะระหว่างทั้ง 2 ชาติพันธุ์มาแล้ว เป็นไปได้ยากที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบ พูดง่ายๆ คือมันเป็นเรื่องของความไว้วางใจที่มีต่อผู้คนต่างศาสนา

เมื่อขยับมามองในภาพที่กว้างขึ้น Kyi Thar บอกว่า ความไว้วางใจที่พูดถึงเมื่อสักครู่ เป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลทหารพม่า "เมื่อรัฐบาลไม่สนับสนุนโรฮีนจา ดังนั้น พวกเขาก็ไม่สนับสนุนให้ประชาชนยอมรับเช่นกัน"

ในทางกฏหมาย โรฮีนจาไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเมียนมาร์ พวกเขาไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน เป็นคนไร้สัญชาติ และถ้าจะพูดอย่างเป็นกลางแล้ว คงต้องบอกว่ามันคืออีกหนึ่งปัญหาที่ประเทศผู้ล่าอาณานิคมทิ้งเอาไว้ในภูมิภาคของเรา

ผลจากการตกเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ เมียนมาร์ถูกปกครองรวมกับประเทศข้างเคียงอย่างอินเดียและบังกลาเทศ รวมทั้งชนกลุ่มน้อยอื่นๆ

ปัญหาทั้งหมดเริ่มขึ้นตรงนี้ ทันทีที่เมียนมาร์ได้รับเอกราชคืนจากอังกฤษ พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรับเอาชนกลุ่มน้อยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองตามที่อังกฤษจัดแจงไว้ให้

จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ได้รับเอกราชคืนมาจนถึงตอนนี้ ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเมียนมาร์กับชนกลุ่มน้อยภายในประเทศไม่เคยสงบลง ไม่เฉพาะชาวโรฮีนจาเท่านั้น แต่ชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้นับถือพุทธจะถูกคุกคามอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่สงครามศาสนา แต่มันคือการเมืองภายในของรัฐบาลพม่าที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกผู้คน

ชาวโรฮีนจาเริ่มอพยพไปพึ่งพิงบังกลาเทศตั้งแต่ปี 2501 รายงานบางฉบับอธิบายว่า การที่บังกลาเทศรับอุปการะชาวโรฮีนจาอพยพ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่สภาวะถดถอย นำไปสู่ความบาดหมางระหว่างบังกลาเทศกับเมียนมาร์ในเวลาต่อมา

ถึงแม้บังกลาเทศจะให้ความช่วยเหลือในช่วงแรกๆ เพราะนับถือศาสนาเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วชาวบังกลาเทศก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่ามุสลิมโรฮีนจาไม่ได้มีสัญชาติเดียวกันกับพวกเขา และชาวโรฮีนจาเองก็เชื่อว่าตนควรจะมีสัญชาติเมียนมาร์ นั่นเป็นคำบอกเล่าจาก Kyi Thar

ทำไมการแบกรับชะตากรรมของผู้คนเหล่านี้จึงนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจได้?

เพราะชาวโรฮีนจาส่วนใหญ่เป็นประชากรด้อยคุณภาพ ไม่สามารถประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ด้วยตัวเอง และมักจะรอความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา

เท่ากับว่าประเทศที่รับผิดชอบชีวิตคนเหล่านี้จะต้องรับภาระในการดูแลประชากรที่ไม่สามารถจ่ายภาษีได้ไปจนตลอดชีวิตของพวกเขา และไม่ใช่แค่คนเดียว แต่มีจำนวนนับแสนคน เมื่อช่วยคนกลุ่มแรก กลุ่มที่สอง สาม สี่ จะตามมา

เปรียบเทียบได้กับการอนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามาอาศัยในบ้านของเรา โดยที่เจ้าของบ้านจะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงดูปูเสื่อไปตลอดชีวิต อีกทั้งคนแปลกหน้าเหล่านี้ก็ยังขยายเผ่าพันธุ์อย่างไม่หยุดหย่อน เพิ่มภาระให้เจ้าบ้านแบบไม่รู้จบ

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับบังกลาเทศมาแล้ว และสาเหตุที่ชาวโรฮีนจาส่วนมากเป็นประชากรด้อยคุณภาพ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่พวกเขาถูกรัฐบาลเมียนมาร์จำกัดสิทธิไม่ให้เข้าถึงการศึกษา

