ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

น้ำอัดลม 1 กระป๋อง ต้องออกกำลังกายถึง 50 นาที!!

น้ำอัดลม 1 กระป๋อง ต้องออกกำลังกาย 50 นาที!!?ฟังแล้วดูไม่น่าเชื่อใช่ไหมหล่ะคะเพื่อนๆ แต่ที่บอกมานั่นคือเรื่องจริง!!นะคะ มาดูกันว่าเป็นเพราะอะไร ^^

สุขภาพ ความอ้วน

นักวิจัยชี้ว่า ป้ายเตือนปริมาณสารอาหารบนผลิตภัณฑ์อาหารขยะ จะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ หากเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนว่า จะต้องออกกำลังกายเท่าไหร่จึงจะขจัดแคลอรีที่บริโภคเข้าไปได้หมด

งานวิจัยค้นพบว่า วัยรุ่นกว่าครึ่งรู้สึกไม่อยากดื่มน้ำอัดลม หากได้เห็นฉลากเตือนว่า จะต้องออกกำลังกายด้วยการวิ่ง 1 ชั่วโมงต่อการดื่มน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง

งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสาร?”American Journal of Public Health”?ระบุว่า การติดฉลากว่า ผู้บริโภคต้องออกกำลังกายเท่าไหร่ จึงจะสามารถขจัดแคลอรีจากอาหารขยะได้หมด จะช่วยลดความน่ารับประทานลง

คณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ติดป้ายเตือนด้านนอกร้านค้า 3 แบบ เพื่อทดลองว่าป้ายเตือนแบบไหนจะทำให้วัยรุ่นขยาดการรับประทานอาหารขยะมากที่สุด แม้ป้ายทั้งสามจะระบุถึงจำนวนพลังงาน 250 แคลอรีเท่ากันหมดก็ตาม

สุขภาพ ความอ้วน

ป้ายอันแรกเตือนว่า น้ำอัดลมให้พลังงาน 250 แคลอรี ป้ายอันที่ 2 เตือนว่า น้ำอัดลม 1 กระป๋องให้พลังงาน 10% ของที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน ส่วนป้ายอันสุดท้ายเตือนว่า ผู้บริโภคต้องวิ่งอย่างน้อย 50 นาที เพื่อกำจัดแคลอรีจากน้ำอัดลม

ผลการศึกษาพบว่า ผลลัพธ์จากการระบุข้อมูลแคลอรีอย่างละเอียด ช่วยลดยอดขายอาหารขยะได้ 40% โดยเฉพาะป้ายเตือนว่า จำเป็นต้องออกกำลังกายในปริมาณเท่าไหร่หลังบริโภคประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถลดยอดขายในกลุ่มวัยรุ่นได้ถึงครึ่งหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับคำเตือนชนิดอื่นๆ

ดร.ซาราห์ เบลช ผู้นำการวิจัย?กล่าวว่า ผู้คนทั่วไปมักประเมินจำนวนแคลอรีที่ได้รับจากอาหารขยะต่ำไป แต่การเปรียบเทียบปริมานแคลอรีจากอาหารเป็นการออกกำลังกาย จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายขึ้น เช่น เปรียบจำนวนแคลอรีจากน้ำหวานเท่ากับการวิ่งกี่นาที

เธอชี้แจงว่า เนื่องจากปัญหาสุขภาพโดยมากมีต้นเหตุมาจากอาหารขยะ มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องหายุทธศาสตร์ในการเตือนผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพที่สุด เช่น ติดฉลากแบบใหม่บนสินค้า หรือบนเมนูร้านฟาสต์ฟู้ด

น้ำหวานและน้ำอัดลมเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลายชนิด เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ ไปจนถึงโรคเบาหวานประเภท 2 ทว่าน้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดาวัยรุ่น


ที่มา: teen.mthai
happyschoolbreak.




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2557 23:10:38 น.
Counter : 999 Pageviews.  

วิธีป้องกันการเกิดอาการเจ็ตแล็ก (Jetlag)

จากผลการสำรวจครั้งใหม่ล่าสุดของ Skyscanner ได้เปิดเผย วิธีป้องกันการเกิดอาการเจ็ตแล็ก (Jetlag) ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดาผู้โดยสารเครื่องบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไว้อย่างน่าสนใจสำหรับนักเดินทางทั้งหลาย โดยเฉพาะสาวๆ คงดูไม่งามแน่หากลงจากเครื่องบินแล้ว หนุ่มที่ตั้งใจมารอรับ ณ สนามบินเห็นหน้าตาเธอแสนจะโทรมหรืออิดโรย..จริงไหมคะ?!?

การสำรวจครั้งนี้ได้สอบถามผู้โดยสารเครื่องบินจำนวน 6,000 คน ซึ่งมีจำนวน 4 ใน 5 ที่เคยเดินทางเที่ยวบินระยะไกลในช่วงปีที่ผ่านมา และโดยเฉลี่ยแล้วพวกเขาใช้เวลา 2.3 วันในการฟื้นจากอาการเจ็ตแล็ก ผลสำรวจยังพบว่าเทคนิคการป้องกันอาการเจ็ตแล็กที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด คือ

การรับประทานอาหาร ควรต้องเลือกบริโภคอาหารสดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในมื้อเบาๆ โดยมีผู้ถูกสำรวจร้อยละ 66 ได้ทดลองใช้วิธีนี้ และมันก็ได้ผลจริงๆ

ยืดเส้นยืดสาย ตามมาติดๆ ด้วยร้อยละ 65 ของผู้ถูกสำรวจที่อาศัยการยืดเส้นยืดสายและออกกำลังกายเบาๆ ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน อีกร้อยละ 58 จะตั้งเวลานาฬิกาให้ตรงกับเวลาของจุดหมายที่พวกเขาจะไป ร้อยละ 51 บอกว่าพวกเขาทำตัวให้ตื่นตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน และอีกร้อยละ 45 จะออกกำลังกายและสูดอากาศบริสุทธิ์ก่อนที่จะขึ้นเครื่อง

รับประทานยา ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ร้อยละ 20 ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่าพวกเขาได้ทดลองรับประทานยาไวอะกร้า (Viagra) เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดจากเจ็ตแล็ก ทั้งนี้ เนื่องจากมีรายงานหลายชิ้นระบุว่าการรับประทานยาไวอะกร้าสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็ตแล็กได้ มีร้อยละ 32 รับประทานยานอนหลับ อีกร้อยละ 31.7 ใช้สมุนไพรในการรักษา ขณะที่อีกร้อยละ 27 รับประทานยาป้องกันเจ็ตแล็ก และอีกร้อยละ 22 รับประทานเมลาโทนิน (Melatonin)

ดื่มแอลกอฮอล์ ถึงแม้ว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่จัดให้การออกกำลังกายเบาๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นวิธีที่ได้รับความนิยม แต่มีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ได้ลองทำวิธีนี้ แล้วพบว่าได้ผลในการบรรเทาอาการต่างๆ

จากการเดินทางระยะไกลผลการสำรวจยังได้เปิดเผยข้อมูลที่ชวนฉงนของการดื่มแอลกอฮอล์ที่ความสูง 30,000 ฟุต ซึ่งปรากฏว่าผู้โดยสารกว่าร้อยละ 33 ระบุว่าพวกเขาดื่มแอลกอฮอล์เพื่อที่จะช่วยแก้อาการเจ็ตแล็ก แต่มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น (ร้อยละ 13%) ที่บอกว่าวิธีนี้ได้ผล อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 41 ของผู้ถูกสำรวจบอกว่าพวกเขาหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์บนเครื่องบิน โดยมีเกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 19) ยอมรับว่าพวกเขาสามารถจัดการกับอาการเจ็ตแล็กได้