ถ้ามองด้วยสายตานักสิทธิมนุษยชน อาจจะฟังดูเลวร้ายที่ปฏิเสธชาวโรฮีนจา แต่ถ้ามองด้วยมิติทางเศรษฐกิจ คงต้องบอกว่าเราช่วยได้แค่ระยะสั้นๆ อย่างการให้น้ำและอาหารเพื่อบรรเทาความหิวโหยเท่านั้น เฉพาะปัญหาปากท้องของคนในบ้านเราก็ยังได้รับการดูแลไม่ทั่วถึง

สำหรับประเทศมาเลเซีย แม้จะนับถือศาสนาเดียวกัน แต่พวกเขาก็ไม่ต้อนรับโรฮีนจา เพราะเคยปวดหัวกับปัญหาที่ชาวโรฮีนจามาสร้างไว้ให้เมื่อหลายปีก่อน อาทิ แก๊งขอทานชาวโรฮีนจาที่ก่อความวุ่นวายไปทั่ว ทั้งยังมีส่วนพัวพันกับการลักพาตัวเด็กเพื่อนำไปเป็นขอทาน รวมไปถึงสร้างความเสียหายต่อระบบผังเมือง เพราะนึกจะลงหลักปักฐานตรงไหนก็ทำตามใจชอบ ผลคือมีกระต๊อบของชาวโรฮีนจาผุดขึ้นไปทั่วมาเลเซีย

ประสบการณ์ที่ชาวมาเลย์มีต่อโรฮีนจา ไม่ต่างไปจากคนไทยบางส่วนที่มีโอกาสได้สัมผัสกับชาวโรฮีนจามาแล้ว เมื่อถามว่า "ปัญหานี้เป็นความรับผิดชอบของใคร" Kyi Thar ตอบว่า โดยส่วนตัวแล้ว เขาก็อยากให้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหานี้ เพราะอย่างน้อยๆ ในแง่ของสิทธิมนุษยชน ไทยก็ยังเหนือกว่าเมียนมาร์

"แต่จะหวังให้ประเทศใดประเทศหนึ่งรับผิดชอบทั้งหมดคงไม่ได้ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่ง ปัญหาชาวโรฮีนจาอพยพจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งของประเทศในกลุ่มอาเซียน" เขาตอบ

ต้องยอมรับว่าการคาดการณ์ของเขามีน้ำหนักพอสมควร ไม่ต้องรอให้ถึง 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า เฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทั้งไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่างก็หัวปั่นไปตามๆ กัน

เพราะด้านหนึ่งคือแรงกดดันจากองค์กรระหว่างประเทศที่ออกมาขอร้องแกมบังคับว่าอย่าผลักไสชาวโรฮีนจา (แต่ในขณะเดียวกัน องค์กรเหล่านี้ก็ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด) กับอีกด้านหนึ่งที่เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลเมียนมาร์จงใจนิ่งเฉยต่อปัญหานี้

ณ เวลานี้ ปัญหาที่เกี่ยวกับชาวโรฮีนจา แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ ผู้อพยพ ผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และเหยื่อของการค้ามนุษย์ ที่คนไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องแบบเต็มๆ อีกทั้งยังทำกันเป็นขบวนการ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดคือปัญหาที่มองไม่เห็นทางออก เพราะไม่มีใครออกมารับหน้าเป็นเจ้าภาพใหญ่ในการแก้ไข และถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันจะต้องชักนำเอาปัญหาอื่นๆ ตามมาอย่างแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้น ความเจ็บปวดของโรฮีนจา จะสร้างความเจ็บปวดให้กับภูมิภาคอาเซียนเช่นกัน


ที่มา  //news.sanook.com/1796582/




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2558 8:35:05 น.
Counter : 1097 Pageviews.  

13 เรื่อง "ครั้งแรกในเมืองไทย" ที่คุณอาจยังไม่รู้

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เกิดขึ้นมากมายจนบางครั้งอาจจะลืมไปแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่ ใครทำให้เกิดขึ้นครั้งแรกบ้าง หนังสือ "บันทึกไทย" ของสำนักพิมพ์ขวัญข้าว′94 ได้รวบรวมเรื่องราว สุดยอด รายแรก แปลกใหม่ ไทยแท้ 2558 เพื่อให้ย้อนรำลึกและจดจำเรื่องราวในอดีตและปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรอบตัวที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคแต่ละสมัย ไว้อย่างน่าสนใจ เช่น

โฆษณาเรื่องแรก

โฆษณาสินค้าและธุรกิจชิ้นแรกในสื่อของไทยคือ โฆษณาอู่ต่อเรือบางกอกด๊อก (Bangkok Dock) ลงในหนังสือพิมพ์จดหมายเหตุฯ หรือบางกอก รีคอร์เดอร์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2408

คนไทยขึ้นเครื่องบินคนแรก

พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ขณะนั้นดำรงยศนายพลตรี ทรงเป็นผู้โดยสารคนแรกที่ขึ้นเครื่องบินทดลองชุดแรก เมื่อคราวที่นายวัลเดน บอร์น ชาวเบลเยียม นำเครื่องบินแบบออร์วิลล์ ไรท์ มาสาธิตการบินถวายให้ทอดพระเนตร เมื่อการแสดงเสร็จสิ้นได้ทรงซื้อเครื่องบินนั้นไว้เพื่อประโยชน์แก่การศึกษา

ธนินท์ เจียรวนนท์ ได้รับใบรับรองจากจีนคนแรก

ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ผู้ผลักดันให้บริษัทซีพีเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดของไทยและของโลก เจ้าสัวธนินท์ตัดสินใจเข้าไปดำเนินธุรกิจในจีน เมื่อปี 2522 ทันทีที่ เติ้ง เสี่ยว ผิง ประกาศปฏิรูปเปิดประเทศรับนักลงทุนต่างชาติ เจ้าสัวธนินท์ได้รับใบอนุญาตสำหรับนักลงทุนต่างชาติหมายเลข 001 ถือเป็นนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการรายแรก

วิกฤตเศรษฐกิจครั้งแรกของไทย

ตลาดหุ้นเปิดตลาดครั้งแรกในปี2518จากนั้นก็เริ่มพังในปี2521ทำให้ค่าเงินบาทเสียหายเงินไหลออกจากระบบสูญเสียสภาพคล่องต้องลดค่าเงินบาท ทางการเข้าควบกิจการ 25 ไฟแนนซ์และเครดิตฟองซิเอร์ 25 แห่ง รู้จักกันในชื่อ โครงการ 4 เมษายน 2527 เอกชนล้ม เกิดหนี้จำนวนมหาศาล คนตกงานมาก เงินเฟ้อสูง ต้องรับความช่วยเหลือด้านการเงินจาก IMF เป็นครั้งแรก

เป๊ปซี่

ออกสู่ตลาดครั้งแรกด้วยรูปลักษณ์ขวดแก้วขนาด 10 ออนซ์ ในตอนเช้าวันพุธที่ 18 มีนาคม 2496 และเป๊ปซี่ได้จ้างผลิตภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2525

บุฟเฟต์ครั้งแรกในไทย

เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2518 ที่โรงอาหารหลังห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดย นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น เป็นเจ้าภาพในการจัดเลี้ยง

ธนบัตรไทยมูลค่าสูงสุด

มีราคา 5 แสนบาท เป็นธนบัตรที่ระลึกชนิดพิเศษเนื่องในโอกาสวันราชาภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ครบรอบ 50 ปี ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อ 8 พฤษภาคม 2543 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยนำออกมาจำหน่ายในราคาฉบับละหนึ่งล้านบาท ปัจจุบันมีธนบัตร 5 แสนบาท อยู่ในประเทศไทยเพียง 234 ใบเท่านั้น (มูลค่ารวม 117 ล้านบาท)

คำขวัญวันเด็ก

คำขวัญวันเด็กครั้งแรกปี 2499 สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มอบให้ไว้ว่า "จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม"

โค้ก 1 บาท

Coca-Cola เข้าสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2492 โรงงานบรรจุขวดแห่งแรกตั้งอยู่ที่ ถ.หลานหลวง กรุงเทพฯ ทำการผลิตโคคา-โคลา ขนาด 6.5 ออนซ์ ขายในราคา 1 บาท ด้วยเครื่องบรรจุขวดขนาดเล็กเพียง 2 เครื่อง ที่ชื่อว่า "ดิ๊กซี่" และใช้รถขนส่งเพียง 7 คัน

คนเดียว 9 ครั้ง

จอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีที่มอบคำขวัญวันเด็กให้มากครั้งที่สุด จำนวน 9 ครั้ง เริ่มมอบตั้งแต่ปี 2508-2516