โทนี่ เกราร์แดง (Tony Gherardin) ที่ปรึกษาทางการแพทย์แห่งชาติ ประจำ Travel Doctor – TMC (www.traveldoctor.com.au) ได้แนะนำเทคนิคในการรับมืออาการเจ็ตแล็กที่อยู่หมัดว่า “ในทางทฤษฎีแล้ว การที่จะป้องกันอาการเจ็ตแล็ก เราควรจะเริ่มต้นปฏิบัติตัวให้เหมือนกับที่เราจะปฏิบัติเมื่ออยู่ที่จุดหมายปลายทาง ก่อนที่จะออกเดินทางจากบ้าน นั่นคือรับประทานอาหารและนอนหลับหรือพักผ่อนในเวลาเดียวกันกับที่เราจะทำเมื่อถึงที่หมายปลายทางแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่กล่าวมานั้นเราทำไม่ได้ที่บ้าน หรือแม้แต่ตอนบินอยู่ก็ตาม”

“วิธีรับมือที่จะได้ผลดีอย่างสมเหตุสมผลก็คือรับประทานอาหารแต่น้อย และอย่าให้ขาดน้ำ หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักและแอลกอฮอล์” โทนี่กล่าวเพิ่มเติม

โทนี่ยังแนะนำอีกว่า การรับประทานยานอนหลับหรือเมลาโทนินในระดับที่ปลอดภัยทันทีที่ถึงจุดหมายปลายทางจะช่วยให้ร่างกายของคุณปรับเข้ากับโซนเวลาได้ดี.






 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2557 23:09:12 น.
Counter : 836 Pageviews.  

อ่านซะก่อนที่จะคิด VOTE NO หรือ NO VOTE



 "โหวตโน"
คือ การเดินทางไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แล้วกากบาทในช่อง "ไม่ประสงค์จะลงคะแนน" หมายถึง ไม่ประสงค์จะเลือกผู้สมัคร หรือ พรรคการเมืองไหนเลย ทำนอง "ไม่ปลื้มทั้งตัวผู้สมัครและพรรคการเมืองที่ลงสมัคร ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมืองไหนก็ตาม" แต่มาใช้สิทธิ์เพราะต้องการรักษาสิทธิ์ทางการเมืองของตัวเองไว้

ส่วน "โนโหวต"
คือ "ไม่เดินทางไปใช้สิทธิ์" หรือเรียกง่าย ว่า "นอนหลับทับสิทธิ์" ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกสวมสิทธิ์เลือกตั้งที่สำหรับหาก "ไม่ไปใช้สิทธิ์และไม่แจ้งล่วงหน้า" จะเสียสิทธิ์ 8 ประการ คือ

     1. สิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส., ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น

     2. สิทธิร้องคัดค้านการเลือกตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่

     3. สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส., ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น

     4. สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่

     5. สิทธิเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมาย ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

     6. สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น

     7. สิทธิเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้วุฒิสภาถอดถอนบุคคล ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

     8. สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือบริหารท้องถิ่น

แต่ "ผู้นอนหลับทับสิทธิ์" ถ้าต้องการได้สิทธิ์คืนในวันที่ 2 มีนาคม 2557 "ส.ว.เลือกตั้ง" จำนวน 77 คน จะหมดวาระ จากนั้นภายใน 30 วันต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ "ผู้ที่นอนหลับทับสิทธิ์" ถ้าอยากได้สิทธิ์ต่างๆ คืน "ต้องไปเลือกตั้ง ส.ว."
สำหรับสถานการณ์เลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไปครั้งนี้ "ผิดปกติ" จากปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอาจทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง "อยากไปใช้สิทธิ์" แต่กลัวได้รับอันตรายหรือไม่แน่ใจในความปลอดภัยในการไปใช้สิทธิ์หากเดินทางไปถึงหน่วยเลือกตั้งแล้วพบว่ามีการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มคัดค้านและกลุ่มสนับสนุน เพื่อความปลอดภัยของตัวเองกลัวถูกลูกหลง แต่ก็กลัวจะเสียสิทธิ์ให้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจไว้เป็นหลักฐานและรักษาสิทธิ์ของตัวเองไว้