ปลาบู่ทอง

ละครจักร ๆ วงศ์ ๆ เรื่องแรก หรือละครพื้นบ้าน ออกฉายทางทีวีในปี 2510 ทางช่อง 7 และเป็นเรื่องแรกที่สร้างและกำกับโดย ไพรัช สังวริบุตร เจ้าของบริษัท ดาราฟิล์ม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นดาราวิดีโอ ปัจจุบันคือ บริษัท สามเศียร จำกัด นำแสดงโดย พัลลภ พรพิษณุ กับเยาวเรศ นิศากร ซึ่งรับบทเอื้อยกับอ้าย ต่อมาทั้งคู่กลายเป็น คู่พระ-นางยอดฮิต

บอลหญิงไทยไปบอลโลกครั้งแรก

ทีมฟุตบอลหญิงไทยจะได้เข้าแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในเดือนมิถุนายน2558ที่ประเทศแคนาดาภายใต้การนำของโค้ชหนึ่งฤทัยสระทองเวียนและนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม ซึ่งชนะเวียดนาม เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 ในการแข่งฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย "เอเอฟซี วีเมนส์ เอเชี่ยนคัพ 2014" ที่เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม และเป็นทีมอันดับที่ 5 ที่มีสิทธิ์ในการเข้าแข่งขันฟุตบอลโลก 2015 รอบสุดท้าย

คอนเสิร์ตในไทยครั้งแรก

คนไทยเริ่มเรียกการฟังดนตรีว่า "ไปฟังคอนเสิร์ต" ในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะคนไทยเริ่มเรียนภาษาฝรั่งมากขึ้นในวงการดนตรีไทย เมื่อพูดกันถึงคอนเสิร์ต ก็จะต้องนึกไปถึงงานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เพราะสมเด็จฯเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงนิพนธ์บทคอนเสิร์ตไว้สำหรับการแสดงสมัยนั้นก็เรียกกันอย่างโก้หรูเป็นฝรั่งว่า"คอนเสิร์ต"เพราะเป็นการแสดงอวดแขกบ้านแขกเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่

หลากหลายเรื่องราวที่บางคนอาจจะเกิดไม่ทันและหลายอย่างเริ่มเลือนรางบันทึกเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หวนรำลึกถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อมองย้อนกลับไปดูอีกครั้ง

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบันล้วนเริ่มต้นจากอดีตที่เล็กๆ หรืออดีตที่ยิ่งใหญ่ ปัจจุบันอาจจะเหลือเล็กแค่นิดเดียว


ที่มา  //campus.sanook.com/1377509/




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2558 8:47:00 น.
Counter : 1160 Pageviews.  

ทับทิม คุณค่ามหาศาล

"" คุณค่ามหาศาล
คอลัมน์ เครื่องแนม

เคยมีคนตั้งข้อสังเกตว่า เวลาอากาศร้อนๆ นักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทยจะเลือกดื่มน้ำทับทิม ขณะที่คนไทยจะเลือกชาเขียวพร้อมดื่ม สร้างความสดชื่น แล้วยังได้ลุ้นโชคอีกต่อหนึ่ง (ฮา)

จริงๆ แล้ว ทับทิมเป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์มหาศาล ถึงขนาดรายงานของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่สหรัฐอเมริกา จัดให้น้ำทับทิมเป็นสุดยอดของน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

ดร.ณัฐพล ตั้งสุภูมิ สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล อธิบายว่า น้ำทับทิมมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมากเกือบ 3 เท่า ของชาเขียวและไวน์แดงในปริมาณที่เท่ากัน

นอกจากนี้ น้ำทับทิมยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี, วิตามินบี 5 และโพแทสเซียม

ซ้ำมีงานวิจัยบอกว่า ดื่มน้ำทับทิมเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและการติดเชื้อจากไวรัส ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ลูคีเมีย เบาหวาน ไปจนถึงลดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง บราบราบรา เอ๊ย บลาบลาบลา

อย่างไรก็ตาม น้ำทับทิมในท้องตลาดมีปริมาณน้ำตาล 11 -12% ซึ่งนับว่าสูงทีเดียว เปลี่ยนไปดื่มน้ำทับทิมสดน่าจะเวิร์กสุด


ที่่มา  //women.sanook.com/37337/




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2558 8:36:41 น.
Counter : 1155 Pageviews.  