สำหรับผู้ที่ประสงค์เดินทางไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วไปไม่มีปัญหา แต่ "ผู้ที่ต้องการไปใช้สิทธิ์เพื่อแสดงออกสัญลักษณ์ทางการเมือง" ก็ขอให้ระมัดระวัง โดยเฉพาะการแสดงออกโดยการ "ฉีกบัตรเลือกตั้ง" มีความผิดทางกฎหมายแน่นอน

โทษของการจงใจฉีกบัตรเลือกตั้งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 148 ฐานทำให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหาย อันเป็นบทกฎหมายอันกระทบต่อความสงบเรียบร้อย พิพากษาจำคุก 6 เดือน และเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ส่วนการ  "แอบ" เขียนข้อความในบัตรเลือกตั้ง เพื่อให้เป็นบัตรเสียในกฎหมายไม่ได้เขียนไว้ว่ามีความผิดอย่างไร


ที่มาข้อมูล : postjung.com
รูปภาพจาก : krujun111.wordpress.com




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2557 9:59:18 น.
Counter : 1160 Pageviews.  

พริก กับความเผ็ดร้อน ที่ไม่ได้มีอยู่จริง




ใครชอบกินเผ็ดบ้างครับ? ใครกินเผ็ดไม่ได้เลยบ้าง? เชื่อไม๊ครับว่าความเผ็ดร้อนของอาจจะพูดได้ว่า "มันไม่ได้มีอยู่จริง"

เรื่องมันเกิดก็ตอนที่เพื่อนร่วมงานของผมนั่งหน้าเซียวบ่นว่าแสบท้องหลังจาก"จัดหนัก"มื้อกลางวันรสเผ็ดมา ทำไมพริกเม็ดเล็กๆถึงสร้างความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเหมือนโดนไฟลวกได้ ทั้งๆที่ตัวมันเองก็ไม่ได้มีความร้อนอะไรแบบนั้น?(พริกในตู้เย็นก็สร้างความปวดแสบปวดร้อนได้ไม่ต่างจากพริกในน้ำแกงร้อนๆ) ตัวการของความรู้สึกทรมานนี้มีชื่อว่า แคพไซซิน (Capsaisin) ในพริกนั่นเองครับ

แคพไซซิน เป็นสารเคมีที่พบได้ในพริกและผลของพืชที่มีรสเผ็ด ซึ่งจะมีผลออกฤทธิ์สร้างความปวดแสบปวดร้อนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น(ซึ่งคนเราก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็เลยได้อานิสงส์ของแคพไซซินไปด้วย)

ที่บอกว่าความเผ็ดร้อนของพริกนั้นไม่ได้มีอยู่จริงก็เพราะวิธีเกิดความรู้สึกเผ็ดร้อนจากพริก... แบบนี้ครับ... เมื่อเรากินพริก หรือแม้แต่เอาพริกมาทาตามตัว(จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) แคพไซซินที่อุดมอยู่ในพริกก็จะออกมาสัมผัสกับผิวหนัง หรือลิ้นของเรา ที่ผิวหนังและลิ้นของเราก็จะมีหน่วยรับความรู้สึกกระจายอยู่ เมื่อเจ้าแคพไซซินไปจับกับหน่วยรับความรู้สึกเหล่านี้ มันจะกระตุ้นให้เซลล์ประสาทส่ง"สัญญาณลวง"ออกไป ซึ่งโชคไม่ค่อยดีที่"สัญญาณลวง"ที่เกิดจากแคพไซซินนี้ มีหน้าตาไปเหมือนกับสัญญาณของความรู้สึกแสบร้อนเหมือนถูกไฟลวกหรือเวลาเรามีแผลถลอกครับ เป็นที่มาว่า ทำไมพริกที่ตัวมันเองไม่ได้ร้อนอะไรจึงสร้างความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นได้... ซึ่งเรื่องยังไม่จบตรงแค่นี้ครับ

ร่างกายของเราพอได้รับสัญญาณลวงจากแคพไซซินที่หน้าตาไปพ้องกับสัญญาณของความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแล้วก็หลับหูหลับตาเชื่อไปตามนั้นครับ ร่างกายจึงมีปฎิกิริยากับบริเวณที่ส่งสัญญาณลวงออกมาเหมือนโดนไฟลวกหรือเป็นแผลถลอกจริงๆ นั่นก็คือหลอดเลือดขยาย เพื่อนำเม็ดเลือดขาวมาเตรียมรอต่อสู้กับเชื้อโรค(ที่อาจจะเข้ามาทางแผลนั้น) ทำให้มีเลือดมาคั่ง บวม แดง บริเวณที่โดนพริกนั่นเองครับ

แล้วในเมื่อพริก(อันที่จริงคือแคพไซซินในพริก) ทำให้เกิดความปวดแสบปวดร้อนทรมาณ ทำไมบางคน(เช่นผม)ถึงนิยมชมชอบอาหารรสเผ็ดอันแสนจะทรมานนี้? บางครั้งเห็นพริกแล้วตาลุกเหมือนว่าเสพติดพริกอะไรแบบนันก็มี นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เกิดจากการเชื่อมโยงความรับรู้ผิดๆของเราอีกนั่นแหละครับ... เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่เรากินอาหารรสเผ็ดเข้าไป แคพไซซินก็แผลงฤทธิ์ สร้างความรู้สึกเผ็ดร้อนขึ้นในปากในจมูกท่วมท้นไปหมด เมื่อร่างกายทรมานกับความเผ็ดร้อนที่เกิดขึ้น ก็มีมาตรการรับมือกับความเผ็ดร้อนนี้ โดยจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน(endorphin)ออกมาเพื่อระงับความทรมาน เอนดอร์ฟินเป็นสารแห่งความสุข ทำให้เรารู้สึกเคลิบเคลิ้ม และมีฤทธิ์เสพติด เราซึ่งไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเอนดอร์ฟิน ได้แต่รับรู้ถึงความเผ็ดร้อนและอาการเคลิ้มที่ตามมา จึงเหมาเอาว่า พริกนั้นให้ความรู้สึกดีเวลากินเข้าไปนั่นเองครับ...


By ษัษฐา ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา



  • สนับสนุนเนื้อหา mcot.net




 

Create Date : 31 มกราคม 2557    
Last Update : 31 มกราคม 2557 8:43:05 น.
Counter : 1215 Pageviews.  

ตำนานการเชิดสิงโตในวันตรุษจีน

ในวันตรุษจีนของทุกๆ ปี รวมไปถึง นี้ หลายคนมักจะเห็นการแสดง "เชิดสิงโต" ซึ่งเป็นเหมือนประเพณีที่ทำกันเป็นประจำ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้เกิดความเป็นสิริมงคลในวันตรุษจีนหรือวันปีใหม่จีนนั้นเอง แต่ชาวสนุก!ดูดวงทราบไหมคะว่า ทำไมต้องมีการเชิดสิงโตในวันตรุษจีน? มาหาคำตอบได้ที่นี่กับเรื่องราว "ตำนานการเชิดสิงโตในวันตรุษจีน" ค่ะ

ตำนานการเชิดสิงโตใวันตรุษจีน

คนจีนโบราณมีความเชื่อว่า "สิงโต" เป็นบุตรของมังกร ซึ่งมีอำนาจและทรงพลังมากที่สุดในบรรดาบุตรทั้งหมด ได้รับมอบหมายจากสวรรค์ในฐานะผู้พิทักษ์ สิงโตจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ ความกล้าหาญ และความจงรักภักดี นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากันว่าสิงโตเป็นสัตว์เทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้เพียงเสียงคำรามก็สามารถปัดเป่าวิญญาณและสิ่งชั่วร้ายได้

ด้วยเหตุนี้เองชาวจีนจึงนิยมสร้างรูปสลักสิงโตไว้ตรงหน้าพระราชวัง ตามหน้าบ้านหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นองครักษ์ผู้พิทักษ์คอยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ โดยจะสร้างสิงโตไว้ตรงหน้าประตูทางเข้าเป็นคู่ สิงโตตัวผู้จะอยู่ทางด้านขวามือ(ของผู้ที่เดินเข้า)และสิงโตตัวเมียจะอยู่ทางด้านซ้าย