“โรสควอตซ์” หินมงคลเสริมรักให้แฮปปี้ชีวิตดี๊ดี

แม้ในตอนนี้กระแสของหินมงคลนำโชคเสริมดวงจะเริ่มทรงตัวไม่หวือหวาเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังคงเชื่อมั่นในพลังแห่งกันอยู่มากมาย ซึ่งอันนี้ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล หากใครที่ใส่และดีใส่แล้วมีความสุขชีวิตราบรื่นก็ถือว่าเป็นเรื่องราวๆ กันค่ะ

แต่สำหรับวันนี้ Sanook! Horoscope ขอแนะนำหินมงคลที่ยังฮิตติดลมบนไม่เลิกราง่ายๆ กับหินนำโชคเสริมดวงความรักที่รู้จักในชื่อ โรสควอตซ์ (Rose Quartz)

หินโรสควอตซ์ (Rose Quartz)

หินโรสควอตซ์ (Rose Quartz) คืออะไร

"โรสควอตซ์" คือ หินสีชมพูอ่อนใส หรือที่เรียกกันว่า “ควอตซ์กุหลาบ” เกิดจากธาตุไทเทเนียม เหล็ก และแมงกานีสผสมอยู่ มีลักษณะโปร่งใส และโปร่งแสง จุดเด่นอยู่ที่สีชมพู

มีตำนานเล่าว่า "โรสควอตซ์" เป็นหินแห่งเทพวีนัส มีพลังของเพศแม่ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความรัก และการให้อภัย สามารถขจัดความประหม่า เชื่อว่าช่วยรักษาแผลใจของคนอกหักได้และโรสควอตซ์ยังช่วยให้ผู้หญิงมีอารมณ์นุ่มนวล อ่อนหวาน ช่วยให้ผู้ชายใจเย็นลง ดังนั้นจึงนิยมนำมาใช้ในการบำบัดอารมณ์ ความรู้สึกของคนที่ต้องการความรักความเข้าใจ และยังช่วยให้คู่รักมีความรักที่มั่นคงยืนยงด้วย

หินโรสควอตซ์ (Rose Quartz)

นอกจากความเชื่อเรื่องเป็นหินแห่งความรักแล้ว ยังเชื่อกันอีกว่า โรสควอตซ์ เป็นหินที่ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนต่างๆ ของร่างกาย และการทำงานของหัวใจ และเป็นพิเศษในด้านความงาม เชื่อกันว่า โรสควอตซ์ ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง สวยงาม และดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

หินโรสควอตซ์ (Rose Quartz)

จนมาถึงปัจจุบันนี้ทำให้เกิดเป็นความเชื่อที่ว่าหากใครอยากเสริมดวงความรัก แนะนำให้สวมใส "หินโรสควอตซ์" เอาไว้เพราะจะช่วยในเรื่องของความรักโดยตรง และยังเสริมสร้างเสน่ห์ สร้างมิตรภาพ เสริมความร่ำรวย นำความสุขมาให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครอง ให้พลังที่นุ่มนวลอ่อนโยน ทั้งยังช่วยเสริมสร้างมิตรภาพ ความรู้สึกที่ดีๆต่อกันนั้นเอง

ในแนวทางการบำบัดในด้านจิตใจนั้น เชื่อว่า โรสควอตซ์ เป็นหินที่มีพลังทางด้านขจัดความโกรธเกลียด หรือการอิจฉาริษยาที่มีอยู่ในจิตใจของตน ตอบสนองความต้องการความรักในคนที่รู้สึกขาด หรือฟื้นฟูสภาพจิตใจในคนที่ถูกหักอกหรือบาดเจ็บทางจิตใจและอารมณ์

หินโรสควอตซ์ (Rose Quartz)

ช่วยให้เกิดความรู้สึกรักตัวเองมากขึ้น และรักคนอื่นเป็น เพิ่มความเห็นอกเห็นใจผู้คนมากขึ้น ไวต่อการรับรู้และมีความคิดสร้างสรรค์ดี ขจัดความโกรธ เกลียด อิจฉาริษยาที่มีอยู่ในใจ อีกทั้งยังช่วยลดความพยาบาทบาดหมางใจกันในครอบครัวหรือในที่ทำงานได้ดีอีกด้วย

รู้สรรพคุณอันมากมายของหินสีชมพูยอดฮิตอย่าง โรสควอตซ์ แล้วใครที่อยากสมหวังในรักหรือเสริมสร้างเสน่ห์ก็แนะนำเลยคะ หินชนิดนี้ถือว่าตอบโจทย์มากๆ


ที่มา  //horoscope.sanook.com/81405/




 

Create Date : 19 เมษายน 2558    
Last Update : 19 เมษายน 2558 16:59:36 น.
Counter : 1492 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.