//horoscope.sanook.com/

จริงๆ แล้วตำนานที่มาของการเชิดสิงโตมีหลากหลายแตกต่างกันอยู่พอสมควร แต่ในที่นี้ขอยกตัวอย่างมาแค่บางส่วนที่เป็นที่เล่ากันเป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน

มีตำนานหนึ่งกล่าวว่าในประเทศจีนสมัยห้าราชวงศ์ในวันตรุษจีน (หรือบางที่ก็ว่าวันไหว้พระจันทร์) จะปรากฏสัตว์ร้ายชื่อว่า เหนียน Nien (ตัวเหนียนนั้นมีตัวยาวแปดฟุต ศีรษะใหญ่ มีฟันแหลมคม ตาเหมือนระฆังทองแดง มีใบหน้าสีเขียว มีเขาบนศีรษะ) ซึ่งจะคอยทำร้ายผู้คน สัตว์เลี้ยงและทำลายพืชผลไร่นาเสียหาย ผู้คนจึงต้องบวงสรวงต่อเทพเจ้าบนสวรรค์ เทพเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้จึงส่งเทพสิงโตมาขับไล่เจ้าตัวเหนียนไป

ในวันตรุษจีนปีต่อมา เจ้าตัวเหนียนก็กลับมาสร้างความเดือดร้อนอีก แต่คราวนี้เทพสิงโตไม่ลงมาช่วยอีกแล้ว ผู้คนจึงต้องร่วมใจกันแต่งตัวทำเลียนแบบสิงโต จึงสามารถขับไล่ตัวเหนียนไปได้และเกิดเป็นประเพณีเชิดสิงโตขึ้นในวันตรุษจีนปีต่อๆ มา

บางตำนานเล่าว่า พระยูไลได้เสร็จมาปราบพยศตัวเหนียนจนเชื่องและพากลับไปชาวบ้านจึงเฉลิมฉลองและจัดทำการแต่งตัวเลียนแบบท่าทางตัวเหนียนเพื่อบูชาพระยูไล จึงเกิดเป็นการเชิดสิงโต

อีกหนึ่งตำนานเล่าว่าการเชิดสิงโตเริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ้อง แม่ทัพจงอวี่ (Zhong Yue) ยกทัพออกรบที่ดินแดนหลินหยี (Lin Yi) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีนแถวๆ ประเทศลาว และพม่า ข้าศึกชาวพื้นเมืองได้ใช้กองทัพช้างในการสู้รบ ทำให้แม่ทัพจงอวี่ต้องรับศึกหนัก จึงใช้อุบายให้ทหารกองหน้าแต่งตัวเป็นสิงโต กองทัพช้างของข้าศึกเห็นจึงแตกตื่นและแตกพ่ายไป ประเทศจีนจึงมีประเพณีเชิดสิงโตเพื่อฉลองชัยชนะ

นอกจากนี้ประเพณีการเชิดสิงโตยังแบ่งออกเป็นแบบเหนือ(ปักกิ่ง)ซึ่งเลียนแบบท่าทางของสุนัข แต่ถ้าเป็นการเชิดสิงโตแบบใต้จะเลียนแบบท่าทางของแมว ซึ่งยังแบ่งเป็นแบบกวางตุ้ง ฮกเกี้ยนอีกด้วย และการเชิดสิงโตแบบใต้นี้ยังมีการแบ่งประเภทตามสีของหน้าสิงโต ได้แก่ สีเหลืองจะหมายถึงเล่าปี่ สีแดงจะหมายถึงกวนอู และสีดำจะหมายถึงเตียวหุย ที่สำคัญลักษณะของขนและพู่ยังต่างกันออกไปอีกด้วย




ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail, //blog.th.88db.com/
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com




 

Create Date : 30 มกราคม 2557    
Last Update : 30 มกราคม 2557 10:38:58 น.
Counter : 2817 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.